ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 661 ผิดหวัง (กลาง)
รถม้าหยุดลง สวีลิ่งอี๋เปิดหน้าต่างรถออก สวีซื่อจุนกับจิ่นเกอที่นั่งอยู่ในรถม้า อดทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่างไม่ได้
ไร่นาในเดือนสี่ สีเขียวชอุ่ม เต็มไปด้วยพืชผลที่กำลังเติบโต มีหลุมศพหลายแห่งถูกฝังอยู่บนคันนาทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เทศกาลเช็งเม้งพึ่งจะผ่านไปได้ไม่นาน ยังคงมีกลีบดอกไม้ที่ถูกพัดปลิวไปตามแรงลมตกอยู่แถวหลุมฝังศพ
“ท่านพ่อ นี่คือไร่นาของสกุลเราหรือ” จิ่นเกอเงยหน้ามองบิดา
สวีลิ่งอี๋ลูบศีรษะบุตรชาย “นี่คือไร่นาของพี่สี่เจ้า!”
สวีซื่อจุนมองสวีลิ่งอี๋ด้วยความประหลาดใจ
เขารู้ว่าไร่นาที่ท่านแม่ทิ้งไว้ให้เขาอยู่ที่ต้าซิ่ง แต่กลับไม่เคยมาที่นี่มาก่อน
เป็นเพราะว่าเขากำลังจะแต่งงานแล้ว ดังนั้นท่านพ่อจึงตั้งใจพาเขามาดูอย่างนั้นหรือ
เมื่อคิดอีกทีก็รู้สึกว่าเรื่องราวไม่น่าจะง่ายเช่นนี้
ต่อให้จะส่งมอบที่ดินให้กับเขา ท่านพ่อก็สามารถให้ผู้ดูแลพาเขามาดูก็ได้ ไม่จำเป็นต้องรีบพาเขากับน้องหกมาที่นี่ตั้งแต่ตอนเช้าตรู่
“ท่านพ่อ…” เขาจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็เงียบไป
สวีลิ่งอี๋มองสวีซื่อจุนด้วยแววตาลึกซึ้ง “ป้าเถาถูกฝังอยู่ที่นี่!”
สวีซื่อจุนไม่สามารถซ่อนความประหลาดใจเอาไว้ได้อีก
มีเสียงที่ไม่คุ้นเคยแต่นอบน้อมดังมาจากด้านนอก “ท่านโหว มีชาวบ้านผ่านมาทางนี้ขอรับ!”
สวีลิ่งอี๋ตอบเพียง “อืม” แล้วกำชับว่า “ลองเข้าไปถามดู!”
คนด้านนอกขานรับ “ขอรับ”
เสียงคนในรถม้าเงียบลง เสียงจากด้านนอกรถม้าดังขึ้นอย่างชัดเจน
“เจ้าหมายถึงไร่นาของหย่งผิงโหวซื่อจื่อน่ะหรือ ก็คือแถบนี้ทั้งหมด” น้ำเสียงชราพูดต่ออีกว่า “ตรงนั้นเป็นหลุมศพมารดาของผู้ดูแลเถา…ข้ามาที่นี่ในตอนเช้า…ข้าผ่านที่นี่ทุกวันจะไม่รู้ได้อย่างไร…ยิ่งไปกว่านั้นเทศกาลเช็งเม้งพึ่งจะผ่านไป ครอบครัวของพวกเขามาเยี่ยมหลุมศพของป้าเถา ยังไม่ทันถึงเทศกาลเช็งเม้งพวกเขาก็เผากระดาษเงินไปจำนวนมาก…”
สวีซื่อจุนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขาอดลอบมองสวีลิ่งอี๋ด้วยหางตาไม่ได้
สวีลิ่งอี๋นั่งอยู่อย่างเงียบๆ สีหน้าสงบนิ่งสุขุม สวีซื่อจุนกลืนคำพูดลงคอไปอีกครั้ง
ผู้ดูแลคนนั้นกล่าวขอบคุณ เดินมารายงานสวีลิ่งอี๋เสียงเบาว่า “ถามชัดเจนแล้ว ผู้ดูแลเถามาเยี่ยมหลุมศพป้าเถาวันนี้ขอรับ”
สวีลิ่งอี๋ตอบเพียง “อืม” นั่งอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อคาดว่าชาวบ้านเดินไปไกลแล้วจึงลุกขึ้น “พวกเราลงไปดูกันเถิด”
สวีซื่อจุนไม่กล้ารอช้า รีบเดินลงตามมาด้วย
จิ่นเกอนั่งอยู่ในรถเป็นเวลานาน เมื่อความรู้สึกแปลกใหม่หายไป เขาก็เริ่มรู้สึกเบื่อหน่ายตั้งนานแล้ว ตอนนี้สามารถลงจากรถไปสูดอากาศได้แล้ว เขาจึงกระโดดลงจากรถม้าอย่างเริงร่า
ด้านนอกมีชายวัยกลางคนอายุสามสิบกว่าปี สวมชุดผ้าไหมสีเขียว ท่าทางคล่องแคล่วเป็นอย่างมาก เดินเข้ามาคำนับ นำทางพวกเขาไปตามคันนา
ไม่นานพวกเขาก็เห็นหลุมฝังศพกับป้ายสุสานของป้าเถาตั้งอยู่
หลุมศพถูกกลบดินใหม่ ขี้เถ้ากระดาษเงินยังคงอยู่ในหม้อดินเผาที่ใช้เผากระดาษเงินหน้าหลุมศพ แต่ด้านข้างกลับสะอาดสะอ้าน ซึ่งเห็นได้ว่าไม่ได้เผากระดาษเงินมากนัก
สวีลิ่งอี๋เอามือไพล่หลังแล้วถามสวีซื่อจุนว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเงินหนึ่งร้อยตำลึงสามารถซื้อกระดาษเงินได้เท่าไร”
แม้ว่าสวีซื่อจุนจะเคยเป็นประธานในพิธีครบรอบของหยวนเหนียง แต่ทุกอย่างล้วนถูกจัดเตรียมไว้ล่วงหน้าโดยผู้ดูแล เขาไม่รู้ แต่เขารู้ว่าหากครอบครัวของบรรดาสาวใช้มีงานมงคล หากเป็นสาวใช้ระดับหนึ่งก็เพียงแค่มอบเงินห้าตำลึงให้นำกลับบ้าน เงินจำนวนหนึ่งร้อยตำลึงนั้นนับว่าเป็นเงินจำนวนค่อนข้างมาก
“ท่านแม่ไม่อยู่แล้ว ป้าเถาก็ไม่อยู่แล้ว เถาเฉิงเป็นบุตรชายของป้าเถา…ก็เลยอยากจะมอบเงินให้เขามากหน่อย…” สวีซื่อจุนอธิบายเรื่องของเถาเฉิงเสียงเบา “ข้าก็ใกล้จะแต่งงานแล้ว…เขาก็ต้องไปซื้อของมาเป็นเครื่องบูชา…”
หมายความว่าเงินหนึ่งร้อยตำลึงนั้นรวมเงินที่จะมอบให้กับเถาเฉิงด้วย
สวีลิ่งอี๋ไม่ออกความเห็น พูดเสียงเรียบว่า “เงินหนึ่งร้อยตำลึง สามารถซื้อกระดาษเงินได้สิบเกวียน เผาทั้งวันก็ไม่หมด!”
สวีซื่อจุนอุทานด้วยความประหลาดใจ “ไอ๊หยา!” อ้าปากค้างมองบิดา ในหัวของเขาพลันสับสนอลหม่าน
สวีลิ่งอี๋หันไปมองเขาก่อนจะหันหลังแล้วเดินไปจากหลุมฝังศพของป้าเถา “กลับกันเถิด!”
จิ่นเกอที่เฉลียวฉลาดรับรู้ได้ถึงความผิดปกติระหว่างบิดากับพี่ชาย เขายืนอยู่ด้านข้างอย่างเงียบเชียบแล้วเดินตามสวีลิ่งอี๋ขึ้นรถม้าไปอย่างเชื่อฟัง
ระหว่างทางสวีลิ่งอี๋หลับตาพักผ่อน
ตอนแรกจิ่นเกอยังสามารถนั่งตัวตรงได้ แต่ไม่นานเปลือกตาบนกับเปลือกตาล่างก็มาบรรจบกัน ตัวโอนเอนไปมาก่อนจะซบลงในอ้อมแขนของสวีลิ่งอี๋แล้วผล็อยหลับไป
สวีซื่อจุนกลับกำลังคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้
ท่านพ่ออยากจะบอกเขาว่าเถาเฉิงผู้นี้หน้าไหว้หลังหลอก ไม่น่าเชื่อถืออย่างนั้นหรือ
แต่เถาเฉิงเป็นผู้ติดตามของท่านแม่…และสนิทสนมกับเขามาตลอด…
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็เริ่มรู้สึกกระวนกระวายใจเล็กน้อย
ท่านพ่อจะลงโทษเขาอย่างรุนแรงเพราะเรื่องนี้หรือไม่
“ท่านพ่อ” สวีซื่อจุนพูดจาอ้ำๆ อึ้งๆ “เถาเฉิงคงไม่ได้ตั้งใจ…” ท่าทางเหมือนกำลังแก้ตัวแทนเขา
สวีลิ่งอี๋ลืมตาขึ้นทันที “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงพาเจ้ามาที่นี่”
สวีซื่อจุนส่ายหน้าตามสัญชาตญาณ
“ที่ข้าให้เจ้าไปเรียนรู้ดูแลกิจการที่เรือนนอก ไม่ใช่เพราะหวังให้เจ้าสามารถรู้จักเขียนรู้จักคำนวณ แต่ข้าอยากให้เจ้าเรียนรู้ที่จะรู้จักใช้คนที่มีคุณธรรมและความสามารถ” สวีลิ่งอี๋จ้องตาเขา “แต่ดูเจ้าสิ…กำลังจะแต่งงานแล้วแท้ๆ อยากจะเผากระดาษเงินให้ป้าเถานับว่าไม่ใช่เรื่องผิด แต่เจ้ากลับให้เงินเถาเฉิงไปหนึ่งร้อยตำลึงในคราวเดียว ถ้าหากจะบอกว่าเป็นเพราะเจ้ารู้สึกขอบคุณบุญคุณที่ป้าเถาเลี้ยงดูมารดาของเจ้า ก็เลยมอบเงินให้เถาเฉิงหนึ่งร้อยตำลึงก็ย่อมได้! แต่เจ้ากลับให้เถาเฉิงซื้อกระดาษเงินหนึ่งร้อยตำลึงไปเผาให้ป้าเถา ทุกคนต่างก็มีความเห็นแก่ตัว หากเถาเฉิงซื้อเก้าสิบตำลึง ขาดไปสิบตำลึงก็ไม่เป็นไร แต่เจ้าดูเขาสิ เกรงว่าแม้แต่สิบตำลึงก็ใช้ไม่ถึง ส่วนที่เหลือก็เข้ากระเป๋าตัวเองหมด หนึ่งครั้งสองครั้ง เจ้าไม่เอาความ เมื่อผ่านไปนานเถาเฉิงก็จะเคยตัว เมื่อเจ้ามีเรื่องสำคัญมอบให้เขาทำ เขาก็จะรู้สึกว่าเจ้าหลอกง่าย แล้วจะทุ่มเทแรงกายแรงใจช่วยงานเจ้าได้อย่างไรเล่า” สวีลิ่งอี๋ทอดถอนใจเล็กน้อย “จุนเกอ ในภายภาคหน้าทุกอย่างของจวนหย่งผิงโหวจะต้องมอบให้เจ้า เจ้าจะต้องเบิกตาให้กว้าง เจ้าจะปล่อยให้เขาทำตามใจเพียงเพราะเขาเป็นผู้ติดตามของมารดาเจ้าไม่ได้ จำไว้ว่าต่อไปคนในจวนจะต้องรับใช้เจ้า ไม่เพียงแต่มีคนของท่านแม่เจ้า ยังมีคนที่ข้ามอบให้เจ้า คนที่ไท่ฮูหยินมอบให้เจ้าด้วย หากเจ้าไม่สามารถปฏิบัติอย่างเป็นกลางได้ แล้วจะโน้มน้าวใจคนในจวนได้อย่างไร”
ในใจของสวีซื่อจุนสับสนไปหมด
เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเถาเฉิงจะทำเช่นนี้…อีกอย่างเขาก็ไม่สามารถตรวจสอบทุกเรื่องได้อย่างที่ทำในวันนี้!
แน่นอนว่าสวีซื่อจุนไม่กล้าโต้แย้งกับบิดาของเขา เพียงแต่ก้มหน้าแล้วขานรับเสียงเบาว่า “ขอรับ”
เมื่อเห็นว่าเขาไม่มีคำถามอะไรจะถามตัวเองอีก สวีลิ่งอี๋ก็อดส่ายหน้าด้วยความผิดหวังไม่ได้
“เรื่องของเถาเฉิง เจ้าคิดจะจัดการอย่างไร” เมื่อเงียบไปนาน เขาก็ถามบุตรชายขึ้นมาเบาๆ
สวีซื่อจุนเงยหน้าขึ้นมา เบิกตากว้าง เขาดูตกตะลึงเล็กน้อย “ข้า ข้าจะไปคุยกับเขา…”
“จะคุยอะไร” สวีลิ่งอี๋พูดต่อไปว่า “จะบอกว่าเจ้ามาเยี่ยมหลุมศพของป้าเถา แล้วพบว่าเขาไม่ได้เผากระดาษเงินให้ป้าเถาตามที่เจ้าสั่งอย่างนั้นหรือ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่ขอรับ” พูดเช่นนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน มีที่ไหนบ้างที่มอบหมายให้คนอื่นไปจัดการแล้วแอบไปตรวจสอบลับหลัง จะมีมาดของซื่อจื่อได้อย่างไร แต่หากไม่ทำเช่นนี้ แล้วควรจะทำอย่างไร เขาลังเล “ข้า ข้า ข้า…”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้คิดจะทำให้บุตรชายลำบากใจ
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงต้องการตรวจสอบเถาเฉิง” เขาพูดเสียงเบา “เพราะว่าเถาเฉิงเป็นผู้ดูแลที่เจ้าไว้ใจมากที่สุด! การที่เราจะเชื่อใจคนคนหนึ่งก็ต้องเข้าใจทุกอย่างเกี่ยวกับคนคนนั้น แต่เจ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเถาเฉิงเลย อาศัยว่าเขาเป็นผู้ติดตามมารดาของเจ้า เจ้าก็เลยไว้ใจเขาอย่างไม่มีข้อยกเว้น ไม่เพียงแต่มอบไร่นาให้เขาจัดการ ซ้ำยังให้เกียรติเขาต่อหน้าผู้ดูแลคนอื่นๆ ทำให้เขาทำตัวเหนือผู้ดูแลคนอื่นๆ แต่กลับไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาเลย นี่เป็นสิ่งที่อันตรายมาก ต่อไปเจ้าจะมีคนทำงานภายใต้อำนาจมากมาย อยากจะใช้ใครก็ต้องรู้จักเขา หากเจ้าอยากจะรู้จักใครสักคน ก็ต้องมองจากสิ่งเล็กๆ อย่างเช่นเรื่องนี้ เจ้ากำชับเถาเฉิง เขาก็รีบจัดการให้ทันที เห็นได้ว่าในใจของเขายังมีเจ้าอยู่ แต่กลับใช้เงินเพียงหนึ่งในสิบส่วนที่เจ้าให้ไปซื้อกระดาษเงิน จะเห็นได้ว่าคนผู้นี้โลภมาก คนที่มีความสามารถและโลภมาก เวลาเจ้าจะใช้เขาก็ต้องระมัดระวัง อย่ามอบเงินให้เขาจำนวนมาก…”
สวีซื่อจุนได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกอึดอัดจนไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร พยายามจะจดจำคำพูดของบิดาโดยไม่คิดวิเคราะห์
จิ่นเกอที่เดิมทีกำลังหลับสนิทกลับลืมตาขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้
เขาจ้องไปที่บิดาด้วยสีหน้าครุ่นคิด
******
พวกเขาเข้าเมืองไปพร้อมกับขบวนรถที่ไปตักน้ำที่เขาอวี้เฉวียน
ในรถม้า สวีซื่อจุนกับจิ่นเกอนั่งพิงไหล่สวีลิ่งอี๋ซ้ายขวา ผล็อยหลับไปตั้งนานแล้ว แต่สวีลิ่งอี๋กลับเบิกตากว้าง ส่องแสงประกายในความมืด
ผู้ดูแลเอาป้ายชื่อของสวีลิ่งอี๋ไป องครักษ์เฝ้าประตูเมืองยังไม่ทันตรวจสอบป้ายชื่อก็รีบช่วยไล่รถม้าที่อยู่ด้านหน้าเพื่อหลีกทางให้พวกเขาทันที
เมื่อมาถึงเหอฮวาหลี่ก็ยามอิ๋นแล้ว
สืออีเหนียงกังวลจนนอนไม่หลับทั้งคืน ใส่เสื้อคลุมแล้วรีบออกมาต้อนรับ
“ไม่มีอะไร!” สวีลิ่งอี๋สีหน้าเบิกบานใจ อุ้มจิ่นเกอที่กำลังหลับสนิทด้วยท่าทางผ่อนคลาย ดูไม่เหมือนคนที่นั่งรถม้ามาทั้งวันทั้งคืน “พวกเราก็แค่ออกไปเดินเล่น!”
อาจเป็นเพราะรู้สึกถึงลมหายใจของมารดา จิ่นเกอขยี้ตาด้วยท่าทางงัวเงีย มองเห็นร่างที่คุ้นเคย
“ท่านแม่!” เขาบิดตัวโน้มไปหาสืออีเหนียง “พวกเราไปดูไร่นาของพี่สี่มา…” มือทั้งสองข้างของเขากอดคอสืออีเหนียงเอาไว้แน่น
“จิ่นเกอ!” สวีลิ่งอี๋รีบพูดขึ้นมาว่า “แม่เจ้าอุ้มเจ้าไม่ไหว ประเดี๋ยวพ่ออุ้มเจ้าเอง!”
จิ่นเกอกำลังสะลึมสะลือ ส่งเสียออดอ้อน
สืออีเหนียงไม่มีทางเลือก จึงให้สวีลิ่งอี๋เป็นคนอุ้มเขา จากนั้นก็ให้กอดคอของนางไว้ พาบุตรชายกลับเรือนอย่างทุลักทุเล
สวีซื่อจุนกลับตื่นเต็มตา
เขาก้าวเท้าอย่างรวดเร็ว เดินเข้าไปที่เรือนต้านปั๋วไจด้วยท่วงท่าสุขุม จากนั้นก็หันหลังกลับเดินออกจากเรือนต้านปั๋วไจอย่างรวดเร็ว
“คุณชายน้อยห้าตื่นหรือยัง” เขาถามพลางเดินไปยังเรือนของสวีซื่อเจี้ย
******
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปถามท่านแม่ดีหรือไม่” สวีซื่อเจี้ยถูกสวีซื่อจุนปลุกขึ้นมา ฟังอยู่นานก็ไม่เข้าใจว่าสวีซื่อจุนต้องการพูดอะไร เขาอดหาวไม่ได้ “ท่านแม่รับผิดชอบเรื่องในเรือนใน หากมีอะไรไม่เข้าใจก็สามารถถามท่านแม่ได้!”
ผู้ติดตามของท่านแม่ทำเรื่องเช่นนี้ แล้วจะไปถามท่านแม่ว่าควรจะทำอย่างไรอย่างนั้นหรือ
“ช่างเถิด!” สวีซื่อจุนรู้สึกเศร้าเล็กน้อย “อย่าเอาเรื่องนี้ไปรบกวนท่านแม่เลย เจ้านอนต่ออีกสักหน่อยเถิด ข้าขอตัวกลับก่อน!”
สวีซื่อเจี้ยรู้สึกไม่ดีเล็กน้อยเมื่อช่วยอะไรพี่ชายไม่ได้
เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เช้าวันนี้ท่านจะไปที่ห้องหนังสือหรือไม่ขอรับ เช่นนั้นตอนกลางคืนพวกเราค่อยคุยเรื่องนี้อย่างละเอียดดีหรือไม่”
“ก็ดี!” สวีซื่อจุนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “จะได้ไม่ต้องรบกวนเวลาเรียนของเจ้าด้วย”
สวีซื่อเจี้ยให้สาวใช้น้อยไปตักน้ำล้างหน้า “หากเป็นอาจารย์จ้าวยังสามารถขอลาได้ แต่อาจารย์ฉังเกลียดการลามากที่สุด…”