ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 659 ฤดูร้อน (ปลาย)
การแต่งงานของสวีซื่อจุนกับคุณหนูเก้าสกุลเจียงได้พูดกันไว้มาหลายปีแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสกุลสวีหรือสกุลเจียงต่างก็เตรียมใจไว้พร้อมตั้งนานแล้ว สะใภ้หยวนเป่าจู้ผู้ติดตามที่สกุลเจียงเตรียมไว้ให้คุณหนูเก้านำของขวัญตรุษจีนมาส่งแล้วก็ไม่ได้กับเล่ออานอีก
“…บอกว่าเพื่อมาช่วยเจียงฮูหยินเตรียมงานแต่งของคุณหนูเก้าสกุลเจียง” สกุลเจียงต้อนรับคุณนายสามสกุลหวงอย่างยิ่งใหญ่และอบอุ่น คุณนายสามสกุลหวงรู้สึกว่าในเมื่อสองสกุลต่างก็มีความจริงใจต่อกัน เช่นนั้นภายภาคหน้าจะต้องราบรื่นอย่างแน่นอน นางนั่งลงด้วยสีหน้าดูสบายๆ อยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่างข้างสืออีเหนียง ดื่มชาซีหูหลงจิ่งที่กลิ่นหอมฟุ้ง “ฟังจากคำพูดของเจียงฮูหยินแล้ว รองเจ้ากรมพิธีการหวังจื่อซิ่นหรือใต้เท้าหวังเป็นสหายสนิทกับอาจารย์เจียง สกุลเจียงจึงอยากจะเชิญให้ใต้เท้าหวังเป็นพ่อสื่อ”
สืออีเหนียงดันจานเล็กที่ใส่ขนมใบเอมไปตรงหน้าคุณนายสามสกุลหวง “เช่นนั้นงานแต่งซื่อจื่อของพวกเราก็ต้องรบกวนพี่หญิงแล้ว”
“วางใจได้ วางใจได้” คุณนายสามสกุลหวงชิมขนมใบเอมไปหนึ่งคำ “ไอ๊หยา ก็ใส่เพียงแค่ใบเอมลงไปเหมือนกัน แต่เหตุใดขนมถึงได้หอมแบบนี้! พวกเราไม่สามารถทำรสชาติเช่นนี้ได้เลย”
“หากพี่หญิงชอบ ข้าจะให้คนทำให้ท่านนำกลับไปด้วย” สืออีเหนียงเรียกหู่พั่วเข้ามาเพื่อให้นางไปกำชับคนครัวให้ทำประเดี๋ยวนี้ จากนั้นก็หันกลับมาพูดกับคุณนายสามสกุลหวงว่า “เช่นนั้นพี่หญิงว่าทางฝั่งเราจะเชิญใครมาเป็นพ่อสื่อแม่สื่อดีเจ้าคะ”
ประโยคนี้มีความหมายแอบแฝง
คุณนายสามสกุลหวงเป็นคนมีความสามารถ และคุ้นเคยกับพิธีการในงานแต่ง ด้วยมิตรภาพระหว่างสกุลสวีกับสกุลหวง หากสวีซื่อจุนแต่งงานแล้วเชิญนางมาช่วยเจรจาเรื่องสินสอดทองหมั้นก็นับว่าเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว แต่ในเมื่อเชิญให้คุณนายสามสกุลหวงมาช่วยหารือเรื่องงานแต่ง ตอนไปทาบทาม หากจะเชิญคนมาเป็นพ่อสื่อแม่สื่อให้ เช่นนั้นก็คงจะไม่ดีหากละเลยสามีคุณนายสามสกุลหวงอย่างหย่งชังโหวซื่อจื่อ แต่ว่าสวีซื่อจุนเองก็เป็นซื่อจื่อเช่นกัน ดังนั้นหากจะให้สามีของคุณนายสามสกุลหวงมาเป็นพ่อสื่อก็คงจะไม่เหมาะสม สถานะของหย่งชังโหวซื่อจื่อยังคงต่ำกว่าอยู่เล็กน้อย แต่หากไม่เชิญให้คุณนายสามสกุลหวงมาช่วยคุยเรื่องงานแต่งให้สวีซื่อจุน หากคุณนายสามสกุลหวงรู้เข้าเกรงว่าคงจะมีความคิดบางอย่างอยู่ในใจ
โชคดีที่คุณนายสามสกุลหวงเป็นคนหัวไว แค่คิดก็สามารถเข้าใจเหตุผลของเรื่องนี้ทันที
“ข้าจะแนะนำคนผู้หนึ่งให้ ไม่รู้ว่าน้องหญิงจะคิดอย่างไร” นางยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าว่าติ้งกั๋วกงดีหรือไม่ เขาเป็นผู้อาวุโส เป็นคนสุขุมลุ่มลึก แม้ว่าจะไม่ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กับสกุลอื่นๆ มากนัก แต่เขาก็ประพฤติตัวซื่อตรงและน่านับถือ ข้าคิดว่าถ้าหากมีเขาช่วยออกหน้าให้ก็คงไม่มีอะไรดีไปกว่านี้แล้ว!”
สืออีเหนียงได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อย
เมื่อคืนตอนที่นางพูดคุยกับสวีลิ่งอี๋ สวีลิ่งอี๋ก็พูดถึงติ้งกั๋วกงเช่นกัน
“พี่หญิงคิดได้รอบคอบมาก” นางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้ากับท่านโหวกำลังปวดหัวเพราะเรื่องนี้อยู่พอดี” นางพูดพลางคล้องแขนคุณนายสามสกุลหวง “ในเมื่อพี่หญิงมาแล้วก็อย่ารีบกลับเลย ไม่สู้ไปกับข้า ข้าจะพาไปดูเรือนใหม่ที่เตรียมเอาไว้ให้จุนเกอ หากข้ามีอะไรที่คิดไม่ถึง พี่หญิงก็จะได้ช่วยเตือนข้า อย่าปล่อยให้ข้าทำเรื่องน่าขบขันเชียว”
สวีซื่อจุนเป็นซื่อจื่อผู้สูงศักดิ์ แน่นอนว่าการแต่งงานของเขาย่อมมีกฎเกณฑ์มากมายไม่เหมือนกับการแต่งงานของเจินเจี่ยเอ๋อร์กับการแต่งภรรยาของสวีซื่ออวี้ ที่เพียงแค่ปฏิบัติตามประเพณีก็พอแล้ว
เดิมทีคุณนายสามสกุลหวงก็เป็นคนมีน้ำใจ เมื่อได้ยินสืออีเหนียงพูดเช่นนี้ ก็ยิ้มพลางเดินออกมาจากเรือนหลักพร้อมกับสืออีเหนียง “ถึงเจ้าไม่พูดข้าก็อยากจะไปดูอยู่แล้ว ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ เมื่อถึงเวลาอย่าหาว่าข้าพูดมากก็แล้วกัน!”
ทั้งสองคนคุยไปยิ้มไปพลางเดินออกมาจากประตูหลังของเรือนหลัก ที่อยู่ตรงหน้าคือประตูหน้าเรือนเก่าของหยวนเหนียง
ประตูใหญ่เรือนเก่าของหยวนเหนียงถูกเปิดออก บรรดาบ่าวรับใช้บางคนก็ยกหีบ กระถางดอกไม้ บางคนก็เดินเท้าเปล่า แม้ว่าจะมีคนเยอะแยะมากมาย ต่างคนก็ต่างรีบร้อน แต่คนเดินออกชิดทางด้านซ้าย คนเดินเข้าชิดทางด้านขวา จัดการอย่างเป็นระเบียบ
คุณนายสามสกุลหวงแอบพยักหน้า
ดูเหมือนว่าสืออีเหนียงเตรียมจะทำให้เรือนเก่าของหยวนเหนียงเป็นเรือนใหม่สำหรับสวีซื่อจุน เช่นนี้เรือนจึงจำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงใหม่ ร่องรอยที่หยวนเหนียงทิ้งไว้ในอดีตก็จะถูกลบล้างไปจนหมด และไม่มีใครติฉินนินทา ถึงอย่างไรก็ไม่ควรปล่อยให้คนตายมาครอบงำพื้นที่ของคนเป็นไม่ใช่หรือ ยิ่งไปกว่านั้นคนเข้ามาอยู่ใหม่ก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของหยวนเหนียง!
“พี่หญิงใหญ่ยังเหลือของทิ้งไว้เยอะแยะมากมาย” สืออีเหนียงกับคุณนายสามสกุลหวงค่อยๆ เดินเข้าประตูมา บรรดาบ่าวรับใช้เห็นดังนั้นก็ไปยืนอยู่ไกลๆ เพื่อหลีกทางให้พวกนาง “ข้าให้พวกนางเข้ามาเก็บของก่อน รอให้ช่างมาซ่อมแล้วค่อยย้ายของเข้ามา”
“เป็นสิ่งที่สมควรแล้ว” คุณนายสามสกุลหวงยิ้มแล้วพูดว่า “ใครจะไปรู้ว่าช่างฝีมือพวกนั้นมาจากไหน ถ้าหากเป็นคนมือเท้าไม่สะอาด หยิบอะไรบางอย่างออกไปด้วย ต่อให้นำของกลับมาได้ ก็รู้สึกอยู่ดีว่าของเหล่านั้นได้ผ่านมือคนสกปรกไปแล้ว ต่อให้ตีให้ตายในใจก็รู้สึกไม่สบายอยู่ดี…” พูดพลางสำรวจมองในห้อง
ผ้าม่านและสิ่งของอื่นๆ ในห้องโถงทางเดินและห้องโถงที่สองของเรือนหลักล้วนถูกเก็บออกจนหมดทำให้ดูว่างเปล่า มีเพียงสตรีผู้หนึ่งที่ยืนอยู่ในห้องโถงที่หยวนเหนียงเคยอาศัยอยู่และหญิงสูงวัยที่กำลังสั่งการสาวใช้ให้ย้ายสิ่งของ
เมื่อเห็นว่าพวกนางเข้ามา ทั้งสองคนก็รีบเข้ามาคำนับ
เมื่อคุณนายสามสกุลหวงเห็นว่าทั้งสองคนหน้าตาคุ้นเคยจึงอดพูดขึ้นมาไม่ได้ “นี่คือ…”
สืออีเหนียงยิ้มพลางชี้ไปที่หญิงสาวผู้นั้น “พี่หญิงจำไม่ได้แล้วหรือ นี่คือเว่ยจื่อสาวใช้ข้างกายของไท่ฮูหยิน!” แล้วชี้ไปที่หญิงสูงวัยอีกคน “ผู้นี้ก็คือป้าหังผู้ติดตามของพี่สะใภ้ใหญ่ของข้า” แล้วพูดต่ออีกว่า “คนในจวนมีไม่พอ ข้าก็เลยเชิญให้สองคนนี้มาช่วยนับข้าวของของพี่หญิงใหญ่”
แบบนี้ก็ดี
จะได้ไม่มีคนบอกว่าของหายหรือโดนเปลี่ยนไป!
คุณนายสามสกุลหวงยิ้มพลางพยักหน้า เดินไปที่ห้องโถงที่สี่กับสืออีเหนียงต่อ “พี่สะใภ้ใหญ่เจ้ามาจากอวี๋หังแล้วหรือ”
“ยังเลยเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “บอกว่าจะรอให้กำหนดวันแต่งงานของจุนเกอก่อนแล้วค่อยออกเดินทาง” ในใจกลับคิดถึงอี๋เหนียงห้ากับหลัวเจิ้นหงที่เคยเจอกันตั้งแต่ยังแบเบาะ ฟังจากคำพูดของหลัวเจิ้นเซิงแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาจะมาที่เยี่ยนจิงด้วยกันทั้งหมด
******
ขณะที่สืออีเหนียงกำลังพูดคุยกับคุณนายสามสกุลหวง สวีซื่อจุนกำลังเช็ดหน้าเช็ดตาอยู่กับเถาเฉิงที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าเขา
“ผู้ดูแลเถานี่จริงๆ เลย ทุกครั้งที่ได้พบกับคุณชายน้อยสี่ก็ทำเอาคุณชายน้อยสี่ของพวกเราน้ำตาไหลตลอด” หวังซู่ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้สวีซื่อจุนพลางพูดตำหนิทีเล่นทีจริงกับเถาเฉิง
เถาฉิงรีบเงยหน้าขึ้นแล้วเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่ดูน่าเกลียดยิ่งกว่าร้องไห้เสียอีก “เป็นเพราะข้าน้อยไม่ดีเอง เป็นเพราะข้าน้อยไม่ดีเอง ทำให้คุณชายน้อยต้องเสียใจ” พูดพลางลุกขึ้นคำนับหวังซู่ “สหายหวังพูดถูกแล้ว ต่อไปข้าจะไม่ทำเช่นนี้อีก!”
สวีซื่อจุนเห็นดังนั้นก็ทำใจไม่ได้เล็กน้อย รีบพูดขึ้นมาว่า “ป้าเถาเป็นแม่นมของมารดาข้า เจ้าก็เป็นเหมือนพี่น้องของข้า หวังซู่ เจ้าไม่ควรจะเสียมารยาทกับผู้ดูแลเถาเช่นนี้”
“ไม่กล้า ไม่กล้า” เถาเฉิงคำนับสวีซื่อจุนด้วยท่าทางไม่สบายใจ
หวังซู่เป็นคนที่ท่านโหวมอบให้ หลายปีมานี้เขาได้รับความไว้วางใจจากสวีซื่อจุน แน่นอนว่าเขาไม่กลัวเถาเฉิงที่เป็นผู้ติดตามฮูหยินคนก่อนและเป็นผู้ดูแลที่ดินที่อยู่ห่างไกล แต่สิ่งใดที่ควรทำก็ไม่อาจละเลยได้แม้แต่น้อย
“คุณชายน้อยสี่สอนได้ถูกต้องแล้ว ต่อไปบ่าวไม่กล้าอีกแล้ว!” เขาเข้าไปคำนับเถาเฉิงด้วยท่าทางไม่สบายใจ “ผู้ดูแลเถา หวังว่าท่านจะใจกว้าง อย่าได้ถือสาข้าที่เป็นเพียงแค่บ่าวรับใช้ผู้ต่ำต้อยเลย!”
เขาเน้นคำว่า ‘บ่าวรับใช้ผู้ต่ำต้อย’ เพื่อเตือนเถาเฉิงว่าอย่าคิดว่าพอคุณชายน้อยสี่บอกว่าเจ้าเป็นพี่น้องของเขาแล้วเจ้าก็คิดว่าตัวเองเป็นพี่น้องของคุณชายน้อยสี่จริงๆ ขอเพียงแค่ข้านำคำพูดนี้ไปบอกกับไท่ฮูหยินหรือท่านโหว เจ้าก็รอถูกไล่ออกได้เลย!
มีหรือที่เถาเฉิงจะฟังไม่เข้าใจ
หวังซู่ผู้นี้ อายุยังน้อยแต่เป็นคนหัวแข็ง เกรงว่าจะมีความดื้อรั้นอยู่ไม่น้อยเลย แต่ตัวเองเป็นผู้ดูแลที่ดิน ปกติก็แทบจะไม่ได้เจอกับซื่อจื่อ หลายปีมานี้ทำได้เพียงแค่อาศัยความเมตตาในอดีตให้ซื่อจื่อมองเขาบ้าง ถ้าหากล่วงเกินหวังซู่ที่รับใช้ข้างกายซื่อจื่อมาตลอด วันๆ พูดจาใส่ร้ายตัวเองให้ซื่อจื่อฟัง น้ำหยดลงหินทุกวันหินยังกร่อน เกรงว่าแม้แต่น้ำใจที่มีต่อกันในอดีตก็คงรักษาเอาไว้ไม่ได้แล้ว
แม้ว่าในใจของเขาจะมีไฟลุกโชน แต่เขาก็ยังอดทนเอาไว้ได้
“ดูสหายหวังพูดเข้า ข้าเองก็แก่กว่าเจ้าไม่กี่ปี…”
เมื่อเห็นว่าพวกเขาเกรงใจกันไปมา สวีซื่อจุนก็ยิ้มพลางโบกมือ “เอาล่ะ พวกเจ้าหยุดเกี่ยงกันไปมาได้แล้ว” เขากำชับหวังซู่ว่า “เจ้าไปนับเงินหนึ่งร้อยตำลึงมาให้ผู้ดูแลเถา” จากนั้นก็พูดกับเถาเฉิงว่า “เจ้าช่วยข้าซื้อธูปและเงินกระดาษไปบูชาที่หลุมศพป้าเถา บอกนางว่า ข้า…ข้าจะแต่งงานแล้ว…ให้นางไม่ต้องเป็นกังวล…” ขณะที่พูดสีหน้าของเขาก็แดงก่ำขึ้นมาทันที
เยอะขนาดนี้เลยหรือ
หวังซู่เหลือบมองเถาเฉิง
เจ้าคนผู้นี้จะร้องไห้ทุกครั้งที่เขามา จากนั้นซื่อจื่อก็จะมอบเงินก้อนใหญ่ให้เขา ใครจะไปรู้ว่าเขาจะเอาเงินเหล่านี้ไปทำอะไร
ถึงในใจจะคิดเช่นนี้ แต่ก็ไม่กล้าแสดงสีหน้าแม้แต่น้อย โค้งคำนับด้วยความเคารพแล้วถอยออกไป
“คุณชายน้อย ไม่ต้องให้มากขนาดนั้นหรอกขอรับ!” เถาเฉิงรีบพูดว่า “พอบ่าวได้ยินข่าวว่าคุณชายน้อยจะแต่งงานแล้ว วันนั้นก็เลยไปบอกที่หน้าหลุมศพของท่านแม่แล้ว…”
“มีคนบอกว่าเรื่องแบบนี้ต้องซื้อกระดาษเงินด้วยเงินของตัวเอง” สวีซื่อจุนพูดอย่างจริงใจว่า “ข้าออกนอกจวนไม่ได้ เจ้าช่วยไปแทนข้าทีเถิด!”
ขณะที่พูด ชิวอวี่สาวใช้ข้างกายของสืออีเหนียงก็มาพอดี
“คุณชายน้อยสี่ ฮูหยินสี่ให้บ่าวมาถามว่าหลังจากสามวันได้หรือไม่เจ้าคะ”
สวีซื่อจุนรีบยืนขึ้นแล้วพูดว่า “พี่ชิวอวี่ช่วยกลับไปบอกท่านแม่ว่าข้าจะทำตามคำสั่งของท่านแม่!”
ชิวอวี่ยิ้มแล้วเดินออกไป
เถาเฉิงอดมึนงงไม่ได้
สวีซื่อจุนอธิบายให้ฟังว่า “ท่านแม่บอกว่าข้าใกล้จะแต่งงานแล้ว หลังจากสามวันจะเชิญท่านลุงใหญ่ พ่อบ้านไป๋ และผู้ดูแลหลิวมาเพื่อจะจัดการสิ่งของที่ท่านแม่เหลือไว้ให้ข้า เพื่อมอบให้ข้าอย่างเป็นทางการ” เขายิ้มอย่างลำบากใจพลางพูดว่า “ความจริงแล้วหลายปีมานี้เป็นท่านแม่กับผู้ดูแลหลิวที่คอยดูแลมาตลอด ข้าได้ยินจำนวนเงินที่ผู้ดูแลหลิวรายงานกับข้า นอกจากการเก็บเกี่ยวที่ไม่ดีของไร่นาในหลายปีมานี้ ที่เหลือรายได้ก็นับว่าไม่เลวเลย ข้าคิดว่าหากมอบให้ข้า ไม่แน่อาจจะดูแลได้ไม่ดีเท่าท่านแม่ อยากจะให้ท่านแม่ช่วยข้าดูแลต่อไป แต่ท่านแม่ไม่ตอบตกลง บอกว่าข้าโตแล้ว ต้องเรียนรู้การจัดการเรื่องเหล่านี้…” พูดพลางยิ้มอย่างเขินอาย
สืออีเหนียงผู้นั้นพูดเช่นนี้จริงๆ หรือ
เถาเฉิงสงสัยเป็นอย่างมาก อดพูดไม่ได้ว่า “ต่อไปภายภาคหน้าท่านคือหย่งผิงโหว ทรัพย์สินเล็กๆ น้อยๆ ของฮูหยินของคนก่อนเหล่านั้นย่อมไม่อยู่ในสายตาท่าน แต่นั่นคือความรักที่ฮูหยินคนก่อนมีต่อท่าน ท่านจะทำผิดต่อความหวังดีของฮูหยินคนก่อนไม่ได้เด็ดขาดนะขอรับ!”
มีเพียงแค่สวีลิ่งอี๋ตายแล้วเท่านั้น สวีซื่อจุนถึงจะได้เป็นหย่งผิงโหว
ท่านพ่อก็สุขภาพแข็งแรงดี เถาเฉิงพูดเช่นนี้ ทำให้ในใจของเขารู้สึกไม่พอใจอยู่เล็กน้อย
“ตอนนี้ข้าเป็นเพียงหย่งผิงโหวซื่อจื่อ” สวีซื่อจุนขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดตำหนิเถาเฉิง “ต่อไปห้ามพูดว่าข้าเป็นหย่งผิงโหวหรืออะไรทำนองนี้อีก”
เถาเฉิงแอบรู้สึกทำพลาดอยู่ในใจ ก้มหน้ายืนอยู่ตรงนั้นอย่างระมัดระวังอยู่นาน จนกระทั่งหวังซู่นำเงินเข้ามา สวีซื่อจุนไม่อยากหักหน้าเถาเฉิง ระงับอารมณ์โกรธเมื่อครู่แล้วส่งแขก