ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 657 ฤดูร้อน (ต้น)
หลังจากเทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง หลัวเจิ้นซิ่งและจู่เหรินแซ่ฉังผู้หนึ่งมาเป็นแขกที่สกุลสวี หลังจากที่สวีลิ่งอี๋พูดคุยกับฉังจู่เหรินเป็นเวลาหนึ่งชั่วยาม ก็ได้กำชับให้พ่อบ้านไป๋เก็บกวาดเรือนทิงเทาที่อยู่ไม่ห่างจากเรือนซวงฝู “ต่อไปคุณชายน้อยห้าก็จะเรียนกับอาจารย์ฉังที่เรือนทิงเทา”
ข่าวลือที่ว่า ‘คุณชายน้อยห้าจะต้องไปเรียนที่เล่ออานเหมือนคุณชายน้อยสอง’ ในที่สุดก็จบลง คนที่ถอนหายใจด้วยความโล่งอกก็คือสวีซื่อจุน
“พอข้าบอกเกี่ยวกับเรื่องนั้น ท่านแม่ก็ไปหาท่านลุงทันที” สวีซื่อเจี้ยมองพี่ชายด้วยรอยยิ้ม “ท่านลุงจะช่วยหาอาจารย์ให้ข้า ข้าไม่ไปเล่ออานหรอกขอรับ” เขามั่นใจในตัวสืออีเหนียงเป็นอย่างมาก
“ก็ข้ากลัวว่าท่านลุงจะหาคนที่เหมาะสมให้ไม่ได้” สวีซื่อจุนพูดอย่างลำบากใจว่า “เมื่อถึงเวลานั้นหากท่านแม่เห็นว่าพี่สองศึกษาเล่าเรียนที่เล่ออานได้ดี ก็เลยตัดใจส่งเจ้าไปที่เล่ออานเช่นกัน…เช่นนั้นก็จะเหลือข้าแค่คนเดียวแล้ว!” สุดท้ายแล้วก็ยังรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อย
สวีซื่อเจี้ยรู้สึกอบอุ่นหัวใจ “ไม่มีทาง! ที่จวนก็ยังมีน้องหกอยู่ไม่ใช่หรือ ต่อให้ข้าไปเรียนหนังสือที่เล่ออาน ในวันเทศกาลของทุกปีข้าก็จะได้กลับมาอยู่ดี!”
เมื่อคิดเช่นนี้ ดูเหมือนว่าคำพูดของเขาจะมีบางอย่างผิดปกติ
สวีซื่อจุนรู้สึกผิดเล็กน้อย
ไม่ใช่ว่าน้องหกไม่ดี เพียงแต่ว่าเขาอายุยังน้อย รู้สึกว่าไม่ค่อยเข้าขากับเขาเท่าไร…หรือจะบอกได้ว่าตนไม่ได้คิดว่าน้องหกเป็นเพื่อน!
“ข้าว่าพวกเราไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว” เขาโบกมือไปมา รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว “ตอนนี้เจ้าไม่ต้องไปเล่ออานแล้ว สถานที่เรียนหนังสือก็อยู่ข้างเรือนซวงฝู เมื่อถึงเวลาพวกเราก็จะได้เรียนด้วยกันอีก” จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “เจ้าจะไปเรียนที่เรือนทิงเทาอย่างเป็นทางการเมื่อไร ในเมื่ออาจารย์ฉังเป็นอาจารย์ของเจ้า เช่นนั้นให้ข้าไปคำนับด้วยดีหรือไม่”
“ข้าก็ไม่รู้” สวีซื่อเจี้ยพูดต่อไปว่า “เช่นนั้น พวกเราไปถามท่านแม่ดีหรือไม่”
ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปที่เรือนหลัก
สวีลิ่งอี๋กำลังพูดคุยเรื่องของเด็กๆ กับสืออีเหนียง “…ทางด้านของจุนเกอ อาจารย์จ้าวรู้ว่าควรจะทำอย่างไร จิ่นเกอมาคัดตัวอักษรอยู่ที่เรือนข้า ข้าก็จะคอยดูแลการเรียนของเขา ส่วนเจี้ยเกอ ข้าว่าอาจารย์ฉังเป็นคนที่เข้มงวดเป็นอย่างมาก ก่อนหน้านี้เขาเรียนหนังสือกับอาจารย์จ้าว ทำตัวตามสบายจนเคยชิน หากเปลี่ยนอาจารย์เกรงว่าจะไม่ค่อยชินเท่าไร อีกทั้งเขายังมีนิสัยขี้อายอีกด้วย เจ้าต้องคอยถามเขาให้มากๆ ส่วนค่าตอบแทนของอาจารย์ฉัง ข้าเตรียมจะจัดการเหมือนกับตอนที่อาจารย์จ้าวพึ่งเข้ามาสอน หนึ่งปีต่อสามสิบตำลึง มีบ่าวรับใช้หนึ่งคน เสื้อผ้าสี่ฤดู ฤดูละสองชุด หากสอนได้ดี ปลายปีก็จะให้เงินรางวัลเพิ่ม หากเจี้ยเกอสามารถสอบติดซิ่วไฉได้ ข้าก็จะให้รางวัลอีก”
ค่าตอบแทนของอาจารย์ในเยี่ยนจิงจะอยู่ระหว่างยี่สิบถึงสามสิบตำลึง นอกจากนี้สวีลิ่งอี๋ยังให้บ่าวรับใช้ เสื้อผ้าสี่ฤดู และอั่งเปา ค่าตอบแทนเช่นนี้นับว่าไม่น้อยเลย
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย
“ท่านโหววางใจได้เจ้าค่ะ!” อากาศเริ่มอุ่นขึ้นแล้ว และยังไม่ถึงเวลาที่ต้องใช้น้ำแข็ง นางหยิบพัดกลมมาช่วยพัดให้สวีลิ่งอี๋ที่พึ่งเข้ามา “ข้าจะใส่ใจเจี้ยเกอให้มาก เพียงแต่ว่าจิ่นเกอไปอยู่กับท่าน ท่านจะตามใจเขาไม่ได้เด็ดขาด อีกอย่าง ห้ามพาเขาไปขี่ม้าที่สนามม้า อย่างไรก็ต้องรอให้เขาอายุสิบปีก่อน ถ้าหากจำเป็นต้องไปจริงๆ ท่านก็ต้องดูแลเขาด้วยตัวเอง…”
นางยืนอยู่ข้างเขา ถือพัดโบกไปมา
“ตกลงเจ้าจะให้ข้าพาเขาไปขี่ม้า หรือไม่ให้ข้าพาเขาไปขี่ม้ากันแน่”
สายตาของเขาไปหยุดอยู่ที่นางโดยไม่ตั้งใจ
เสื้อสีขาวเงินปกปิดร่างกายนางอย่างหลวมๆ ขยับตามจังหวะการพัดของนางที่ดั่งสายน้ำไหล ทำให้ส่วนที่อวบอิ่มของนางเห็นชัดเจนขึ้น เอวดูเรียวบางมากขึ้น ดึงดูดอย่างบอกไม่ถูก
เขาแย่งพัดมาจากมือนาง เอามาพัดเองแรงๆ
“ประเดี๋ยวบอกไม่ได้ ประเดี๋ยวก็บอกว่าได้ หากเจ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ลูกก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดีแล้ว…”
สืออีเหนียงถลึงตาใส่เขา
แล้วใครกันที่พาจิ่นเกอไปขี่ม้า ทำให้ลูกเอาแต่คิดเรื่องนี้อยู่ทุกวัน พอเห็นว่าเขากลับมาก็รีบยกชายกน้ำมารินให้เขาอย่างกระตือรือร้น ราวกับลูกสุนัขที่เดินวนไปวนมาอยู่รอบตัวเขาก็มิปาน…
“หากข้าไม่ให้ ท่านโหวจะฟังข้าหรือ” น้ำเสียงของนางแฝงไว้ด้วยความโกรธเล็กน้อย “แล้วยังบอกอีกว่าเด็กผู้ชายไม่ควรอยู่กับสาวใช้ หรือบรรดาป้ารับใช้ทั้งวัน ไม่เพียงแต่หูตาคับแคบ ซ้ำยังเอาแต่นินทาเรื่องของผู้อื่นทั้งวัน…”
มีสาวใช้น้อยรายงานผ่านผ้าม่านว่า “ท่านโหว ฮูหยิน คุณชายน้อยสี่กับคุณชายน้อยห้ามาพบเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงรีบหยุดบทสนทนา
สวีลิ่งอี๋เห็นว่านางมีสีหน้าโกรธเคืองเล็กน้อย ก็รู้สึกเสียใจที่ตัวเองพูดจารุนแรงเกินไป ยัดพัดกลมใส่มือนางเหมือนเดิม อาศัยโอกาสนี้จับมือนางไว้ “เอาล่ะ เด็กๆ มากันแล้ว!” น้ำเสียงเบาลงเล็กน้อย แฝงไว้ด้วยความนุ่มนวล ราวกับว่ากำลังปลอบโยนนาง
ไม่ใช่ว่าสืออีเหนียงไม่เห็นด้วยกับความคิดของเขา เพียงแต่ว่านางแค่ไม่เชื่อใจอาจารย์สอนขี่ม้าที่ไม่เคยได้พบเจอมาก่อน จึงยอมให้จิ่นเกอไปกับเขามากกว่า ทั้งยังหงุดหงิดน้ำเสียงที่ฟังดูไม่พอใจของเขา เมื่อเห็นสวีลิ่งอี๋มีท่าทางโอนอ่อนลง ความโกรธที่อยู่ในใจก็หายไปโดยปริยาย แต่ก็ยังหยิกไหล่เขาเบาๆ ก่อนจะยิ้มแล้วลุกขึ้น
นับวันยิ่งเหมือนเด็กขึ้นเรื่อยๆ
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางส่ายหน้า
สวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยเดินเข้ามา
“พวกเจ้ามากันพอดีเลย!” เมื่อคำนับแล้ว สืออีเหนียงก็ให้สาวใช้น้อยยกเก้าอี้จิ่นอู้มาให้พวกเขาทั้งสองคนนั่ง สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นมาโดยไม่รอให้ทั้งสองคนเอ่ยปาก “อาจารย์ฉังจะมาประจำตำแหน่งที่จวนหลังวันที่สิบห้าเดือนห้า” เขามองสวีซื่อเจี้ย “ช่วงนี้เจ้าเก็บของให้เรียบร้อย ต่อไปต้องไปเรียนที่เรือนทิงเทา” จากนั้นก็พูดกับสวีซื่อจุนว่า “หลังจากที่เจี้ยเกอไปเรือนทิงเทาแล้ว ตอนเช้าอาจารย์จ้าวจะสอนจิ่นเกอ และจะสอนเจ้าในตอนบ่าย ต่อไปนี้เจ้าจะต้องไปเรียนการดูแลจัดการกิจการในเรือนที่ห้องหนังสือเรือนนอกกับข้า”
เด็กทั้งสองคนลุกขึ้นขานรับด้วยความเคารพ “ขอรับ”
สวีลิ่งอี๋ยังกำชับอีกสองสามประโยค “ต้องเชื่อฟังอาจารย์ ตั้งใจเรียนหนังสือ ฟังให้มาก ดูให้มาก หากไม่เข้าใจก็ให้ถามพ่อบ้านไป๋ อย่าตัดสินใจโดยพลการ” จากนั้นก็ให้เด็กทั้งสองคนไปเตรียมตัว
สวีซื่อจุนส่งสายตาให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงท่าทางสงบนิ่ง ส่งเด็กทั้งสองออกไป
สวีซื่อจุนรีบพูดขึ้นมาว่า “เมื่อถึงเวลานั้นข้าอยากเชิญอาจารย์ฉังมาทานข้าว ท่านเห็นด้วยหรือไม่ขอรับ”
“เอาสิ!” สืออีเหนียงนึกขึ้นได้ว่าสวีซื่อจุนไม่มีทางไปเข้าร่วมการสอบขุนนาง ไม่มีมาตรฐานอะไรสามารถพิสูจน์ได้ว่าอาจารย์จ้าวสอนได้ดี ตอนที่ในจวนมีอาจารย์เพียงคนเดียวก็ยังไม่มีอะไร ตอนนี้มีอาจารย์มาดำรงตำแหน่งถึงสองคน นางเชื่อมั่นในคุณธรรมของอาจารย์จ้าว แต่ยังไม่เคยได้พบเจอกับอาจารย์ฉัง ถ้าหากระหว่างอาจารย์ทั้งสองเกิดเรื่องไม่พึงพอใจกันขึ้นมา คนที่ได้รับผลกระทบก็คือสวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ย นางกำชับสวีซื่อจุนว่า “อาจารย์จ้าวเป็นอาจารย์ของเจ้า แล้วยังเคยสอนน้องห้าของเจ้า หลายปีมานี้ปฏิบัติต่อเจ้าราวกับลูกแท้ๆ พวกเจ้าห้ามละเลยอาจารย์จ้าวเป็นอันขาด ในเมื่อจะเชิญอาจารย์ฉัง คงเป็นการดีกว่าหากจะเชิญอาจารย์จ้าวมาด้วย ให้อาจารย์จ้าวช่วยพวกเจ้าต้อนรับอาจารย์ฉัง อาจารย์ทั้งสองก็จะได้ใช้โอกาสนี้ทำความรู้จักกัน” การเริ่มต้นที่ดีย่อมดีกว่าเสมอ และนึกขึ้นได้ว่าสวีซื่อจุนใกล้จะต้องรับมือดูแลกิจการในจวนอย่างเป็นทางการแล้ว เลยกำชับเขาอีกว่า “เจ้าอยู่เรือนนอก ก็ต้องสุภาพกับผู้ดูแลในจวน พวกเขาจะเป็นผู้ช่วยของเจ้าในภายภาคหน้า”
สวีซื่อจุนรีบพยักหน้า
พออาจารย์ฉังย้ายเข้ามาอย่างเป็นทางการแล้ว เขาก็ทำตามที่สืออีเหนียงกำชับ เชิญอาจารย์จ้าวมาร่วมงานเลี้ยงต้อนรับอาจารย์ฉังที่เรือนตัวเอง ก่อนหน้านี้อาจารย์ฉังรู้ดีว่าคุณชายน้อยทั้งสองได้รับการอบรมสั่งสอนจากอาจารย์จ้าว แต่อาจารย์จ้าวสอนเพียงบทเรียนเกี่ยวกับการประพฤติตน ดังนั้นจึงไม่มีข้อกำหนดที่เข้มงวด แต่เขากลับต้องการสอนความเรียงแปดขาให้สวีซื่อเจี้ย ซึ่งต้องมีการควบคุมดูแลอย่างเข้มงวด กังวลเล็กน้อยว่าสวีซื่อเจี้ยจะกลัวความยากลำบาก ไม่ยอมรับมุมมองความคิดที่แตกต่าง เอาเขาไปเปรียบเทียบกับอาจารย์จ้าว และไม่เชื่อฟังเขา ตอนนี้เมื่อเห็นว่าเด็กทั้งสองคนต่างก็ให้ความเคารพเขาเป็นอย่างมาก ปฏิบัติอย่างอ่อนโยนและมีมารยาท เลยรู้สึกว่าอาจารย์จ้าวอบรมสั่งสอนได้ดี หินก้อนใหญ่ที่อยู่ในใจพลันสลายหายไป และยังรู้สึกละอายเล็กน้อยที่คาดเดาไปเองว่าอาจารย์จ้าวกำลังมีความคิดหลอกเอาเงินสกุลสวี จึงให้ความเคารพอาจารย์จ้าวเป็นอย่ามาก เดิมทีอาจารย์จ้าวก็เป็นคนใจกว้าง ยังกลัวว่าคนอย่างอาจารย์ฉังที่ยกย่องความเรียงแปดขาราวกับบทสวดศาสนาพุทธจะดูหมิ่นบทกวีและบทเพลงของเขาเหล่านั้น ในเมื่ออาจารย์ฉังเริ่มที่จะผูกมิตรกับเขาก่อน เขาก็จะปฏิบัติต่ออาจารย์ฉังเหมือนสหาย เวลาพักผ่อนก็จะออกไปเดินเล่นกับอาจารย์ฉังบ่อยๆ ไปๆ มาๆ ทั้งสองคนก็กลายเป็นสหายสนิทกัน
เมื่อความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์ดีแล้ว บรรยากาศการเรียนรู้ของเด็กๆ ก็จะดีตามไปด้วย
สวีซื่อเจี้ยปฏิบัติตามข้อกำหนดของอาจารย์ฉังอย่างเคร่งครัด สวีซื่อจุนติดตามสวีลิ่งอี๋เพื่อเรียนรู้การจัดการเรื่องทั่วไปทุกเช้า เขาไม่กล้าที่จะประมาท ค่อยๆ รวบรวมสมาธิจดจ่ออยู่กับกิจการของเรือนนอก แม้ว่าเขาจะเริ่มต้นได้ช้า แต่เขาก็มีความอ่อนโยนต่อผู้อื่น และเต็มใจที่จะเรียนรู้จากผู้ดูแลเหล่านั้น การปฏิบัติตนเช่นนี้ต่อคนทั่วไป เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าก็จะกลายเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน ยิ่งไปกว่านั้นเขาเป็นถึงหย่งผิงโหวซื่อจื่อ มีสถานะสูงส่ง ทำให้มีความรู้สึกที่แตกต่าง บรรดาผู้ดูแลเหล่านั้นปฏิบัติต่อเขาด้วยความเคารพอย่างจริงใจ ชื่อเสียงในด้านความใจกว้างของสวีซื่อจุนค่อยๆ แพร่กระจายออกไป
ตอนนี้สิ่งที่สวีลิ่งอี๋กำลังมองหาคือคำว่า ‘มั่นคง’ การแสดงออกของสวีซื่อจุนทำให้เขาพอใจมาก วางมือให้สวีซื่อจุนเป็นคนรับผิดชอบ ส่วนเขาก็จะไปเรือนซิ่วมู่กับจิ่นเกอทุกเช้าหลังตื่นนอน คอยดูแลจิ่นเกอฝึกศิลปะการต่อสู้ ตอนบ่ายก็ตรวจการบ้านของจิ่นเกอ ตราบใดที่จิ่นเกอทำการบ้านได้ดี เขาก็จะพาจิ่นเกอไปเดินเล่นข้างนอก หรือเล่าเรื่องการสู้รบครั้งก่อนๆ ของเขาให้จิ่นเกอฟัง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่อารมณ์ดี พาจิ่นเกอทำแผนที่จิ่วโจวบนโต๊ะทรายในเรือนเสียด้วยซ้ำ
จิ่นเกอรู้สึกว่าการได้อยู่กับบิดาเป็นเรื่องที่สนุกสนานเป็นอย่างมาก ไม่ไปป้อนอาหารนก ไม่พาสุนัขไปเดินเล่น แล้วก็ไม่ไปโต้เถียงกับเซินเกออีก ทุกวันคิดแต่จะทำการบ้านให้เสร็จอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ไปเล่นกับบิดา ฟังบิดาเล่าเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้เขารู้สึกใจเต้นแรง
สืออีเหนียงรู้สึกกังวลเล็กน้อยเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของบุตรชาย ลองตรวจการบ้านของเขาหลายครั้งก็พบว่าเขาทำได้ดีและรวดเร็วกว่าเมื่อก่อน บางครั้งก็ไปปรากฏตัวอย่างกะทันหันที่เรือนนอก เห็นเพียงว่าสวีลิ่งอี๋กำลังเล่าเรื่องให้เขาฟัง พาเขาสร้างแบบจำลองภูมิทัศน์ เขาก็ฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ เล่นอย่างสนุกสนาน เมื่อเห็นดังนั้นก็อดรู้สึกทอดถอนใจไม่ได้ เมื่อเด็กผู้ชายโตแล้วก็จะชอบอยู่กับบิดามากกว่า
แต่ความรู้สึกทอดถอนใจจากการสูญเสียที่เกิดขึ้นก็อยู่ได้ไม่นาน
สวีซื่อเจี้ยมักจะชอบมาทานอาหารที่เรือนนางบ่อยขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งหลังจากทานอาหารเสร็จแล้วก็ยังอยู่คุยกับสืออีเหนียงต่อ ดูติดสืออีเหนียงเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะคุยกับเขาเกี่ยวกับการบ้านและเรื่องในใจของเขา
ที่แท้เวลาที่เขาเข้าเรียนกับอาจารย์จ้าว หากทำได้ไม่ดีก็จะถูกอาจารย์ตำหนิ หากทำได้ดีอาจารย์จ้าวก็จะชื่นชมเขาอย่างเต็มที่เช่นกัน แต่ตอนนี้ต้องติดตามอาจารย์ฉัง แม้ว่าเขาจะพยายามอย่างมาก แต่กลับได้รับคำชมจากอาจารย์ฉังน้อยมาก เขาไม่รู้ว่าตัวเองมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดของอาจารย์ฉังหรือไม่
“เช่นนั้นอาจารย์ฉังตำหนิเจ้าหรือไม่”
“ไม่เลยขอรับ!”
“ก็ดีแล้วไม่ใช่หรือ!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “หากเจ้าทำได้ไม่ดี อาจารย์ฉังจะต้องตำหนิเจ้าอย่างแน่นอน ในเมื่อไม่ได้ตำหนิเจ้า เช่นนั้นก็แสดงว่าเจ้าก็ไม่ได้แย่”
สวีซื่อเจี้ยเชื่อคำพูดสืออีเหนียงมากที่สุดเสมอ เมื่อได้ยินเช่นนี้เขาก็โล่งใจ จากนั้นก็ไปเรียนกับอาจารย์ฉังอย่างมีความสุข
ตอนนี้เด็กๆ เดินมาถูกทางแล้ว เดือนที่ร้อนที่สุดของปีก็มาถึงแล้ว
สวีซื่ออวี้ก็เดินทางกลับมาจากเล่ออานแล้วเช่นกัน!