ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 656 หนอนจำศีล (ปลาย)
สืออีเหนียงกับสวีซื่อเจี้ยคุยไปหัวเราะไปพลางเดินออกมาจากห้องรับรองแขก เมื่อไม่เห็นจิ่นเกอ ก็รู้ว่าสวีลิ่งอี๋พาไปที่ห้องหนังสือเรือนนอกแล้ว สวีซื่อเจี้ยดึงแขนเสื้อสืออีเหนียงด้วยความเขินอาย “ท่านแม่…”
การเข้าร่วมการสอบขุนนาง ไม่เพียงแต่เกี่ยวข้องกับอนาคตของสวีซื่อเจี้ยเท่านั้น ซ้ำยังเป็นเรื่องใหญ่สำหรับสกุลสวีด้วย เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่ต้องปรึกษาสวีลิ่งอี๋ ถึงแม้ว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าสืออีเหนียงเขาจะมีความมั่นใจเต็มเปี่ยม แต่เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสวีลิ่งอี๋ สวีซื่อเจี้ยกลับรู้สึกลังเลอยู่เล็กน้อย
สืออีเหนียงยิ้ม “ข้าจะพาเจ้าไปคุยกับท่านพ่อของเจ้า”
บางเรื่องสวีซื่อเจี้ยก็ต้องค่อยๆ เรียนรู้ที่จะเผชิญหน้าคนเดียว
เขาสูดหายใจเข้าลึก ให้กำลังใจตัวเองอยู่นานก่อนจะพยักหน้าให้สืออีเหนียง ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นถึงความแน่วแน่
สืออีเหนียงเห็นดังนั้นก็แอบรู้สึกชื่นชม พาเขาไปที่ห้องหนังสือเรือนนอก
สวีลิ่งอี๋นอนเอนกายบนเก้าอี้จุ้ยเวิง จี้หยกที่เอวของเขาห้อยอยู่กลางอากาศ เมื่อเก้าอี้จุ้ยเวิงโยกไปมา มันก็แกว่งไปมาราวกับลูกตุ้มนาฬิกา
“อู่ชัง จิงโจว เซียงหยาง…” เขาอ่านชื่อของสถานที่นั้นๆ จิ่นเกอกำลังนอนหมอบก้นโด่งหาเมืองต่างๆ อยู่บนแผนที่จิ่วโจว
“พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่” สืออีเหนียงประหลาดใจ
“ท่านแม่!” จิ่นเกอเด้งตัวขึ้นมา “ข้ากับท่านพ่อกำลังเล่นหาเมืองบนแผนที่อยู่!” เขาจูงมือสืออีเหนียงมาดูแผนที่ “ท่านดูสิ นี่คือแผนที่ แผนที่ของต้าโจวขอรับ!” จากนั้นก็เอียงคอถามสืออีเหนียง “ท่านแม่ ท่านรู้หรือไม่ว่าอะไรคือแผนที่” เขาพูดอธิบายอย่างละเอียด “ก็คือการวาดภูเขาและแม่น้ำของต้าโจวบนภาพวาดนี้ด้วยอัตราส่วนหนึ่งต่อหนึ่งแสน” แล้วพูดต่อไปว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่าอะไรคืออัตราส่วนหนึ่งต่อหนึ่งแสน” เขาพูดพลางยกนิ้วชี้ขึ้นมาให้ดู “ท่านดูสิ นิ้วข้าหนึ่งนิ้วยาวแค่นี้ แต่บนภาพวาดนั้นยาวมาก เทียบเท่ากับความยาวนิ้วของข้าหนึ่งแสนนิ้ว…”
“เอาล่ะ เอาล่ะ!” ไม่รู้ว่าสวีลิ่งอี๋เดินมาตั้งแต่เมื่อไร เขาลูบศีรษะจิ่นเกอ “เจ้าเลิกอวดรู้ต่อหน้าท่านแม่เจ้าได้แล้ว ท่านแม่ของเจ้าไม่เพียงแต่รู้ว่าแผนที่คืออะไร ซ้ำนางยังมีหนังสือเก้าแคว้นแห่งต้าโจว อู่ชังอยู่ที่ไหน ห่างไกลจากเยี่ยนจิงเท่าไร ล้อมรอบด้วยแม่น้ำกี่สาย มีมณฑลใดอยู่ภายใต้เขตอำนาจบ้าง ทุกอย่างล้วนถูกเขียนไว้อย่างชัดเจน”
จิ่นเกอเบิกตากว้างมองสืออีเหนียง สายตาของเขาดูเกรงขามเล็กน้อย
สืออีเหนียงถลึงตาใส่สวีลิ่งอี๋ พูดกับบุตรชายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “แม่มีหนังสือดังกล่าวก็จริง แต่การมีหนังสือเช่นนี้กับการที่สามารถจดจำเนื้อหาในหนังสือได้นั้นเป็นคนละเรื่องกัน…”
จิ่นเกอตอบเพียง “ขอรับ” แสดงสีหน้าเข้าใจในทันที
“ข้ารู้แล้ว ข้ารู้แล้ว” เขาพูดเสียงดังว่า “ก็เหมือนกับที่ข้าอ่านตำราปฐมวัยกับท่านแม่ ตัวอักษรบางตัวก็รู้ บางตัวก็ไม่รู้ มีบางที่ที่เข้าใจ บางที่ก็ไม่เข้าใจ”
ทุกคนพากันหัวเราะเมื่อได้ฟังคำพูดที่น่าขบขันของเขา
“ข้าพูดไม่ถูกหรือขอรับ” จิ่นเกอบุ้ยปาก ท่าทางไม่พอใจเล็กน้อย
“เจ้าพูดถูกแล้ว” สวีลิ่งอี๋มองบุตรชาย สายตาแฝงไว้ด้วยความภาคภูมิใจอย่างที่สืออีเหนียงไม่เข้าใจ “ดังนั้นเจ้าต้องจำชื่อสถานที่ทั้งหมดให้ได้ เมื่อคนอื่นถามถึงสถานที่ต่างๆ อีก เจ้าก็จะได้ไม่ต้องตอบอย่างมั่วๆ”
จิ่นเกอพยักหน้าอย่างจริงจัง
สืออีเหนียงส่งสายตาให้สวีซื่อเจี้ย เพื่อจะบอกให้เขารู้ว่าตอนนี้สวีลิ่งอี๋กำลังอารมณ์ดี และเป็นการดีที่สุดที่จะบอกกับสวีลิ่งอี๋ในเวลานี้
แม้ว่าสวีซื่อเจี้ยจะเข้าใจ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเอ่ยคำขอต่อหน้าสวีลิ่งอี๋ ทำให้เขารู้สึกประหม่าเล็กน้อย หลังจากปรับอารมณ์แล้วเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ท่านพ่อ ข้า…ข้ามีเรื่องอยากจะปรึกษาท่านขอรับ!” น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
แววตาของสวีลิ่งอี๋เผยให้เห็นความประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อนึกขึ้นได้ว่าสืออีเหนียงเป็นคนพาสวีซื่อเจี้ยมา เขาเลยทำสีหน้าจริงจัง ทำท่าทางตั้งใจฟัง สีหน้าเผยให้เห็นความเคร่งขรึมเล็กน้อยตามความเคยชิน แต่กลับทำให้สวีซื่อเจี้ยตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อยในทันที
คนผู้นี้ ไม่รู้หรืออย่างไรว่าเวลาตัวเองทำสีหน้าจริงจังนั้นดูเคร่งขรึมมากแค่ไหน
สืออีเหนียงอดบ่นในใจไม่ได้ ยิ้มให้กำลังใจสวีซื่อเจี้ย
สวีซื่อเจี้ยเห็นดังนั้น หัวใจของเขาก็ค่อยๆ สงบลง แม้ว่าจะพูดช้ามาก อีกทั้งยังแฝงไว้ด้วยความกลัวเล็กน้อย แต่ก็สามารถสื่อสารได้อย่างชัดเจนว่าเขาอยากจะเข้าร่วมการสอบขุนนาง
สวีลิ่งอี๋เงยหน้ามองสืออีเหนียง ไม่สามารถปกปิดความประหลาดใจเอาไว้ได้
“เจี้ยเกอเคยบอกกับข้าแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดอย่างตรงไปตรงมา “ข้าเห็นด้วย ในเมื่อเขามีความมุ่งมั่นเช่นนี้ ก็ไม่สู้ลองดูสักตั้ง ใครจะไปรู้ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ไม่ได้มีคำพูดที่ว่า ‘ไม่มีใครแก่เกินเรียน ถ้าตั้งใจคิดจะเริ่มต้นแล้ว จงทำมันให้ดีที่สุด’ หรอกหรือ เจี้ยเกอของพวกเราปีนี้พึ่งอายุสิบสองปีเอง!” พูดพลางส่งยิ้มให้สวีซื่อเจี้ย
ในใจสวีซื่อเจี้ยพลันรู้สึกกล้าหาญขึ้นมาเล็กน้อย
“ท่านพ่อขอรับ ท่านให้ข้าลองดูเถิด!” น้ำเสียงของเขาจริงใจเป็นอย่างมาก “ข้าจะตั้งใจทำให้ดีที่สุด…”
ต่อให้สอบไม่ผ่าน แต่อย่างน้อยเขาก็ยังมีความคิดที่จะพึ่งพาตัวเองในการสร้างอนาคต ก็ดีกว่าคนที่ไม่ศึกษาเล่าเรียน เอาแต่กิน ดื่ม เที่ยวเล่นไปวันๆ…
“เอาสิ!” สวีลิ่งอี๋ตัดสินใจในทันที “หากเจ้าต้องการอะไรก็ให้บอกกับพ่อบ้านไป๋ได้เลย” นึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นคนขี้อาย จึงพูดต่ออีกว่า “หรือจะบอกกับท่านแม่ของเจ้าก็ได้เช่นกัน!”
“ขอบคุณท่านพ่อ ขอบคุณท่านพ่อขอรับ!” สวีซื่อเจี้ยตื่นเต้นดีใจ นี่ไม่ใช่แค่ปัญหาเรื่องการเรียน แต่เป็นการยืนยันการตัดสินใจของท่านพ่อ “ข้าจะตั้งใจเล่าเรียนอย่างแน่นอน…” เขารู้สึกตื้นตันจนพูดอะไรไม่ออก
สวีลิ่งอี๋อดรู้สึกทอดถอนใจไม่ได้
ตอนที่พึ่งอุ้มเขากลับมาก็เพียงแค่วางแผนที่จะเลี้ยงดูเขาไม่ให้ขาดตกบกพร่องเรื่องเสื้อผ้าอาหาร จากนั้นค่อยหาวิธีหางานให้เขา ต่อมาก็ค่อยเริ่มสร้างครอบครัว ก็ถือได้ว่ามีคำอธิบายให้สวีลิ่งควนแล้ว คิดไม่ถึงว่าเด็กคนนี้ที่ไม่เคยเรียกร้องอะไร จู่ๆ ก็มีความทะเยอทะยานอย่างคาดไม่ถึง
เขาอดพูดไม่ได้ว่า “เจ้าเองก็โตแล้ว จะทำอะไรก็ควรมีความเป็นผู้ใหญ่ ในเมื่อตัดสินใจเช่นนี้แล้วก็ไม่ควรละทิ้งกลางทาง ไม่ว่าจะเจออุปสรรคมากมายแค่ไหนก็ต้องยืนหยัดต่อไป พวกเราในฐานะพ่อแม่ย่อมสนับสนุนเจ้าอย่างแน่นอน ส่วนที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับความพยายามของตัวเจ้าเอง…”
สวีซื่อเจี้ยตั้งใจฟังอย่างนอบน้อม พยักหน้าพลางให้คำสัญญากับสวีลิ่งอี๋ “ท่านพ่อวางใจได้ ข้าจะเป็นเหมือนกับพี่สอง จะตั้งใจเล่าเรียนหนังสือขอรับ” จากนั้นก็จะไปหาอาจารย์จ้าวที่เรือนซวงฝู “ข้าอยากจะบอกความคิดของข้ากับท่านอาจารย์…” ท่าทางเหมือนแทบรอไม่ไหวที่จะไปพบอาจารย์จ้าว
สำหรับเขาแล้วอาจารย์จ้าวคงเป็นครูและเป็นสหายที่ดีกระมัง!
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางพยักหน้า “เจ้าไปเถิด!”
สวีซื่อเจี้ยมุ่งหน้าไปเรือนซวงฝูด้วยความตื่นเต้น
จิ่นเกอดึงแขนเสื้อสวีลิ่งอี๋ “ท่านพ่อ ถ้าหากพี่ห้าต้องเข้าสอบจิ้นซื่อเหมือนพี่สอง ก็ต้องไปเรียนหนังสือที่เล่ออานใช่หรือไม่ เช่นนั้นหากข้าโตแล้วก็ต้องไปเรียนหนังสือที่เล่ออานเหมือนกันใช่หรือไม่ขอรับ” ถ้าทางกังวลใจเป็นอย่างมาก
สวีลิ่งอี๋ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ทำไมหรือ เจ้าไม่อยากไปเรียนหนังสือที่เล่ออานอย่างนั้นหรือ”
“เช่นนั้นข้าพาจั่งซุน สุยเฟิง หวงเสี่ยวเหมา หลิวเอ้อร์อู่ไปเล่ออานด้วยได้หรือไม่ขอรับ แล้วยังมีพวกเจ้าหนึ่ง เจ้าสอง…ข้าก็อยากพาไปด้วย!”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะเสียงดังลั่น แต่สายตากลับไปหยุดอยู่ที่สืออีเหนียง “ข้าจะให้เจิ้นซิ่งช่วยหาอาจารย์ที่มีความรู้ให้เจี้ยเกอ เจ้าคิดว่าอย่างไร”
ตั้งแต่ที่สวีซื่อเจี้ยบอกว่าอยากเข้าร่วมการสอบขุนนาง สืออีเหนียงก็เคยพิจารณาเรื่องนี้ไปแล้ว
คุณธรรมและความรู้ของอาจารย์จ้าวนั้นดีมาก เพียงแต่ว่าเขาเชี่ยวชาญในการสอนบทกลอน บทเพลง ทฤษฎีกลยุทธ์ และความเรียงแปดขา เกรงว่าควรจะหาอาจารย์ท่านอื่นดีกว่า นางเองก็เคยคิดที่จะส่งสวีซื่อเจี้ยไปเล่ออาน แต่ประการแรกเล่ออานอยู่ห่างไกลออกไป นางทำใจจากสวีซื่อเจี้ยไม่ได้เล็กน้อย ประการที่สองสถานการณ์ของสวีซื่อเจี้ยกับสวีซื่ออวี้ไม่เหมือนกัน ที่สวีลิ่งอี๋ส่งสวีซื่ออวี้ไปเล่ออาน ประเด็นสำคัญคือให้สวีซื่ออวี้กับเจียงซงมีสถานะเป็นครูกับลูกศิษย์ และเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสวีซื่ออวี้กับสวีซื่อจุน มิเช่นนั้น เยี่ยนจิงกว้างใหญ่เช่นนี้ จะไปหาอาจารย์ที่มีความสามารถชี้นำแนวทางหน้าที่การงานให้สวีซื่ออวี้ได้ที่ไหน
การที่ให้หลัวเจิ้นซิ่งที่เคยเป็นราชบัญฑิตหลวงช่วยเชิญอาจารย์ให้สวีซื่อเจี้ย ก็คงไม่มีอะไรดีไปมากกว่านี้แล้ว!
“ดีเลย!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะไปตรอกกงเสียน! รีบจัดการเรื่องนี้ให้เสร็จแต่เนิ่นๆ เจี้ยเกอก็จะได้เรียนหนังสืออย่างสบายใจ!”
เมื่อสองสามีภรรยาปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว วันรุ่งขึ้น คนหนึ่งไปพบอาจารย์จ้าว อีกคนหนึ่งพาจิ่นเกอไปตรอกกงเสียน
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหลัวเจิ้นซิ่งดีใจแค่ไหนที่ได้เจอจิ่นเกอ หลังจากเล่นกับจิ่นเกอได้สักพักก็เริ่มคุยธุระกับสืออีเหนียง
เมื่อได้ยินว่าจะให้ช่วยเชิญอาจารย์ให้สวีซื่อเจี้ย หลัวเจิ้นซิ่งก็ประหลาดใจเล็กน้อย แม้ว่าเขาจะรับปาก แต่ก็พูดเตือนสืออีเหนียงว่า “การสอบขุนนางอาศัยอาจารย์สามส่วน อาศัยตัวเองเจ็ดส่วน มิเช่นนั้น คนที่เป็นซิ่วไฉก็สอนให้สอบได้ระดับฮุ่ยหยวนได้ คนที่เป็นจู่เหรินก็สอนให้กลายเป็นราชบัณฑิตได้เยอะแยะมากมายไปแล้ว!อย่างไรเจ้าก็ต้องจับตาดูความพยายามของเขาอย่างใกล้ชิด!”
“ข้าเองก็รู้ดีเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงก็เคยพยายามจนสอบผ่านได้ทุนเต็มจำนวนไปเรียนต่างประเทศ “เพียงแต่ว่าหากความรู้ของอาจารย์ดีขึ้นมาหน่อย ลูกศิษย์ก็จะผ่อนคลายมากขึ้น” ทั้งสองคนพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องในจวนที่อวี๋หัง พอสืออีเหนียงทานอาหารกลางวันเสร็จก็พาจิ่นเกอกลับเหอฮวาหลี่
สวีลิ่งอี๋พึ่งกลับมาหลังจากทานอาหารกลางวันกับอาจารย์จ้าวที่เรือนนอก
“อาจารย์จ้าวก็คิดว่าเป็นการดีหากจะหาอาจารย์อีกคนให้เจี้ยเกอ!” เขาดื่มสุรามาเล็กน้อย อารมณ์ค่อนข้างดี กอดจิ่นเกอพลางหอมสองสามที จิ่นเกอถูกเขากอดแน่นจนร้องงอแง “เช่นนี้ตอนเช้าเขาก็จะได้ทุ่มเทการสอนให้กับจิ่นเกอ ส่วนตอนบ่ายก็จะได้ทุ่มเทการสอนให้กับจุนเกอ พัฒนาการของจิ่นเกอก็จะได้เร็วขึ้นด้วย!”
สืออีเหนียงบิดผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้สวีลิ่งอี๋ จิ่นเกออาศัยโอกาสนี้วิ่งออกไป
“ดื่มไปเท่าไรเจ้าคะ ทำเอาลูกตกใจหมด!”
“ก็ข้ามีความสุข!” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม ขณะที่ยื่นผ้าเช็ดหน้าให้สืออีเหนียง เขาก็ดึงตัวสืออีเหนียงลงมาซบในอ้อมแขนของเขา “จิ่นเกอของพวกเราดูแผนที่เป็นแล้วนะ!” พูดพลางหอมแก้มสืออีเหนียงแรงๆ หนึ่งที
บ่าวรับใช้ที่ปรนนิบัติในห้องเห็นดังนั้นก็พากันก้มหน้าแล้วถอยออกไปทันที
“ท่านเมาแล้ว!” สืออีเหนียงดิ้นพลางลุกขึ้นมา ยกน้ำแกงสร่างเมาที่อยู่ข้างๆ ให้เขา “รีบสร่างเมาสักทีเถิด!”
สวีลิ่งอี๋ไม่รับ มองนางด้วยดวงตาที่เป็นประกาย
สืออีเหนียงหัวเราะ
นั่งลงบนขอบเตียงเตาแล้วปรนนิบัติเขาดื่มน้ำแกง
สวีลิ่งอี๋จับมือสืออีเหนียง “มั่วเหยียน ต่อไปให้จิ่นเกอไปคัดตัวอักษรที่ห้องหนังสือข้าเถิด!”
“เด็กเล็กต้องฝึกฝนความเคยชินที่ดีให้เป็นนิสัย” สืออีเหนียงพูดอย่างอ้อมค้อมว่า “ท่านก็รู้ไม่ว่าข้าจะยุ่งแค่ไหนก็ต้องเฝ้าจิ่นเกอทำการบ้านก่อนแล้วค่อยทำเรื่องอื่น แต่ท่านโหวมีเรื่องมากมายจะเอาเวลาที่ไหนมาดูจิ่นเกอ!”
“ข้ามีเรื่องอันใดกัน ก็แค่ทำตัวให้ยุ่งเท่านั้น” สวีลิ่งอี๋มองสืออีเหนียง สีหน้าจริงจังเป็นอย่างมาก “ให้จิ่นเกอไปคัดตัวอักษรที่เรือนข้าเถิด จะได้อยู่เป็นเพื่อนข้าด้วย”
สืออีเหนียงได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกปวดใจ
ปีนี้สวีลิ่งอี๋พึ่งจะอายุสามสิบหกปี
ในสมัยของนางนับว่าเป็นช่วงอายุที่กำลังรุ่งโรจน์ของผู้ชาย…
“เช่นนั้นเรามาตกลงกันก่อนเจ้าค่ะ!” น้ำเสียงของนางอ่อนลงโดยไม่รู้ตัว “ท่านห้ามสามวันจับปลา สองวันตากแหเป็นอันขาด…”