ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 651 ร่วงหล่น (ต้น)
สืออีเหนียงมองดูคุณนายสามสกุลหลัวที่มีสายตาเป็นมิตร นางไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือโมโหดี
คิดไม่ถึงว่านางจะช่วยหวังเฉิงจู่ช่วงชิงสิทธิ์ในการดูแลเรื่องในครอบครัวจากสือเหนียง
หวังเฉิงจู่คนนี้ช่างกล้าคิดจริงๆ ใช้ท่านลุงของตัวเองมากดขี่ท่านแม่ของตัวเอง
ทันใดนั้น สืออีเหนียงก็ขนแขนตั้งชัน
ตอนแรกเขานำเทียบเชิญงานแต่งมาให้คนในสกุลหลัวด้วยตัวเอง ถือโอกาสปรับความสัมพันธ์ของเขากับคนสกุลหลัว จากนั้นก็ถือโอกาสใช้งานแต่งของตัวเอง ต้อนรับคนสกุลเดิมของสือเหนียงอย่างขยันขันแข็ง ตีสนิทกับคนสกุลหลัวสำเร็จ ตอนนี้เจตนาที่แท้จริงถูกเปิดเผยออกมาแล้ว
หากเขาไม่ใจร้อนแบบนี้ หากเขาไม่เลือกคุณชายสามที่ไม่มีปากมีเสียงในตระกูล จะเป็นอย่างไรกัน
สือเหนียง…เลี้ยงหมาป่าเข้าให้แล้ว
แล้วการที่คุณชายสามกับคุณนายสามสกุลหลัวช่วยหวังเฉิงจู่ทำแบบนี้ ยิ่งทำให้ผู้คนดูถูกเหยียดหยาม
“น่าแปลก!” สืออีเหนียงพูดอย่างไม่เกรงใจ “พี่หญิงสิบเป็นม่าย ทำอะไรสะดวกหรือไม่สะดวก คนสกุลหวังยังไม่ว่าอะไร เหตุใดพี่สามถึงต้องยื่นมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องของจวนเม่ากั๋วกงด้วยเล่า!”
คุณนายสามสกุลหลัวตกตะลึง
นางอาศัยอยู่ที่เยี่ยนจิง ความสัมพันธ์ของสือเหนียงและสืออีเหนียงเป็นเช่นไร คนอื่นไม่รู้ แต่ตนนั้นรู้ดี การที่เม่ากั๋วกงเชิญคุณชายสามไปดื่มสุรา แล้วยังพูดเป็นนัยว่าหากคุณชายสามช่วยพูดเรื่องนี้ต่อหน้าคุณชายหรือคุณหนูสองสามคนของสกุลหลัว เขาจะนำเงินหนึ่งพันตำลึงมอบให้เป็นค่าตอบแทน ตนจึงมาหาสืออีเหนียง…ตนไม่หวังว่าสืออีเหนียงจะช่วยเหลือ แค่สืออีเหนียงไม่พูดอะไรก็พอแล้ว…ในบรรดาญาติๆ สืออีเหนียงมีตำแหน่งสูงที่สุด ตราบใดที่นางไม่คัดค้าน ตนก็จะมีความมั่นใจในการเกลี้ยกล่อมคนอื่นในสกุลหลัว ต้องรู้ว่า การเสียชีวิตของนายหญิงใหญ่ตอนนั้นเกี่ยวข้องกับสือเหนียง
แต่คิดไม่ถึงว่าสืออีเหนียงจะพูดเช่นนี้
“คุณหนูสิบเอ็ดคงจะไม่รู้” คุณนายสามสกุลหลัวรีบพูด “สองวันก่อนเม่ากั๋วกงบังเอิญเจอคุณชายสาม จึงพูดคุยกันเรื่องในครอบครัว…”
“เม่ากั๋วกงเป็นหลานชาย แล้วยังอายุน้อย ไม่มีประสบการณ์อะไร เล่าเรื่องในครอบครัวให้ท่านลุงท่านป้าท่านน้าฟังก็เพราะว่าเขาให้ความสำคัญกับพวกเจ้า แล้วก็ให้ความสำคัญกับคนเป็นมารดาอย่างสือเหนียง” สืออีเหนียงเกียจคร้านที่จะพูดคุยกับคนเช่นนี้ ไม่รอให้นางพูดจบ นางก็ยิ้มแล้วขัดจังหวะคุณนายสามสกุลหลัว “พี่สามและพี่สะใภ้สามเป็นผู้ใหญ่ ควรจะเกลี้ยกล่อมพวกเขา เหตุใดถึงบอกให้พี่หญิงสิบมอบสิทธิ์ในการดูแลเรื่องในจวนให้เม่ากั๋วกงเช่นนี้เล่า เม่ากั๋วกงพึ่งจะแต่งงาน คนที่รู้คงคิดว่าในฐานะท่านลุงอย่างพี่สาม ไม่อยากให้น้องสาวตัวเองลำบาก อยากให้เม่ากั๋วกงดูแลตระกูลเร็วๆ ที่ทำเช่นนี้ก็เพื่อสกุลหวัง แต่คนที่ไม่รู้คงคิดว่าพี่หญิงสิบทำเรื่องเลวร้ายอะไร แม้แต่พี่น้องสกุลเดิมของตัวเองก็ไม่ไว้หน้า จึงไม่ให้พี่หญิงสิบเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องของจวนกั๋วกง...”
พูดแรงเกินไปแล้ว
คุณนายสามสกุลหลัวแอบเสียใจในใจ
หากรู้ว่าจะเป็นแบบนี้ ควรไปปรึกษากับคุณหนูสี่ก่อนจะดีกว่า เพราะไม่ว่าอย่างไร คุณหนูสี่และคุณชายสามคือพี่น้องมารดาเดียวกัน นางไม่มีทางยอมให้คุณชายสามเสียเปรียบอย่างแน่นอน
“คุณชายสามไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น” นางพูดด้วยสีหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก “เม่ากั๋วกงบอกว่าคุณหนูสิบลำบากมาหลายปีแล้ว คุณชายสามจึงมีความคิดแบบนั้น…”
“ถ้าอย่างนั้น พี่สามกับพี่สะใภ้สามทำไม่ถูกเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดอย่างไม่ไว้หน้านาง พูดต่อไปอย่างไม่เกรงใจ “ข้าเป็นแค่น้าหญิง ไม่มีสิทธิ์พูดอะไร แต่หากสกุลหวังเชิญข้าไปปรึกษา เพราะเห็นว่าข้าเป็นสกุลญาติ ข้าก็ต้องถามความคิดเห็นของพี่ใหญ่ก่อน คนเป็นท่านลุงจะช่วยออกหน้าพูดให้โดยที่ไม่ถามเหตุผลอะไรเลยได้อย่างไรกัน ข้าคิดว่าเม่ากั๋วกงยังเด็ก พี่หญิงสิบดูแลจวนสกุลเม่ากั๋วกงอย่างเหมาะสมมาตั้งหลายปี ข้าไม่เคยได้ยินว่าพี่หญิงสิบทำอะไรผิดพลาดเพราะเป็นม่าย จะให้เม่ากั๋วกงที่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปีมาดูแลเรื่องในจวนแทนนาง เกรงว่าจะดูใจร้อนเกินไปกระมัง”
ท่าทีของสืออีเหนียงชัดเจน
จากนั้นนางก็ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ
คุณนายสามสกุลหลัวหน้าแดงก่ำ นางนั่งไม่ติด รีบลุกขึ้นแล้วขอตัวลาทันที
สืออีเหนียงส่ายหน้า จากนั้นก็พูดกับหู่พั่วว่า “เจ้าไปหาพี่หญิงสี่ เล่าเรื่องที่พี่สะใภ้สามมาพูดกับข้าให้พี่หญิงสี่ฟัง พวกเขาเป็นครอบครัวเดียวกัน มีเรื่องอันใดก็ให้นางเป็นคนจัดการดีกว่า” จากนั้นก็เขียนจดหมายบอกให้หู่พั่วนำไปให้หลัวเจิ้นซิ่งที่ตรอกกงเสียน
หู่พั่วขานรับ “เจ้าค่ะ” อย่างนอบน้อม จากนั้นก็ปรากฏท่าทางลังเลใจ “เช่นนั้นเรื่องของคุณหนูสิบ?”
“เจ้าไปบอกนางด้วยเถิด!” สืออีเหนียงพูดอย่างเรียบเฉย “ความสัมพันธ์ของเราก็คือความสัมพันธ์ แต่เมื่อเจอเรื่องแบบนี้ก็ต้องเตือนนาง ไม่ว่านางจะเชื่อหรือไม่ ยอมฟังหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับนางแล้ว!”
หู่พั่วขานรับแล้วเดินออกไป
ซื่อเหนียงเขียนจดหมายขอบคุณพร้อมกับนำผ้าไหมชั้นดีสองสามผืนให้หู่พั่วนำกลับมา ถือว่าเป็นของขอบคุณสืออีเหนียง แต่เมื่อสือเหนียงได้ยินว่าหู่พั่วมาหานางตามคำสั่งของสืออีเหนียง นางกลับไม่ยอมพบหน้าหู่พั่ว
หู่พั่วไม่มีทางเลือก จึงเล่าเรื่องนี้ให้อิ๋นผิงฟัง
อิ๋นผิงตกใจ บอกให้จินเหลียนนั่งอยู่กับหู่พั่ว ตัวเองไปรายงานสือเหนียงอีกครั้ง แต่สุดท้ายสือเหนียงก็ไม่ยอมพบหู่พั่วอยู่ดี
“ช่างมันเถิด!” สืออีเหนียงรู้สึกว่าสือเหนียงในตอนนี้ไม่เพียงแต่แปลกประหลาด แต่ยังไร้เหตุผล นางถอนหายใจ “เรื่องที่ข้าควรทำก็ทำหมดแล้ว ข้าไม่มีอะไรต้องกลัว!”
หู่พั่วยิ้มขึ้นอย่างขมขื่น
สืออีเหนียงทิ้งเรื่องนี้ไว้ชั่วคราว ยุ่งอยู่กับการเก็บของตกแต่งฤดูหนาวของแต่ละเรือน แจกจ่ายเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิ ซื้อเสื้อผ้าฤดูร้อน…กว่าจะจัดการเรื่องต่างๆ เสร็จก็ถึงปลายเดือนสอง จากนั้นก็เริ่มเตรียมงานเลี้ยงเทศกาลซานเย่ว์ซานที่จะมีขึ้นในวันที่สามเดือนสาม
“เราจัดงานฉลองเทศกาลซานเย่ว์ซานที่ท่าเรือหลิวฟังกันดีกว่า!” ไท่ฮูหยินพูดต่อไป “หากอากาศดี เราก็ไปพายเรือ หากอากาศไม่ดี ก็นั่งฟังเสียงเม็ดฝนในศาลา ไม่เลวเลยทีเดียว”
ตั้งแต่ที่สืออีเหนียงพาคุณนายใหญ่สกุลหลิน โจวฮูหยินและบรรดาฮูหยินที่ค่อนข้างมีอายุไปพักผ่อนที่ศาลาชุนเหยี่ยน ไท่ฮูหยินก็มักจะนึกถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด
“ได้เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงเองก็คิดว่านั่งฟังงิ้วที่โถงเตี่ยนชุนทุกปี ผ่านไปนานวันเข้า ถึงแม้จะดีแค่ไหนก็ไม่มีความแปลกใหม่ “เช่นนั้นเราจัดงานเลี้ยงที่ท่าเรือหลิวฟังกันเถิด” พูดจบ ก็ถามความคิดเห็นของไท่ฮูหยิน “ท่านคิดว่าเราเชิญนักเล่าเรื่องมาเล่าเรื่องที่จวนดีหรือไม่ ถือว่าแสดงความยินดี แต่ข้าไม่รู้ว่านักเล่าเรื่องที่ดีที่สุดในเยี่ยนจิงคือใคร จะเชิญมาในวันนั้นได้หรือไม่”
ขณะที่นางกำลังพูด หู่พั่วก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก เห็นสืออีเหนียงกำลังพูดคุยกับไท่ฮูหยิน นางจึงไม่กล้าขัดจังหวะ ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าเป็นกังวล ท่าทีดูกระวนกระวาย
ไท่ฮูหยินรู้ว่านางคือคนที่มีความสามารถที่สุดของสืออีเหนียง รู้ว่านางเป็นคนสุขุม เห็นเช่นนี้ไท่ฮูหยินจึงเรียกนาง “มีเรื่องอันใด เจ้าก็รายงานมาเถิด”
หู่พั่วเดินเข้าไปคำนับไท่ฮูหยิน จากนั้นก็พูดว่า “นายหญิงของจวนเม่ากั๋วกงเสียชีวิตกะทันหันเจ้าค่ะ ท่านโหวบอกให้บ่าวมารายงานฮูหยิน”
นายหญิงของจวนเม่ากั๋วกง...
สืออีเหนียงพลันได้สติกลับมา
“เมื่อไร” สืออีเหนียงราวกับได้ยินเสียงของตัวเองดังก้องอยู่ในหูอย่างชัดเจน “ใครเป็นคนมารายงานการเสียชีวิต คนที่มารายงานอยู่ที่ไหน”
“เข้าใจผิดตรงไหนหรือไม่” ไท่ฮูหยินท่าทีราวกับไม่อยากจะเชื่อ “นางยังเด็ก เหตุใดถึงเสียชีวิตเร็วเช่นนี้” ไท่ฮูหยินนึกถึงงานเทศกาลซานเย่ว์ซานของปีนั้น สือเหนียงที่หน้าตางดงามและมีรอยยิ้มที่สดใส ท่ามกลางบรรดาเด็กผู้หญิงมากมาย นางสว่างไสวราวกับดวงอาทิตย์ยามฤดูร้อนก็ไม่ปาน…ไท่ฮูหยินรู้สึกเศร้าใจ “เสียชีวิตเช่นไร นางฝากคำพูดอะไรไว้หรือไม่”
“บ่าวเองก็ไม่ค่อยรู้เจ้าค่ะ” หู่พั่วพูดเบาๆ “คนที่มารายงานการเสียชีวิตคือผู้ดูแลหญิงของจวนเม่ากั๋วกง บ่าวพามาด้วยแล้วเจ้าค่ะ…”
สืออีเหนียงและสือเหนียงเป็นพี่น้องตระกูลเดียวกัน ตามหลักแล้ว สืออีเหนียงต้องไปร่วมพิธีสวมเสื้อผ้าให้ศพของนาง การรายงานการเสียชีวิตอย่างเป็นทางการ ต้องรายงานหลังพิธีสวมเสื้อผ้าให้ผู้ตาย ดังนั้งสกุลหวังจึงส่งผู้ดูแลหญิงมารายงานสืออีเหนียง
ทันทีที่หู่พั่วพูดจบ ไท่ฮูหยินก็พูดขึ้นว่า “รีบให้นางเข้ามา!!”
หู่พั่วเดินออกไปพาผู้ดูแลหญิงคนนั้นเข้ามา
“นายหญิงเสียชีวิตเมื่อยามโฉ่วเจ้าค่ะ” ผู้ดูแลหญิงคนนั้นพูดด้วยดวงตาที่ช้ำบวม “เช้าวันนี้ท่านกั๋วกงบอกให้บ่าวมารายงานการเสียชีวิต นายหญิงป่วยติดเตียงมาหลายปีแล้ว ก่อนท่านกั๋วกงจะแต่งงาน นายหญิงก็บอกว่าตัวเองไม่ไหวมาตลอด แต่ก็ผ่านพ้นมาได้ทุกครั้ง ท่านกั๋วกงคิดว่าครั้งนี้นายหญิงคงไม่เป็นอะไร ท่านกั๋วกงกำลังรับใช้นายหญิงอยู่ จากนั้นนางก็ผล็อยหลับไป แต่ที่จริงแล้วนายหญิงนั้น…” ผู้ดูแลหญิงคนนั้นสะอื้นไห้ “ท่านกั๋วกงร้องไห้ราวกับจะเป็นจะตายก็ไม่ปาน ต้องใช้เครื่องหอมช่วยผ่อนคลายจิตใจถึงจะนอนหลับได้… “
“เด็กคนนี้!” ไท่ฮูหยินถอนหายใจ จากนั้นก็พูดกับสืออีเหนียง “เจ้ารีบไปดูเถิด! หากเย็นนี้ไม่สะดวก เจ้าก็พักอยู่ที่นั่น ประเดี๋ยวข้าจะดูแลจิ่นเกอเอง!”
สืออีเหนียงเอ่ยขอบคุณไท่ฮูหยิน จากนั้นก็พาหู่พั่วไปยังจวนเม่ากั๋วกง
จวนเม่ากั๋วกงห้อยผ้าม่านสีขาวเรียบร้อยแล้ว บรรดาบ่าวรับใช้ล้วนผูกผ้าสีขาวไว้ที่เอว ถึงแม้ยังจะไม่ได้จัดโถงไว้ทุกข์ แต่จัดโต๊ะในโถงไว้ทุกข์ เบาะสีขาว กระถางดอกไม้ล้วนแต่เตรียมพร้อมหมดแล้ว
“ช่างเตรียมการเร็วเสียจริงเจ้าค่ะ!” หู่พั่วประคองสืออีเหนียงลงมาจากรถม้า
แต่สืออีเหนียงกลับใจสั่นระรัว
เพิ่งเสียชีวิตไปเมื่อยามโฉ่วของวันนี้ นางได้รับข่าวเมื่อยามเฉิน ตอนนี้พึ่งจะยามซื่อ…แต่ดูเหมือนสกุลหวังจะเตรียมทุกอย่างเอาไว้หมดแล้ว ราวกับแค่รอให้สือเหนียงหมดลมหายใจ…
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา สืออีเหนียงพลันส่ายหน้าอย่างแรง นางเตือนตัวเองว่าอย่าคิดอะไรฟุ้งซ่าน
หวังเฉิงจู่ออกมาต้อนรับ
เขาตาแดงก่ำ สีหน้าซีดเซียว สวมเสื้อไว้ทุกข์สีขาวที่ยับยู่ยี่ พลอยทำให้เขาดูห่อเหี่ยวราวกับผักที่ถูกทิ้งไว้ข้ามคืนก็ไม่ปาน
“ท่านน้าหญิงสิบเอ็ด ท่านมาแล้วหรือ!” เขานั่งยองๆ ลงตรงหน้าสืออีเหนียง จากนั้นน้ำตาก็รินไหลอาบหน้า “ข้ากลายเป็นเด็กไม่มีแม่แล้ว ต่อไปท่านน้าหญิงโปรดเห็นข้าเป็นเหมือนลูกแท้ๆ…ให้ข้าได้มีแม่ให้ตอบแทนพระคุณด้วยเถิดขอรับ”
สืออีเหนียงเหลือบมองเขา ก่อนจะพูดอย่างเคร่งขรึม “พาข้าไปหาท่านแม่ของเจ้า!”
“ขอรับ!” หวังเฉิงจู่ท่าทีดูอ่อนแรง ต้องให้คนที่อยู่ข้างๆ ช่วยประคองลุกขึ้นมา จากนั้นก็พาสืออีเหนียงไปยังห้องหลัก
ภรรยาของหวังเฉิงจู่สวมชุดไว้ทุกข์นั่งอยู่กับสตรีคนหนึ่งด้วยดวงตาที่แดงก่ำ
เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา ทุกคนก็ลุกขึ้นยืน
สืออีเหนียงเห็นมารดาผู้ให้กำเนิดของหวังเฉิงจู่
มารดาผู้ให้กำเนิดหวังเฉิงจู่เห็นว่าสืออีเหนียงมองมาที่ตัวเอง ก็ก้มหน้าลง
สืออีเหนียงเดินเข้าไปข้างใน
ตรงกลางห้องมีเตียงไท่ผิงวางอยู่ ปูด้วยผ้าไหมสีฟ้า มีร่างของสตรีที่สวมชุดสีแดงอยู่บนนั้น
นางคิ้วเรียวยาว หน้าผากกว้าง จมูกโด่ง…นางคือสือเหนียง
สือเหนียงม้วนผมสีดำเป็นมวยดอกโบตั๋นอย่างเรียบร้อย สวมเครื่องประดับบนหัว แต่งหน้าอ่อนๆ ถึงแม้ว่านางจะผ่ายผอม แต่สีหน้ากลับดูสดชื่นและสงบ ราวกับกำลังนอนหลับอย่างไรอย่างนั้น
สืออีเหนียงเห็นดังนั้นก็ตกตะลึง