ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 650 เตรียมตัวล่วงหน้า (ปลาย)
สืออีเหนียงเห็นบุตรชายของตัวเองกลับมาร่าเริงเหมือนเดิมก็รู้สึกโล่งใจ จากนั้นจึงเริ่มลงมือจัดการเรื่องปีใหม่
เซ่นไหว้เทพแห่งเตาไฟ ปัดกวาดฝุ่น เปลี่ยนแผ่นกระดานยันต์ไม้ท้อ เซ่นไหว้บูชาบรรพบุรุษ จุดประทัดในวันส่งท้ายปีเก่า ทานอาหารส่งท้ายปีเก่า นางกับสวีลิ่งอี๋ไปร่วมงานเลี้ยงของแต่ละตระกูล จนกระทั่งถึงวันที่สิบสองเดือนหนึ่งถึงค่อยๆ สงบลง
ทายาทของสือเหนียง หวังเฉิงจู่ เม่ากั๋วกงมาคารวะนาง
สืออีเหนียงแปลกใจ
ปีที่สองหลังจากที่นายหญิงใหญ่เสียชีวิต ไท่ฮูหยินสกุลหวังก็ล้มป่วย สือเหนียงให้ผู้ติดตามคนหนึ่งของหวังไท่ฮูหยินช่วยตัวเองดูแลเรื่องในจวน ดูแลเรื่องต่างๆ ระหว่างสกุลญาติ แต่นางกลับปิดประตูเรือน พาหวังเฉิงจู่ใช้ชีวิตตัดขาดจากโลกใบนี้ นอกจากให้ผู้ดูแลคนนั้นพาหวังเฉิงจู่ไปคารวะบรรดาสกุลญาติช่วงปีใหม่แล้ว ปกติก็มักจะขังหวังเฉิงจู่เอาไว้ ให้เอาแต่เรียนหนังสือ เขียนตัวอักษรอยู่ที่จวน ว่ากันว่าเพราะแบบนี้ บิดามารดาผู้ให้กำเนิดหวังเฉิงจู่เลยฟ้องร้องสือเหนียงตั้งหลายครั้งหลายครา บอกว่าสือเหนียงเลี้ยงเด็กดีๆ คนหนึ่งให้กลายเป็นเด็กซื่อบื้อ แม้แต่สกุลญาติก็ไม่รู้จัก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลักครองตนในสังคม แล้วยังบอกว่าสือเหนียงทำเช่นนี้ไม่ใช่การเลี้ยงดูเด็ก แต่เป็นการเลี้ยงหุ่นเชิด
สืออีเหนียงไม่ได้พูดอะไร นางบอกให้บ่าวรับใช้เชิญพวกเขาออกไป ให้หวังเฉิงจู่กลับไปอยู่ในเรือนตัวเองเหมือนเดิม
ปีใหม่นี้ยังไม่สิ้นสุด หวังเฉิงจู่มาที่นี่ทำไมกัน ยิ่งไปกว่านั้น ปีก่อนๆ ที่หวังเฉิงจู่มา เขาก็แค่คารวะสวีลิ่งอี๋ลานนอก ไม่เคยเข้ามาขอพบนางแบบนี้
“ให้เขาเข้ามาเถิด!”
ในขณะที่นางกำลังพูด ก็มีภาพของเด็กน้อยที่หน้าตาหล่อเหลาของหวังเฉิงจู่ในวัยเด็กปรากฏขึ้นมาในหัวของนาง
เขาอายุเท่าจุนเกอ เจ็ดปีผ่านไปแล้วก็น่าจะเติบโตเป็นหนุ่มแล้ว ไม่รู้ว่าหน้าตาของเขาเปลี่ยนไปหรือไม่
ในขณะที่นางกำลังครุ่นคิด ก็เห็นหู่พั่วพาเด็กผู้ชายรูปร่างสูงโปร่งสวมชุดคลุมเผาจื่อสีแดงเดินเข้ามา
ดวงตาที่สุกใส ผิวพรรณขาวผ่อง เข้ามาซ้อนทับกับเงาของเด็กน้อยในความทรงจำของสืออีเหนียงอย่างรวดเร็ว
“เม่ากั๋วกง?”
“ท่านน้าหญิงอย่าเรียกข้าเช่นนี้เลยขอรับ” หวังเฉิงจู่คำนับสืออีเหนียงอย่างนอบน้อม “ควรจะมาคารวะท่านน้าหญิงตั้งนานแล้ว แต่ว่าท่านแม่เป็นม่าย เลยไม่สะดวกที่จะออกไปไหน โปรดท่านน้าหญิงอย่าได้ถือสา”
นี่คือคนซื่อบื้อ ไม่รู้จักหลักครองตนในสังคมอย่างนั้นหรือ
จากที่นางเห็น หวังเฉิงจู่คนนี้ยังพูดจาเป็นกว่าสวีซื่อจุนที่มีคนคอยอบรมสั่งสอนเสียอีก
“ท่านแม่ของเจ้าสบายดีหรือไม่” สืออีเหนียงบอกให้หู่พั่วยกเก้าอี้ไท่ซือมาให้หวังเฉิงจู่นั่ง
“ท่านแม่ป่วยออดๆ แอดๆ มาหลายปีแล้วขอรับ” ใบหน้าที่อ่อนโยนของหวังเฉิงจู่ปรากฏความโศกเศร้าที่ไม่สอดคล้องกับอายุของเขา แต่สายตาของเขากลับมีความตื่นเต้น ทำให้ความโศกเศร้าของเขาดูไม่ค่อยมีความจริงใจสักเท่าไร “ข้ายังเด็ก ช่วยอะไรท่านแม่ไม่ได้ จึงช่วยจุดธูปต่อหน้าพระโพธิสัตว์ในวันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของทุกเดือนให้ท่านแม่ ขอให้พระโพธิสัตว์ปกป้องคุ้มครองท่านแม่ ให้ท่านแม่กลับมามีชีวิตที่สงบสุขในเร็ววัน!” พูดจบ เขาก็ถามถึงจิ่นเกอ “ข้าเคยเห็นเขาตอนที่มาคารวะท่านน้าชายที่ห้องโถงเมื่อปีใหม่ปีที่แล้ว น้องหกคงจะสูงขึ้นแล้วกระมัง ปีใหม่ยังไม่สิ้นสุด อาจารย์ของเขาคงยังไม่กลับมาใช่หรือไม่ เหตุใดถึงไม่เห็นน้องหกเล่าขอรับ”
สืออีเหนียงรู้สึกไม่ชอบหวังเฉิงจู่ นางรู้สึกว่าเด็กคนนี้ฉลาดเกินไป ไม่มีความจริงใจ
“น้องหกของเจ้ากำลังฝึกฝนศิลปะการต่อสู้อยู่ที่โถงศิลปะการต่อสู้!” นางตอบกลับไปอย่างเรียบง่าย จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่อง “เจ้ามาในวันนี้ มีเรื่องสำคัญอันใดหรือไม่”
“ไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใดขอรับ!” หวังเฉิงจู่พลันหน้าแดง พูดต่อไปว่า “ท่านแม่กำหนดวันแต่งงานให้ข้าวันที่ยี่สิบแปดเดือนหนึ่ง ข้าจึงนำเทียบเชิญมาให้ท่านน้าหญิงขอรับ”
สืออีเหนียงได้ฟังแล้วก็ตกใจ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้สติกลับมา
มามอบเทียบเชิญงานแต่งของตัวเองด้วยตัวเองได้อย่างไรกัน!
แล้วยังนำมามอบให้นางตรงๆ แบบนี้
ไม่ว่าจวนเม่ากั๋วกงจะยากจนแค่ไหน แต่อูฐที่ผอมตายยังตัวใหญ่กว่าม้า กฎเกณฑ์ที่ควรมีก็ควรจะมี…
“ท่านน้าหญิง ข้ารู้ว่าทำเช่นนี้นั้นเสียมารยาท แต่ข้าไม่ได้มาหาท่านน้าหญิงหลายปีแล้ว กลัวท่านน้าหญิงจะห่างเหินกับข้า ข้าจึงต้องหน้าด้านมาหาท่านน้าหญิงเองขอรับ” หวังเฉิงจู่พูดด้วยท่าทีที่ไม่สบายใจ “เรื่องนี้ เดิมทีท่านแม่จะให้ผู้ดูแลส่งเทียบเชิญมาให้ แต่ข้าคิดว่า ท่านแม่ไม่ค่อยไปมาหาสู่กับท่านน้าหญิง แล้วยังกำหนดงานแต่งไว้เดือนหนึ่ง เป็นช่วงที่ทุกสกุลกำลังยุ่งวุ่นวาย หากท่านน้าหญิงมีเรื่องสำคัญ ไปร่วมดื่มสุรามงคลของข้าไม่ได้ ท่านแม่คงจะเสียใจอย่างมาก!” พูดจบ เขาก็ตาแดงก่ำ “เดิมทีข้าไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้…ท่านแม่…เข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงท่านแม่ก็เริ่มไอเป็นเลือด…ไม่เช่นนั้น ท่านแม่คงจะไม่กำหนดวันแต่งงานให้ข้าเร็วถึงเพียงนี้…”
สืออีเหนียงตกอกตกใจเป็นอย่างมาก “ท่านแม่ของเจ้าไอเป็นเลือด? เชิญท่านหมอมาดูแล้วหรือยัง ท่านหมอว่าเช่าไร ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง”
หวังเฉิงจู่เห็นสืออีเหนียงถามเยอะแบบนี้ สีหน้าของเขาก็ผ่อนคลายลง ตอบกลับไปว่า “เชิญท่านหมอมาตรวจดูแล้วขอรับ ท่านหมอบอกว่า ท่านแม่เป็นโรคเดิม ต้องค่อยๆ รักษา ตอนนี้อาการยังไม่ดีขึ้น สองสามวันที่ผ่านมาอากาศหนาว ท่านแม่ไอจนนอนไม่หลับทั้งคืน สองสามวันนี้อากาศอบอุ่นขึ้นมาหน่อย อาการของท่านแม่จึงดีขึ้นไม่น้อย”
สืออีเหนียงเงียบไปครู่หนึ่ง บอกให้หู่พั่วนำยาน้ำเชื่อมแก้ไอสองขวดมาให้หวังเฉิงจู่ “นำกลับไปให้ท่านแม่ของเจ้า ยานี้ช่วยทำให้ชุ่มคอ!”
หวังเฉิงจู่เอ่ยขอบคุณสืออีเหนียง พูดคุยกับสืออีเหนียงอีกสองสามประโยค จากนั้นก็ลุกขึ้นขอตัวลา
เมื่อสวีลิ่งอี๋กลับมา สืออีเหนียงก็เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟังทันที “ท่านได้รับเทียบเชิญของจวนเม่ากั๋วกงหรือยังเจ้าคะ บอกว่าขังเขาให้เรียนหนังสือ ฝึกเขียนตัวอักษรอยู่ในจวนไม่ใช่หรือ เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าเด็กคนนี้เฉลียวฉลาดกว่าผู้ดูแลหลายคนเสียอีก!”
“ไม่ใช่!” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “เด็กคนนี้ฉลาดมาตลอด แล้วยังไม่เคยได้ยินว่าเขาเคยก่อเรื่องข้างนอก น่าจะเป็นพรสวรรค์มาตั้งแต่เกิด!” เขาพูดต่ออีก “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาแต่งกับบุตรสาวสกุลใด”
เอาแต่คิดถึงเรื่องของสือเหนียง เลยลืมนี้ไปเสียสนิท
แต่อาจเป็นเพราะว่าตนไม่สนใจเรื่องนี้อยู่แล้ว!
“ข้าไม่ได้ถามเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “อีกสองวันป้าซ่งจะนำของขวัญไปมอบให้เขา ถึงตอนนั้นค่อยให้นางไปถามก็ได้”
สวีลิ่งอี๋ก็แค่ถามเฉยๆ พูดคุยกับสืออีเหนียงสองสามประโยค จากนั้นก็นอนหลับพักผ่อน
สองสามวันต่อมา ป้าซ่งก็นำของขวัญไปมอบให้ที่จวนเม่ากั๋วกง
“ได้ยินมาว่าเจ้าสาวคือสกุลญาติของมารดาที่ให้กำเนิดเม่ากั๋วกงเจ้าค่ะ” ป้าซ่งพูดต่ออีก “คุณหนูสิบอยากให้เม่ากั๋วกงแต่งงาน ทางฝั่งนั้นจึงรีบเสนอตัวเด็กคนนั้นทันที คุณหนูสิบเองก็ตอบตกลงอย่างรวดเร็ว ได้ยินมาว่า เพราะเรื่องนี้ บิดามารดาผู้ให้กำเนิดเม่ากั๋วกงดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาไม่น้อยเจ้าค่ะ!”
ทั้งๆ ที่รู้ว่าบิดามารดาผู้ให้กำเนิดของหวังเฉิงจู่คิดร้ายกับนาง แต่นางกลับไม่สนใจอะไรทั้งนั้น ถือเป็นความกล้าหาญของนาง หรือคือความตรงไปตรงมาที่โง่เขลากันแน่?
สืออีเหนียงไม่รู้จะพูดอะไรดี
“อาการป่วยของนางเป็นอย่างไรบ้าง”
“บ่าวมองไม่ออกเจ้าค่ะ!” ป้าซ่งพูดตามความจริง “ตอนที่บ่าวเข้าไปคารวะคุณหนูสิบ คุณหนูสิบกำลังนั่งคัดลอกคัมภีร์ ‘กษิติครรภโพธิสัตว์มูลปณิธานสูตร’ อยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่าง บรรยากาศเงียบสงัด ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติเลยสักนิด”
สือเหนียงเป็นคนชอบเอาชนะ ถึงแม้ว่านางจะไม่สบายจริงๆ ก็ไม่มีทางให้คนอื่นมองออก
“ข้ารู้แล้ว กลับไปพักผ่อนเถิด!” สืออีเหนียงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ
แต่ป้าซ่งกลับลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นว่า “บ่าวได้ยินมาว่าทางฝั่งของคุณหนูสี่ เม่ากั๋วกงก็ไปส่งเทียบเชิญงานแต่งด้วยตัวเอง” จากนั้นก็ขอตัวออกไป
สือเหนียงไม่อยากรบกวนใคร แต่หวังเฉิงจู่กลับกลัวว่าจะไม่มีใครไปร่วมงาน...จวนเม่ากั๋วกงอยู่เงียบๆ มาตั้งหลายปี จู่ๆ ก็มีการเคลื่อนไหว!
แต่ว่า…นี่คือชีวิตของสือเหนียง คนอื่นล้วนพูดอะไรไม่ได้
เมื่อถึงวันที่ยี่สิบแปด สืออีเหนียงก็ไปดื่มสุรามงคลแสดงความยินดีที่จวนเม่ากั๋วกง
แขกที่มามีไม่มากนัก นอกจากญาติๆ ทางฝั่งสกุลหวังแล้ว ก็ล้วนเป็นญาติๆ ทางฝั่งของสือเหนียง หวังหลินส่งแค่ของขวัญมา แต่ไม่ส่งคนมา สือเหนียงอ้างว่าเป็นม่าย ไม่ออกมาต้อนรับแขก ให้อิ๋นผิงเป็นดูแลเรื่องทุกอย่างแทน
เมื่ออิ๋นผิงเห็นสืออีเหนียง นางก็ตาแดง เชิญสืออีเหนียงไปนั่งในห้องโถง
อู่เหนียงพาลูกๆ ไปฉลองปีใหม่ที่เติ้งโจวยังไม่กลับมา ซื่อเหนียงกับคุณนายสามสกุลหลัวมาตั้งแต่เช้าแล้ว คุณนายสามสกุลหลัวมีท่าทีปกติ แต่เมื่อซื่อเหนียงเจอกับอิ๋นผิงกลับมีสีหน้ากระอักกระอ่วน ทุกคนทักทายกัน หวังเฉิงจู่ที่รู้ข่าวก็รีบเข้ามาทันที
“ท่านน้าหญิงสิบเอ็ด ท่านมาแล้ว!” พูดจบ เขาก็บ่นอิ๋นผิง “เหตุใดให้ท่านน้าหญิงสิบเอ็ดมานั่งที่นี่ ยังไม่ไปรายงานท่านแม่อีก” พูดจบ ก็ทำท่าจะประคองสืออีเหนียงไปหาสือเหนียง
อิ๋นผิงมีสีหน้าลำบากใจ “ท่านกั๋วกงเจ้าคะ ฮูหยินบอกว่าไม่อยากพบแขก… “
“ท้านน้าหญิงสิบเอ็ดเป็นแขกเช่นนั้นหรือ” อิ๋นผิงเพิ่งจะพูดจบประโยค หวังเฉิงจู่ก็พูดอย่างไม่พอใจ “ท่านแม่ไม่อยากพบคนอื่น หรือว่าท่านน้าหญิงสิบเอ็ดก็ไม่อยากพบหรอกหรือ เจ้าไปรายงานท่านแม่เถิด…”
“ท่านกั๋วกงเจ้าคะ…” อิ๋นผิงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทีทำอะไรไม่ถูก
“ไม่เป็นไร!” สืออีเหนียงไม่อยากทำให้ตัวเองลำบากใจ “ท่านแม่ของเจ้าชอบความเงียบสงบ ข้านั่งอยู่ที่นี่ก็ได้”
หวังเฉิงจู่ก็ไม่บังคับนาง เขานั่งกับสืออีเหนียง ยิ้มแล้วพูดคุยกับสืออีเหนียง ประเดี๋ยวก็ถามว่าสวีซื่อจุนจะแต่งงานเมื่อไร ถามว่าอวี๋ลี่ บุตรชายคนที่สองของซื่อเหนียงจะลงสนามสอบปีนี้หรือไม่ ถามถึงกิจการของคุณนายสามสกุลหลัวกับคุณชายสามสกุลหลัว คุณชายสามสกุลหลัวลงสนามสอบติดต่อกันสองสามครั้ง ครั้งสุดท้ายกลับเป็นลมกลางสนามสอบ นายท่านสองกับนายหญิงสองเห็นเช่นนี้ก็ไม่สบายใจ จึงต้องเลิกล้มความคิดที่จะให้เขาลงสนามสอบอีกครั้ง พวกเขาช่วยซื้อร้านค้าให้คุณชายสามทำกิจการ
หวังเฉิงจู่ราวกับสนใจเรื่องของทุกคน ท่าทีกระตือรือร้น ทำให้สกุลญาติของสกุลหวังที่นั่งอยู่ข้างๆ หัวเราะพลางพูดว่า “ไม่มีท่านพ่อท่านแม่ ก็ยังมีท่านลุง แต่เจ้ามีท่านน้าแล้วกลับไม่สนใจท่านป้า! “
หวังเฉิงจู่ได้ยินแล้วก็ไม่โกรธ ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่เลี้ยงข้ามาตั้งแต่เด็ก แน่นอนว่าข้าต้องรักท่านแม่ที่สุด!”
ดูเหมือนเขาพยายามทำให้ความสัมพันธ์ของสือเหนียงกับคนในสกุลหลัวดีขึ้น ซื่อเหนียกับสืออีเหนียงพูดคุยด้วยง่าย คุณนายสามสกุลหลัวก็เป็นคนใจกว้าง เมื่อเจ้าสาวเข้ามา นางอยู่เล่นไพ่กับสกุลญาติของสกุลหวังที่จวนสกุลหวัง ส่วนสืออีเหนียงและซื่อเหนียงกลับไปที่จวนของตัวเอง วันที่สองก็นำของขวัญไปมอบให้อีกครั้ง
หวังเฉิงจู่เริ่มสนิทสนมกับคุณชายสามสกุลหลัว
สองสามวันต่อมา คุณนายสามสกุลหลัวนำกล่องหมึกมามอบให้สืออีเหนียง “ล้วนแต่เป็นสิ่งของในร้าน โปรดคุณหนูสิบเอ็ดอย่าได้รังเกียจ”
“ข้าจะรังเกียจได้อย่างไรกัน ข้าอยากได้อยู่พอดี” สืออีเหนียงบอกให้หู่พั่วรับมา เชิญคุณนายสามสกุลหลัวไปดื่มชาที่ห้องรับแขก “เหตุใดวันนี้พี่สะใภ้สามถึงมีเวลามาหาข้าเจ้าคะ กิจการในร้านเป็นเช่นไรบ้าง”
“ไม่เลว!” คุณชายสามสกุลหลัวไม่เคยมีหน้ามีตาในครอบครัว จึงทำให้คุณนายสามสกุลหลัวดูซื่อบื้อไปด้วย นางพยักหน้าแล้วพูดว่า “ที่ข้ามาในวันนี้ เพราะคุณชายสามบอกว่ามีเรื่องอยากจะปรึกษากับคุณหนูสิบเอ็ด”
สืออีเหนียงทำท่าทีตั้งใจฟัง
คุณนายสามสกุลหลัวพูดขึ้นว่า “คุณชายสามบอกว่า ตอนนี้เม่ากั๋วกงแต่งงานแล้ว คุณหนูสิบก็เป็นม่าย ไม่สะดวกที่จะดูแลเรื่องในครอบครัว ไม่สู้ให้เม่ากั๋วกงเป็นคนดูแลดีกว่า! เช่นนี้คุณหนูสิบก็จะได้เก็บตัวสวดมนต์ไหว้พระอย่างสบายใจ!”