ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 641 ประนีประนอม (ปลาย)
ทั้งๆ ที่เขาพูดออกมาว่ากลัวแล้วแท้ๆ แต่เหตุใดท่านแม่ยังจะให้เขาไปกล่าวขอโทษอีก
“ท่านแม่…” จิ่นเกอเบิกตากว้างพลางเม้มปากแน่น
จู่ๆ ด้านนอกก็ไม่มีเสียงเคลื่อนไหวใดๆ สืออีเหนียงวางมือลงบนลายสลักน้ำแข็งของประตูเก๋อซ่าน
สองแม่ลูก คนหนึ่งอยู่ด้านใน คนหนึ่งอยู่ด้านนอก ทั้งสองกำลังยืนอยู่ตรงข้ามกันโดยที่ขั้นกลางเพียงบานประตูเก๋อซ่านเท่านั้น
ซ่าๆ สายฝนถูกลมพายุพัดกระหน่ำลงมา ราวกับเสียงเกลียวคลื่นทะเลที่ซัดเข้าฝั่งลูกแล้วลูกเล่า กิ่งไม้ในสวนโยกโคลงไปมาไม่หยุด เสียงลมหวีดหวิวท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืน น่ากลัวจับใจ
“ท่านแม่ ท่านแม่!” ความกลัวที่ปะทุขึ้นมาในใจ พลอยทำให้จิ่นเกอไม่สามารถที่จะสนใจอะไรได้มากกว่านี้ เขาทุบบานประตูอย่างสุดกำลัง “ข้าจะไปกล่าวขอโทษอาจารย์ผัง ข้าจะไปกล่าวขอโทษอาจารย์ผังขอรับ…” เขาพูดโพล่งออกมาพร้อมกับร้องไห้เสียงดังลั่น
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก เพิ่งจะสังเกตเห็นว่าทั้งตัวของนางเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อ เนื้อตัวปวดเมื่อยไปหมด ราวกับว่าไปเดินขึ้นเขามา
จากนั้นนางก็สูดลมหายใจเข้าลึก เปิดประตูออกมาด้วยสีหน้าท่าทีที่สุขุมและหนักแน่น
“ท่านแม่!” เงาเล็กๆ ที่คุ้นเคยพุ่งตรงเข้ามาในอ้อมแขนของนาง “ท่านแม่…” จิ่นเกอกอดคอของมารดาแน่น ก่อนจะร้องไห้เสียงดังออกมา
สืออีเหนียงเองก็กอดร่างกายน้อยๆ ของเขาแนบแน่น
หู่พั่วเห็นแล้วก็น้ำตาคลอเบ้า นางเช็ดน้ำตาพลางตะโกนเสียงดังว่า “จุดไฟ รีบจุดไฟเร็วเข้า!”
ด้านนอกมีเสียงโห่ร้องด้วยความดีใจ
โคมไฟใหญ่สีแดงค่อยๆ สว่างขึ้นทีละดวง ส่องให้เห็นใบหน้าที่ดีใจของเหล่าบรรดาบ่าวรับใช้ที่อยู่ในเรือน
“ต่อไปเจ้าอย่าทำเช่นนี้อีก!” สืออีเหนียงคลายอ้อมแขนออกจากจิ่นเกอที่พึ่งจะหยุดร้องไห้ไป
“ขอรับ!” จิ่นเกอเม้มปากพลางพยักหน้าตอบ หยาดน้ำตาสะท้อนกับแสงไฟเป็นประกายแวววาว
สืออีเหนียงลูบศีรษะของจิ่นเกอเบาๆ
หู่พั่วยกถาดสีดำเงาลายดอกไห่ถังสีทองเข้ามา “ฮูหยิน คุณชายน้อยหก น้ำขิงเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ได้พูดต่อไปว่า “ห้องชำระเตรียมน้ำร้อนเสร็จเรียบร้อยแล้ว”
สืออีเหนียงหันไปพยักหน้าให้กับหู่พั่วเบาๆ จากนั้นก็ป้อนน้ำขิงให้กับจิ่นเกอ “อาบน้ำเสร็จแล้ว ประเดี๋ยวเราไปกล่าวขอโทษอาจารย์ผังกัน”
จิ่นเกอหิวจนท้องร้อง จ๊อกๆ แต่เขาไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว รีบพยักหน้าตอบกลับมารดาอย่างเชื่อฟัง
สืออีเหนียงหันไปเรียกหงเหวินกับอาจินเข้ามาปรนนิบัติจิ่นเกออาบน้ำ
จู๋เซียงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ฮูหยิน บ่าวส่งคนไปเรียนทางฝั่งท่านโหวเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ อาหารค่ำก็จัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว สามารถทานได้เลยเจ้าค่ะ”
“เตรียมอาหารค่ำให้ท่านโหวกับไท่ฮูหยินทานก่อนก็แล้วกัน!” สืออีเหนียงตอบกลับ “ข้าและคุณชายน้อยหกจะไปกล่าวคำขอโทษอาจารย์ผังก่อนแล้วค่อยกลับมาทาน”
จู๋เซียงรีบไปที่ห้องตำราด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม
“ข้าว่าแล้วเชียว จิ่นเกอของเราใช่ว่าจะเป็นคนที่คุยด้วยไม่รู้เรื่องเสียหน่อย” ไท่ฮูหยินถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เสียงฝนตกที่น่ากลัวเมื่อครู่นี้พลันฟังดูไพเราะขึ้นมาทันที “พวกเราก็ไปดูเสียหน่อย” นางพูดขึ้นพึมพำ “ไม่รู้ว่าเด็กคนนั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
ป้าตู้ได้ยินแล้วก็รีบเดินเข้าไปประคองไท่ฮูหยิน “แล้วมื้อค่ำเล่าเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋เข้าไปประคองแขนอีกข้างของไท่ฮูหยินแล้วพูดขึ้นว่า “ด้านนอกฝนตกหนักจนพื้นลื่นไปหมด ระวังจะหกล้มเอาได้ ให้ข้าไปเป็นเพื่อนท่านแม่ดีกว่าขอรับ”
เขาเองก็คงจะเป็นห่วงไม่น้อยไปกว่าตนกระมัง
ไท่ฮูหยินจึงยิ้มพลางหันไปสั่งกับป้าตู้ว่า “อาหารมื้อค่ำก็ไปตั้งที่เรือนของสืออีเหนียงก็แล้วกัน จะได้ทานพร้อมกับจิ่นเกอด้วย เขาถูกลงโทษหนักขนาดนี้ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเสียใจแค่ไหนแล้ว” พูดจบก็ปล่อยให้สวีลิ่งอี๋ช่วยประคองออกนอกเรือนไป
หู่พั่วและคนอื่นๆ กำลังพากันจัดระเบียบข้าวของในเรือน เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวดังมาจากด้านนอก ก็พากันรีบออกมาต้อนรับทันที “ท่านโหว ไท่ฮูหยิน ฮูหยินพาคุณชายน้อยหกไปที่เรือนของอาจารย์ผังเจ้าค่ะ”
ทั้งสองชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นก็หันมาสบตากันด้วยความแปลกใจ
“ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขนาดนั้นกระมัง!” ไท่ฮูหยินทอดสายตามองไปยังสายฝนที่ยังคงโปรยปรายอยู่นอกหน้าต่าง
สวีลิ่งอี๋นึกถึงเหตุการณ์ระหว่างไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียงที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ขึ้นมา จึงรีบพูดขึ้นว่า “เรื่องวันนี้ ก็จัดการให้เสร็จเสียวันนี้ จะได้จบเรื่องเร็วๆ!”
ไท่ฮูหยินเลยไม่ถามถึงเรื่องนี้ต่อ จากนั้นก็ให้หู่พั่วประคองไปนั่งที่เตียงเตาใหญ่ริมหน้าต่าง แล้วจึงถามถึงสถานการณ์ของจิ่นเกอขึ้นมา “…เมื่อครู่นี้เขาจามหรือไม่ ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า”
“เปล่าเจ้าค่ะ!” หู่พั่วยกถ้วยน้ำชามาให้ไท่ฮูหยินด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ฮูหยินเองก็กลัวว่าคุณชายน้อยหกจะเป็นหวัด ก็เลยให้คุณชายน้อยหกแช่น้ำร้อนก่อนไปแล้วเจ้าค่ะ!”
ทั้งสองพูดคุยกันต่อ ส่วนสวีลิ่งอี๋ก็คอยเงี่ยหูฟังอยู่ข้างๆ ตลอดการสนทนา
*****
“ฮูหยิน!” อาจารย์ผังจ้องมองสตรีที่ยืนอยู่เบื้องหน้าที่ทั้งสวยสง่างามและดูมีความมั่นใจ ใบหน้าของเขาแดงก่ำขึ้นมา “ไม่เป็นไรขอรับ คุณชายน้อยหกเองก็ไม่ได้ตั้งใจ!” ท่าทีของเขาดูลนลานและทำตัวไม่ถูกอย่างเห็นได้ชัด “อีกอย่างท่านโหว ไท่ฮูหยินและฮูหยินห้าต่างก็ได้มอบค่ายารักษาให้ข้าเรียบร้อยแล้ว”
“ค่ายารักษาก็ส่วนค่ายารักษา” น้ำเสียงของสืออีเหนียงไพเราะน่าฟัง น้ำเสียงไม่สูง ไม่ต่ำ ไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไป ฟังแล้วรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก “เขาเองได้กระทำความผิด ไม่ว่าอย่างไรก็ควรจะต้องมากล่าวขอโทษกับอาจารย์ผัง!” พูดจบก็หันไปส่งสายตาให้กำลังใจจิ่นเกอ
จิ่นเกอหันไปมองใบหน้าที่ค่อนข้างหยาบกร้านของอาจารย์ผัง มือทั้งสองของเขากำแน่น มุมปากเม้มเป็นเส้นตรง ผ่านไปนานสองนานก็ยังไม่ยอมเปิดปากพูด
ลูกศิษย์ที่เป็นทายาทตระกูลสูงศักดิ์เช่นเขา เคยก้มหัวให้ผู้อื่นเสียที่ไหนกัน ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านยอมลดศักดิ์ศรีพาเด็กมากล่าวขอโทษ ถือเป็นการให้เกียรติเขามากพอแล้ว เขาควรจะต้องรู้ดีชั่วและการประมาณตน รู้จักความตื้นลึกหนาบางถึงจะถูก!
ภายใต้ความหยาบของอาจารย์ผังมีความละเอียดอ่อนซ่อนอยู่ เขารีบเดินเข้าไปโอบไหล่ของจิ่นเกอพร้อมกับพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มว่า “เจตนาของเจ้าอาจารย์รับไว้แล้ว ทำผิดแล้วรู้จักแก้ไขคือบุรุษที่กล้าหาญ” จากนั้นเขาก็คิดอยากจะให้คำพูดที่พูดออกมานั้นฟังดูมีชีวิตชีวามากขึ้น ก็เลยหัวเราะเบาๆ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ขอเพียงแค่พรุ่งนี้เจ้ามาที่เรือนซิ่วมู่ให้เร็วหน่อยก็พอ! วันนี้เจ้าไม่อยู่ ที่เรือนซิ่วมู่ดูเงียบเหงาไปหมด!” อาจารย์ผังช่วยจิ่นเกอคลี่คลายสถานการณ์
จิ่นเกอจึงค่อยถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้นก็หันไปมองสืออีเหนียง
สืออีเหนียงกลับส่ายหน้าเบาๆ จากนั้นก็พูดกับอาจารย์ผังว่า “จิ่นเกอถูกบิดาของเขาลงโทษกักบริเวณ อีกสองวันจึงจะมาเรียนได้!”
อาจารย์ผังรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
ทั้งชดเชยค่ายารักษา ทั้งลงโทษกักบริเวณและยังมากล่าวขอโทษอีก…ดูท่าแล้ว ลูกหลานจวนสกุลสวีคงจะถูกอบรมสั่งสอนและเลี้ยงดูอย่างเข้มงวดเป็นแน้แท้!
“เช่นนี้ก็แสดงว่าอีกสองวันพวกข้าถึงจะได้เจอหน้ากับคุณชายน้อยหก!”
สืออีเหนียงยิ้มพลางหันไปมองจิ่นเกอ
จิ่นเกอไม่กล้าชักช้าอีกต่อไป เขาฝืนพูดขึ้นว่า “ท่านอาจารย์ สิ่งที่ข้าทำไปนั้นเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ต่อไปข้าจะไม่ทำอีกแล้วขอรับ!” น้ำเสียงแผ่วเบา แต่ท้ายที่สุดก็ได้พูดมันออกไป
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร!” อาจารย์ผังรีบโบกมือให้กับเขา “ข้าไม่ได้เป็นอะไรเสียหน่อย ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร!” จากนั้นก็ได้พูดต่อไปว่า “คุณชายน้อยหกเองก็เป็นคนชัดเจนและตรงไปตรงมา เราคุยกันเข้าใจแล้ว ต่อไปภายภาคหน้าก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก มิเช่นนั้นข้าจะโกรธจริงๆ ด้วย!” พูดจบเขาก็ทำสีหน้าท่าทีโมโหขึ้นมา
จิ่นเกอได้ยินแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ สีหน้าดีขึ้นไม่น้อย
สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “ต่อไปภายภาคหน้า จิ่นเกอของเราก็รบกวนท่านอาจารย์ผังแล้ว หากเขายังกล้าเกเรอีก ท่านก็ให้บ่าวรับใช้มาแจ้งเรื่องให้ข้าทราบก็พอ” จากนั้นก็จูงมือของจิ่นเกอกลับเรือนไป
สายฝนเบาลงกว่าเมื่อครู่นี้มาก น้ำฝนชะล้างพื้นหินกรวดจนสะอาดหมดจด เมื่อแสงของโคมไฟใหญ่สีแดงสาดกระทบลงบนแผ่นหิน พลอยทำให้พื้นหินกรวดเป็นเงาแวววาวอย่างเห็นได้ชัด
สืออีเหนียงและจิ่นเกอกำลังเดินไปตามระเบียงทางเดินตรงไปยังเรือนชั้นใน
“ได้กล่าวคำขอโทษออกไปแล้ว ไม่ได้ยากอย่างที่คิดเอาไว้ใช่หรือไม่” นางยิ้มพลางหันไปถามจิ่นเกอ “อาจารย์ผังเองก็ไม่ได้โกรธเจ้าเลย”
เขานึกถึงความรู้สึกทรมานตอนที่คำพูดติดอยู่ที่คอ และความโล่งใจตอนที่ได้พูดมันออกไปแล้ว จิ่นเกอจึงค่อนข้างรู้สึกเก้อเขิน เขาก้มหน้าลงต่ำพร้อมกับขานรับเบาๆ “ขอรับ”
หลังจากที่เขาได้ยอมจำนนต่อสืออีเหนียงแล้ว ก็เอาแต่ขลาดกลัวอยู่ตลอดเวลา
สืออีเหนียงจึงรู้สึกว่าไม่ควรที่จะเข้มงวดกับเขามากเกินไป
นางจึงชะงักฝีเท้าลง จากนั้นก็หันไปกอดบุตรชายด้วยความสนิทสนมเหมือนอย่างเช่นเคย “การกระทำของเจ้าเมื่อครู่นี้ แม่รู้สึกภูมิใจในตัวเจ้าเป็นอย่างมาก!”
จิ่นเกอได้ยินดังนั้นก็เงยหน้าขึ้นมามองด้วยความแปลกใจ แววตาเต็มไปด้วยความสับสนไม่มั่นใจ
สืออีเหนียงพยักหน้าให้เขาเบาๆ ด้วยรอยยิ้ม
จิ่นเกอเห็นแล้วก็ค่อยๆ ฉีกยิ้มขึ้นที่มุมปาก แววตาของเขากลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง
“ทุกคนต่างก็เคยกระทำความผิดทั้งนั้น” สืออีเหนียงจูงมือของเขาแล้วเดินต่อ “หากเรากระทำความผิด ก็แค่ต้องแก้ไขมันก็เท่านั้น…”
แสงไฟยามพลบค่ำส่องกระทบลงบนร่างกายของทั้งสอง ทำให้เกิดเป็นเงาที่ยาวเหยียด
เหล่าบรรดาสาวใช้คอยเดินตามด้านหลังอยู่ห่างๆ ราวกับว่ากลัวจะเหยียบโดนเงาของทั้งสองคน
*****
วันถัดมา เรื่องที่จิ่นเกอไปกล่าวขอโทษอาจารย์ผังก็แพร่กระจายไปทั้งจวนสกุลสวี
สวนป่าเพิ่งจะโดนฝนไป ต้นไม้ใบหญ้าจึงเปียกชื้นไปหมด
เซินเกอกำลังเหยียบหลังของบ่าวรับใช้ชายซุ่มตัวอยู่หลังพุ่มไม้ข้างฉลุบานหน้าต่างของจิ่นเกอพลางโยนก้อนหินไปที่หน้าต่างเบาๆ
ห้องปีกทิศตะวันออกไม่มีอะไรเคลื่อนไหวแม้แต่นิดเดียว
“น่าแปลก!” บ่าวรับใช้ชายของเซินเกอช่วยประคองเขาลงมาจากหลัง “หรือว่าพี่หกจะโดนตีจนกลัวไปแล้ว”
บ่าวรับใช้ชายที่กำลังช่วยประคองเขาอยู่รีบพูดขึ้นว่า “คุณชายน้อยหกถูกลงโทษกักบริเวณมิใช่หรือ ไม่แน่บางทีในเรือนของเขาอาจจะมีคนอื่นอยู่ด้วย คุณชายน้อยหกก็เลยไม่สะดวกที่จะตอบกลับกระมังขอรับ!”
จู่ๆ เซินเกอก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “หรือท่านลุงสี่จะอยู่ในเรือนของเขาด้วย ไม่สิ ท่านลุงสี่กับท่านพ่อของข้าไปที่จวนเวยเป่ยโหวที่อยู่ข้างจวนเราแล้วนี่นา…หรือว่าจะเป็นท่านป้าสะใภ้สี่” เมื่อพูดถึงตรงนี้ จู่ๆ เขาก็หัวเราะขึ้นมา “ไปกัน เราไปเล่นที่เรือนของพี่หกกันเถิด…”
“คุณชายน้อยเจ็ด…” บ่าวรับใช้ทั้งสองรีบห้ามเขาทันที “หากว่าฮูหยินสี่ไปบอกเรื่องนี้กับฮูหยินห้าแล้วล่ะก็…”
พวกเขาทุกคนต่างก็พากันหนีออกมาจากเรือนทั้งนั้น
“ไม่หรอก!” เซินเกอไม่คิดเช่นนั้น “ท่านป้าสะใภ้สี่ไม่ใช่คนแบบนั้นเสียหน่อย” เขาพูดขึ้นพลางเดินเข้าไปที่เรือนชั้นใน “ท่านป้าสะใภ้สี่เป็นคนดีที่สุดแล้ว ในเรือนก็มีของกินอร่อยมากมาย! หากพวกเราไปแล้วจะต้องมีขนมวัวซือถังกับขนมกุหลาบอย่างแน่นอน…”
บ่าวรับใช้ชายทั้งสองไม่กล้าชักช้า รีบขานรับพร้อมกับวิ่งตามไปทันที
บรรยากาศลานสวนหลังฝนตก ต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่มชุ่มชื่น ใบไม้และต้นหญ้ามันวาวสะอาดสะอ้าน อากาศฟุ้งไปด้วยกลิ่นหญ้าอ่อนๆ
“คุณชายน้อยเจ็ด!” บ่าวรับใช้ที่เจอเขาต่างก็พากันย่อตัวทำความเคารพ จากนั้นก็รีบหลีกทางให้เขาทันที
เซินเกอไม่ได้ชายตามองแม้แต่นิดเดียว เขามุ่งตรงไปยังเรือนปีกของจิ่นเกอ
อาจินเห็นแล้วก็รีบส่งสายตาให้เขาพร้อมกับพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ฮูหยินสี่กำลังเฝ้าคุณชายน้อยหกอยู่ในเรือนเจ้าค่ะ!”
เป็นเพราะนางไม่ใช่ท่านลุงสี่ เซินเกอจึงไม่รู้สึกกลัวแม้แต่นิดเดียว เขายิ้มก่อนจะบุกเข้าไปในเรือนทันที
บรรยากาศในเรือนเงียบสงบ สืออีเหนียงกำลังนั่งปักผ้าอยู่ริมเตียงเตาใหญ่ ส่วนจิ่นเกอกำลังคัดอักษรอยู่บนโต๊ะเตียงเตา
เมื่อเจอหน้าเซินเกอ ใบหน้าของจิ่นเกอก็ปรากฏสีหน้าดีใจขึ้นมาทันที
“น้องเจ็ด!” จู่ๆ จิ่นเกอก็รีบลุกขึ้นยืนแล้วอุทานออกมาเสียงดัง แต่พึ่งสังเกตเห็นว่ามือทั้งสองของเซินเกอถูกพันไปด้วยผ้าพันแผลสีขาวอย่างแน่นหนา เขาจึงรีบถามขึ้นว่า “นี่มัน…”
“อ้อ!” เซินเกอยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า “ข้าถูกท่านแม่ตี!”
เซินเกอเองก็ถูกตีเพราะอาจารย์ผังหรือ
จิ่นเกอฉีกยิ้มอยากจะหัวเราะ แต่เมื่อเหลือบไปเห็นสืออีเหนียงที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ตัดสินใจหย่อนตัวนั่งลงตามเดิม “ข้า…ข้ายังมีตัวอักษรที่ต้องคัดอีกสองหน้า เจ้ารอข้าประเดี๋ยว!”
ท่านแม่เคยบอกไว้ ไม่ว่าจะทำอะไรก็จะต้องมีความตั้งใจและความมุ่งมั่นมานะ เวลาเริ่มต้นทำอะไรแล้วก็ไม่ควรละทิ้งกลางทางง่ายๆ หากเป็นเมื่อก่อนเวลาที่เซินเกอมาหา ตนก็จะไปเล่นกับเซินเกอก่อน พอเล่นจนเหนื่อยแล้วก็ค่อยกลับมาคัดตัวอักษรต่อ แต่ตอนนี้…เขากลับไม่กล้าออกไปเล่นเลยแม้แต่น้อย
สืออีเหนียงรู้เรื่องที่เซินเกอถูกตีตั้งแต่แรกแล้ว ยังไปเยี่ยมเขาด้วยตัวเองเสียด้วยซ้ำ
“เซินเกอมาแล้วหรือ!” นางทักทายเขาด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “เจ้าไปนั่งทานขนมและผลไม้ที่ห้องโถงก่อน รอพี่หกคัดตัวอักษรเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยไปเล่นกับเจ้าดีหรือไม่”
สืออีเหนียงพึงพอใจกับการแสดงออกของจิ่นเกอเป็นอย่างมาก
ที่ผ่านมานางมักจะให้เขาเขียนการบ้านเสร็จแล้วค่อยไปเล่นเสมอ และนางต้องเป็นคนเฝ้าเองถึงจะเอาอยู่ ตอนนี้เขาสามารถควบคุมอารมณ์จิตใจของตัวเองได้แล้ว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม ถือว่าก้าวหน้าไม่น้อยเลยทีเดียว!