ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 640 ประนีประนอม (กลาง)
การที่ไท่ฮูหยินแสดงออกเช่นนี้ พลอยทำให้สืออีเหนียงรู้สึกไม่คุ้นชินเป็นอย่างมาก
แต่นางเป็นคนที่เมื่อเจอกับอุปสรรคก็จะยิ่งสู้มากขึ้นกว่าเดิม สถานการณ์ยิ่งวุ่นวาย นางก็จะยิ่งสุขุม
“ท่านแม่” สืออีเหนียงเข้าไปประคองแขนของไท่ฮูหยินไว้ “ข้าไม่ได้จะขัดขวางท่าน ข้าเพียงแค่อยากจะถามคำถามกับจิ่นเกอก็เท่านั้นเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็ชะงักไปเล็กน้อย
สืออีเหนียงย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกันกับจิ่นเกอ “เจ้าไปกล่าวขอโทษอาจารย์ผังกับแม่เสร็จแล้วค่อยไปเปลี่ยนเสื้อผ้ากับท่านย่าดีหรือไม่”
“ไม่!” จิ่นเกอนึกไม่ถึงว่ามารดาจะยังยึดติดกับเรื่องนี้ไม่ยอมปล่อย เขาจึงรีบไปหลบอยู่หลังไท่ฮูหยินพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าจะไม่ไปกล่าวขอโทษอาจารย์ผังเด็ดขาด!”
สืออีเหนียงจึงคว้าแขนของเขาไว้ “แม่สั่งให้เจ้าไป เจ้าก็ไม่ไปหรือ”
“ข้าไม่ไปขอรับ!” เพียงแค่จิ่นเกอได้ยินชื่อของอาจารย์ผังก็รู้สึกรำคาญใจขึ้นมาทันที เขารีบสะบัดแขนออกจากมือของสืออีเหนียง พร้อมกับหันไปกอดแขนของไท่ฮูหยินไว้แน่น “ข้าถูกทำโทษด้วยการกักบริเวณไปแล้ว เหตุใดข้าถึงยังต้องไปกล่าวขอโทษอาจารย์ผังอีก” เขาพูดขึ้นพลางหันไปมองไท่ฮูหยิน แววตาเต็มไปด้วยความวิงวอน หวังให้ไท่ฮูหยินช่วยออกหน้า
สืออีเหนียงจึงค่อยๆ ยืนตัวตรง จากนั้นก็จ้องมองไปยังไท่ฮูหยินด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ท่านแม่ ท่านให้จิ่นเกอไปกล่าวขอโทษอาจารย์ผังกับข้าเสร็จแล้วค่อยกลับมาเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิดเจ้าค่ะ!”
ถึงแม้ว่าคำพูดของนางจะอ้อมค้อมและสุภาพ แต่สิ่งที่สื่อออกมานั้นกลับชัดเจนเป็นอย่างมาก
ไท่ฮูหยินเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
ที่จริงก็แค่อาจารย์สอนวิชาหมัดมวย จะกล่าวขอโทษหรือไม่ก็ไม่เห็นสำคัญ
แต่ร้อยคุณงามความดีกตัญญูมาเป็นอันดับแรก จิ่นเกอไม่เพียงแต่ไม่เชื่อฟังคำพูดของสืออีเหนียง แต่กลับกล้าต่อต้านสืออีเหนียงต่อหน้าผู้คนมากมาย เขาอายุน้อยแค่นี้ แต่กลับโอหังถึงเพียงนี้ ผ่านไปอีกสักปีสองปี…เกรงว่าคงจะไร้ซึ่งบิดามารดา ไร้ซึ่งตระกูลและบรรพบุรุษเป็นแน่แท้!
ไท่ฮูหยินจ้องมองมือเล็กๆ ที่นางจูงมาตั้งแต่เด็ก หลานชายที่นางทะนุถนอมมาโดยตลอด ความเจ็บปวด ความทรมานและความสิ้นหวังปะทุขึ้นมาในใจของนาง ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี!
จิ่นเกอที่ฉลาดหัวไวย่อมรับรู้ได้ถึงอารมณ์จิตใจที่เปลี่ยนไปของไท่ฮูหยินในทันที
“ท่านย่า!” จิ่นเกอกอดแขนของไท่ฮูหยินไว้แน่น “ข้าหนาว ข้าอยากเปลี่ยนเสื้อผ้าขอรับ!” เวลานั้นเอง จิ่นเกอก็รีบพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ออดอ้อน
“ท่านแม่!” สืออีเหนียงไม่ได้สนใจความเคลื่อนไหวของจิ่นเกอแต่อย่างใด นางเดินเข้าไปประคองแขนอีกข้างของไท่ฮูหยินไว้ “ชาเหล่าจวินเหมยที่ท่านมอบให้ข้ามาเมื่อคราวก่อนข้ายังไม่ได้ดื่มเลย วันนี้ห้องครัวทำขนมสุ่ยจิงกับขนมเปี๊ยะไส้ถั่วแดงกวนมาใหม่ๆ ท่านไปนั่งพักที่โถงบุปผาก่อนดีหรือไม่ รอให้ข้าพาจิ่นเกอกล่าวขอโทษอาจารย์ผังและเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว ค่อยไปคารวะท่าน ท่านคิดเห็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน เพื่อเป็นการกู้หน้าให้กับไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินจ้องมองใบหน้าที่กระวนกระวายใจของจิ่นเกอ จากนั้นก็เปลี่ยนไปมองสืออีเหนียงที่คำพูดวาจาและสีหน้าท่าทีเต็มไปด้วยความน่าเชื่อถือ ก่อนจะถอนหายใจออกมาเบาๆ
“เช่นนั้นก็ดี!” ไท่ฮูหยินพยักหน้าเบาๆ “ข้าไปนั่งพักที่โถงบุปผาก็แล้วกัน!”
สืออีเหนียงรีบหันไปส่งสายตาให้กับสวีลิ่งอี๋ทันที
ที่ไท่ฮูหยินมีโทสะก็เพราะรักและเอ็นดูจิ่นเกอจับใจ แต่ตอนนี้จิ่นเกอกลายเป็นเช่นนี้ สืออีเหนียงเชื่อว่าไท่ฮูหยินคงจะรู้สึกเจ็บปวดกว่าคนอื่นเป็นไหนๆ หากให้สวีลิ่งอี๋นั่งเป็นเพื่อนไท่ฮูหยิน คอยพูดจาปลอบโยนนางบ้าง อารมณ์จิตใจของไท่ฮูหยินคงจะดีขึ้นไม่น้อย
สวีลิ่งอี๋กลัวว่าภายใต้ความร้อนใจ สืออีเหนียงจะหลุดปากพูดอะไรที่ไม่เหมาะสมออกมา เขาจึงรีบก้าวออกมาห้ามสืออีเหนียงไว้โดยที่ไม่สนใจความรู้สึกของมารดา แต่เมื่อเห็นภรรยาย่อตัวลงไปถามบุตรชายว่ายินยอมจะไปกล่าวขอโทษอาจารย์ผังก่อนแล้วค่อยไปเปลี่ยนชุดหรือไม่ มุมปากของเขาก็ยกยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้มพอใจออกมา
การกล่าวขอโทษอาจารย์ผังเป็นเพียงหนึ่งในเหตุผลตั้งต้นของที่มาเท่านั้น สิ่งสำคัญคือจิ่นเกอสามารถเรียนรู้ความอดทนอดกลั้น ยอมอ่อนข้อและความประนีประนอมผ่านเหตุการณ์ในครั้งนี้ หากว่าเขาฝืนใจตอบกลับมาว่า ‘ยินยอม’ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ก็ถือเป็นความอดทนอดกลั้นและความประนีประนอมอย่างหนึ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน สำหรับเขาถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว แต่หากเขาตอบกลับมาว่า ‘ไม่ยินยอม’ มารดาไม่ใช่คนที่ไร้เหตุผล หลังจากที่มารดารับรู้ถึงความดื้อรั้นหัวแข็งของจิ่นเกอแล้ว เขาเชื่อว่าความคิดและทัศนคติของมารดาจะต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน
และตอนนี้เรื่องราวก็เป็นไปตามที่เขาคาดการณ์ไว้ มารดาเลือกที่จะไม่ยื่นมือเข้ามายุ่งกับเรื่องนี้ ไม่ต้องรอให้ภรรยาบอก เขาก็จะพยายามทำให้สีหน้าของมารดากลับมาเป็นเหมือนเดิมอยู่ดี
“ท่านแม่!” เขารีบเดินเข้าไปประคองแขนของไท่ฮูหยิน “ข้าไปที่โถงบุปผาเป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่ขอรับ! ตรงนี้มีแค่สืออีเหนียงก็พอแล้ว!” จากนั้นเขาก็พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มว่า “ข้าจำได้ว่าเมื่อก่อนท่านเคยบ่นว่าเวลาทานขนมหวานแล้วจะปวดฟันมิใช่หรือ เหตุใดถึงยังทานขนมเปี๊ยะถั่วแดงกวนกับขนมสุ่ยจิงอยู่อีก สองอย่างนี้ล้วนเป็นขนมหวานทั้งสิ้น”
ไท่ฮูหยินรู้ว่าที่บุตรชายทำเช่นนี้ก็เพราะกลัวว่านางจะทำตัวไม่ถูก แล้วนางจะปฏิเสธความหวังดีของบุตรชายได้อย่างไรกัน แน่นอนว่าย่อมต้องทำตามเจตนาของบุตรชาย “ขนมเปี๊ยะที่ขายอยู่ข้างนอกทั้งหวานและเลี่ยน แต่ขนมที่จวนเราทำเองนั้นไม่เหมือนกัน ไม่ใส่น้ำตาล อีกทั้งยังใช้น้ำมันถั่วลิสงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น…” แต่น้ำเสียงกลับดูเหม่อลอยจิตใจไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัว
เมื่อเห็นว่าบิดากำลังประคองท่านย่าของตนเดินออกไปด้านนอก จิ่นเกอก็เริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที
เขารีบวิ่งไปดึงแขนเสื้อของไท่ฮูหยิน “ท่านย่า ท่านย่า ท่าน…ท่านไม่พาข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วหรือขอรับ”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ ภายในจิตใจอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกมากมาย
“เด็กดี!” ไท่ฮูหยินหันกลับมาลูบศีรษะของจิ่นเกอเบาๆ “คนเก่ง! เชื่อฟังคำพูดมารดาของเจ้า ไปกล่าวขอโทษอาจารย์ผัง…” จู่ๆ คำพูดก็หยุดชะงักไป ลึกๆ ในใจก็ยังรู้สึกทำใจไม่ได้อยู่ดี จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “หลังจากที่เจ้ากลับมาจากเรือนของอาจารย์ผังแล้ว ย่าค่อยช่วยเจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เอง”
“ท่านย่า…” น้ำตาของจิ่นเกอคลอเบ้า ราวกับว่ากำลังจะร้องไห้ออกมา
อย่าว่าแต่ไท่ฮูหยินเลย ถึงแม้ว่าจะเป็นสวีลิ่งอี๋ เมื่อเห็นบุตรชายเป็นเช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจอ่อนขึ้นมา อยากจะปล่อยเรื่องนี้ไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด…แต่หากว่าเขาปล่อยเรื่องนี้ไปทั้งอย่างนี้ เช่นนั้นก็เท่ากับว่าสิ่งที่สืออีเหนียงทำมาจะสูญเปล่าไปหมด
สวีลิ่งอี๋พยายามข่มใจตัวเองไม่ให้หันไปมองบุตรชาย จากนั้นก็ประคองไท่ฮูหยินออกไปจากเรือน “สืออีเหนียงอยู่ที่นี่ทั้งคน ท่านก็อย่าเป็นกังวลใจไปเลย…” เขาพยายามพูดปลอบใจไท่ฮูหยิน เพราะหากไท่ฮูหยินเปลี่ยนใจขึ้นมา เรื่องจะยิ่งยุ่งยากเข้าไปใหญ่ “ท่านแม่ ข้ายังมีชาแดงฝูเจี้ยนที่ในวังประทานมาให้เมื่อสองวันก่อน ท่านจะเปลี่ยนชาเหล่าจวินเหมยเป็นชาแดงฝูเจี้ยนหรือไม่…” ทั้งสองพากันเดินออกนอกเรือนไป จากนั้นก็มีบ่าวรับใช้ติดตามออกไป เหลือเพียงจิ่นเกอที่ยืนอยู่กลางทางเดินอย่างเดียวดาย
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะเหตุใดท่านย่าที่รักใคร่เจ้าที่สุดและท่านพ่อที่เอ็นดูเจ้าที่สุดถึงยังยืนยันที่จะให้เจ้าไปกล่าวขอโทษอาจารย์ผัง” สืออีเหนียงถามเขา
ท่านย่าและท่านพ่อ…ต่างก็ไม่ช่วยตนทั้งคู่…
จิ่นเกอกำมือแน่น เม้มปากเป็นเส้นตรง ก้มหน้าลงต่ำจ้องมองปลายเท้าของตัวเอง นี่ถือเป็นการตอบกลับคำถามของสืออีเหนียง
“ในเมื่อเจ้ายังไม่เข้าใจ เช่นนั้นก็ยืนอยู่ตรงนี้ต่อไปก็แล้วกัน” สืออีเหนียงหมุนตัวเดินเข้าไปในเรือนอย่างใจเย็น “เจ้าคิดได้เมื่อไรก็ค่อยมาเจอแม่เมื่อนั้น”
จากนั้นประตูก็ถูกปิดลงอีกครั้ง
จิ่นเกอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา หยาดน้ำตาก็ค่อยๆ เอ่อล้นออกมาจากดวงตาของเขา
*****
ซ่าๆ ฝนตกลงมาอย่างหนัก กิ่งไม้ถูกลมพัดจนเอนเอียง ใบไม้ร่วงเกลื่อนเต็มพื้นไปหมด เพียงครู่เดียว ลานสวนก็เต็มไปด้วยแอ่งน้ำขังที่เกิดจากน้ำฝน
จิ่นเกอนั่งกอดเข่าอยู่หน้าประตูด้วยอาการหนาวสั่น
ครั้งนี้คงไม่มีใครมาจริงๆ แล้ว…เวลาผ่านไปนานขนาดนี้ เขายืนจนขาเหน็บชา…บิดาคงไม่เอาเขาแล้ว ท่านย่าก็ไม่เอาเขาแล้ว…ไหนจะจู๋เซียง ชิวอวี่ หวงเสี่ยวเหมา หลิวเอ้อร์อู่และคนอื่นๆ ต่างก็ไม่มีใครเอาเขาแล้ว เมื่อก่อนหากท่านแม่โกรธเขา ทุกคนก็จะคอยเตือนสติเขา…จากนั้นเขาก็จะวิ่งไปออดอ้อนมารดา มารดาก็จะอดไม่ได้ สุดท้ายก็จะยิ้มพร้อมกับอุ้มเขาขึ้นมากอดมาหอม…มารดาก็จะกลับไปเป็นมารดาคนเดิมที่เวลาจ้องตาเขาแล้วก็จะยิ้ม ไม่เหมือนกับมารดาคนเมื่อครู่นี้ที่จ้องมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา…
เมื่อความคิดนี้แล่นผ่านในหัว ร่างกายของเขาก็แข็งทื่อขึ้นมาทันที
มารดา ก็ไม่เอาเขาแล้วใช่หรือไม่….
จู๋เซียงและคนอื่นๆ เป็นบ่าวรับใช้ที่คอยปรนนิบัติดูแลมารดา เวลาที่มารดาโกรธแล้วพวกนางไม่กล้ามา ก็ถือเป็นเรื่องปกติ แต่หวงเสี่ยวเหมากับหลิวเอ้อร์อู่เป็นบ่าวรับใช้ที่ปรนนิบัติดูแลเขา เหตุใดถึงไม่มาเลย…น่าโมโหเกินไปแล้ว! รอเขากลับเรือนไปก่อน จะสั่งโบยคนละสิบไม้เชียว ให้พวกเขาจำให้ขึ้นใจว่าการมาช่วยเขานั้นถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุด…
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาก็หวดมือกลางอากาศเต็มแรงไปหนึ่งครั้งด้วยความโมโห
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ก็มีสายฟ้าผ่าฟาดลงมา ท้องฟ้าสว่างวาบไปทั่ว ราวกับว่ากำลังตอบสนองการกระทำของเขาอย่างไรอย่างนั้น
จิ่นเกอตกใจจนเนื้อตัวสั่นเทาไปหมด เขาซุกหน้าลงกับเข่า ขดตัวแน่นขึ้นกว่าเดิม
ดังนั้นเขาจึงไม่ทันสังเกตเห็นว่ามีบ่าวรับใช้ชายกำลังชะเง้อมองเขาอยู่ไกลๆ จากนั้นก็วิ่งตากฝนกลับไปที่ห้องตำรา
“เป็นอย่างไรบ้าง” ไท่ฮูหยินไม่รอให้บ่าวรับใช้ชายได้ทันเดินเข้ามา นางเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาบ่าวรับใช้ชายคนนั้นแทน “จิ่นเกอยอมแล้วหรือยัง”
เม็ดฝนไหลผ่านจอนผมของเขาลงไปตามใบหน้า บ่าวรับใช้ชายไม่กล้าแม้แต่จะยกมือขึ้นมาเช็ดหยาดฝนบนใบหน้าของตัวเองเสียด้วยซ้ำ
“ยังขอรับ!” เขาพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ หากไม่ได้ตั้งใจฟังดีๆ เกรงว่าคงจะถูกเสียงฝนกลบไปจนหมด
“เด็กคนนี้นี่…” ไท่ฮูหยินเดินวนไปมาอยู่ในเรือน
“ท่านแม่…” สีหน้าของสวีลิ่งอี๋เองก็เต็มไปด้วยความกังวลใจ “ท่านใจเย็นลงก่อน อย่าพึ่งวู่วามไป เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว แม้ว่าจะยากลำบาก แต่เราจำต้องแข็งใจต่อไป…”
“ข้ารู้ ข้ารู้!” ไท่ฮูหยินโบกมือด้วยความหงุดหงิดใจ “ข้าก็แค่เป็นห่วงจิ่นเกอ…เขาไม่เคยถูกลงโทษเช่นนี้มาก่อน…” พูดจบก็ชะงักไปเล็กน้อย “เมื่อครู่หากข้ายืนยันว่าจะพาเขาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วล่ะก็…” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียใจ
สวีลิ่งอี๋ก็รีบพูดขึ้นว่า “หากว่าเราพาเขาไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เขาก็จะรู้สึกว่าเราสงสารไม่อยากให้เขาทนลำบาก เกรงว่าจะยิ่งทำให้เขาไม่รู้จักกลัวเข้าไปใหญ่…”
“ข้ารู้ ข้ารู้!” หัวคิ้วของไท่ฮูหยินขมวดแน่น “ข้าก็แค่พูดไปอย่างนั้น…” สีหน้าท่าทีดูกระวนกระวายใจกว่าปกติที่เคยเป็น แม้แต่สวีลิ่งอี๋เองก็ยังไม่เคยเห็นมาก่อน
สวีลิ่งอี๋เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อน
หากว่าจิ่นเกอยังไม่ยอม เกรงว่าไท่ฮูหยินก็คงจะอดทนต่อไปไม่ไหวแล้ว…
*****
สืออีเหนียงเองก็เดินวนไปมาอยู่ในเรือนไม่หยุด
นี่ก็ผ่านไปสองชั่วยามแล้ว เหตุใดเด็กคนนี้ถึงไม่ยอมสักที
รู้ว่าเขาเป็นคนดื้อรั้นหัวแข็ง แต่นึกไม่ถึงว่าเขาจะดื้อรั้นถึงเพียงนี้ ยังดีที่นางโมโหจนมีความคิดที่จะกำราบนิสัยที่ดื้อรั้นของเขา หากโตขึ้นอีกสักหน่อย ได้ไปมาหาสู่กับคนข้างนอกมากขึ้น รู้ว่าใต้หล้านี้กว้างใหญ่ไพศาล เกรงว่าเรือนหลักเล็กๆ หลังนี้ คงจะรั้งเขาไว้ไม่อยู่แล้ว ถึงตอนนั้น เวลาที่เขาดื้อรั้นขึ้นมาก็คงจะเอาแต่หนีออกไปข้างนอก บิดามารดาก็คงจะทำได้แค่ยอมเขากระมัง
สืออีเหนียงแอบรู้สึกดีใจลึกๆ จากนั้นก็ทอดสายตามองออกไปยังนอกหน้าต่าง
“ฮูหยินเจ้าคะ!” หู่พั่วที่ยืนเงียบอยู่ข้างเตียงเตาพูดขึ้นเสียงเบาว่า “นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาจุดตะเกียงแล้ว ท่านว่า…”
นางไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยถึงอาหารค่ำเสียด้วยซ้ำ!
“อย่าพึ่งรีบจุด!” น้ำเสียงของสืออีเหนียงเต็มไปด้วยความลังเลใจ “รอต่อไปอีกหน่อย…”
พายุฝนโหมกระหน่ำท่ามกลางความมืดมิดยามค่ำคืนเช่นนี้ จิ่นเกอยังคงเลือกที่จะต่อต้านต่อไปหรืออย่างไรกัน
ทุกอย่างจะกลับตาลปัตร จากผลดีกลายเป็นผลเสีย พลอยทำให้เด็กขวัญเสียหรือไม่
ในขณะที่กำลังชั่งใจด้วยความลังเลอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีสายฟ้าผ่าลงมาอีกครั้ง เสียงดังกึกก้องไปทั่ว สว่างวาบไปทั้งเรือน
ปังๆๆ เสียงเคาะประตูดังลั่น
“ท่านแม่ ท่านแม่ ข้ากลัว! ข้ากลัวขอรับ!”
เสียงร้องเรียกที่สะอึกสะอื้นของจิ่นเกอดังขึ้น
ใบหน้าของสืออีเหนียงปรากฏสีหน้าที่ดีใจขึ้นมาทันที นางรีบวิ่งไปยังทิศทางของห้องโถง
แต่ในขณะที่นิ้วมือของนางพึ่งจะสัมผัสโดนบานประตูเก๋อซ่าน ฝีเท้าของนางก็ค่อยๆ หยุดชะงักลง รอยยิ้มเมื่อครู่นี้ค่อยๆ จางหายไป
“เจ้าคิดได้แล้วหรือยัง ว่าจะไปกล่าวขอโทษอาจารย์ผังกับแม่หรือไม่”
น้ำเสียงของสืออีเหนียงฟังดูใจเย็นแต่มีเหตุผล แต่ด้วยเหตุนี้จึงทำให้น้ำเสียงที่พูดออกมานั้นฟังดูค่อนข้างเย็นชาอย่างเห็นได้ชัด