ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 637 ต่างฝ่ายต่างยืนกราน (กลาง)
จิ่นเกอจ้องมองมารดาด้วยสีหน้าที่ดื้อรั้น “อาจารย์ผังรู้ว่าข้าถูกลงโทษไปแล้ว ย่อมต้องรู้ว่าข้ายอมรับผิดแล้ว ข้าไม่ไป!”
“เจ้าถูกลงโทษ อาจารย์ผังย่อมรู้อยู่แล้วว่าเจ้าสำนึกผิด แต่การที่เจ้าไปแสดงความรู้สึกผิดกับอาจารย์ผังด้วยตัวเอง ไม่ดูจริงใจกว่าหรือ” สืออีเหนียงกำลังโกรธจัด แต่ก็พยายามข่มน้ำเสียงให้อ่อนโยนที่สุด “กล้าถอนขนนกยูงคือความกล้าหาญ กล้าไปเด็ดผลส้มที่หน้าผาสูงชันคือความกล้าหาญ ฝึกย่อเข่าได้ดีกว่าคนอื่นคือความกล้าหาญ หากว่าเรากระทำความผิด แต่ไม่ปิดบังหรือหลบเลี่ยง ออกไปยอมรับความผิดด้วยตัวเอง ก็ถือเป็นความกล้าหาญอย่างหนึ่ง และยังเป็นความกล้าหาญที่แท้จริงอีกด้วย…”
“ข้าไม่ไป ข้าไม่ไป…” จิ่นเกอยังคงปฏิเสธด้วยความดื้อรั้น เขาปิดหูทั้งสองข้างไว้ ไม่ยอมรับฟังแม้แต่นิดเดียว จากนั้นก็วิ่งออกจากเรือนไปทันที
สืออีเหนียงตะลึงงัน
ถึงแม้ว่าบุตรชายของนางจะเห็นแก่เล่น และในบางครั้งก็อาจจะไร้เหตุผล แต่เขาก็รับฟังนางทุกครั้ง…นึกไม่ถึงเลยว่าครั้งนี้เขาจะไม่ยอมฟังแม้แต่คำพูดของนาง เหล่าบรรดาบ่าวรับใช้ต่างก็ไม่มีใครกล้าขัดใจเขาแม้แต่คนเดียว สวีลิ่งอี๋และไท่ฮูหยินเห็นความดื้อรั้นของเขาเป็นความฉลาด หากปล่อยให้เป็นอย่างนี้ต่อไป ไม่ว่าใครก็คงจะไม่สามารถจัดการเขาได้!
นางไม่สามารถข่มไฟที่ลุกโชนในอกได้อีกต่อไป
สืออีเหนียงรีบสวมรองเท้าแล้ววิ่งตามเขาไปทันที
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!” สืออีเหนียงตะโกนเสียงดังลั่น
เป็นครั้งแรกที่คนในเรือนได้ยินสืออีเหนียงใช้น้ำเสียงที่เดือดดาลเช่นนี้ ต่างก็หันหน้ามาสบตากันด้วยความตกใจ พากันถอยไปยืนอยู่มุมห้องด้วยความกลัว
“ทำผิดแล้วไม่ยอมรับความผิด ยังคิดจะหนีอีก!” ในการใช้ชีวิตไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน สืออีเหนียงไม่เคยเลยสักครั้งที่จะหลีกหนีปัญหา นางเชื่อมั่นเสมอว่าหากใช้สติปัญญาและมีความซื่อสัตย์จริงใจ กล้าที่จะรับผลที่ตามมา ก็จะสามารถผ่านพ้นได้ทุกอุปสรรค ด้วยเหตุนี้จึงเกลียดคนที่ชอบหนีปัญหาเป็นที่สุด นึกถึงความตั้งใจที่ตนบ่มเพาะเลี้ยงดูบุตรชายด้วยความทุ่มเทและจริงใจ แต่บุตรชายกลับมาเป็นเช่นนี้ หลักการและเหตุผลของนางก็พังทลายหายไป ประหนึ่งเขื่อนใหญ่ที่แตกสะบั้น “เจ้าหนีไปแล้ว เรื่องที่เคยทำจะหายไปหรือ เจ้าหนีไปแล้ว ก็ไม่ต้องไปกล่าวขอโทษกับอาจารย์ผังแล้วอย่างนั้นหรือ สวีซื่อจิ่น หากครั้งนี้เจ้าไปกล่าวขอโทษกับอาจารย์ผัง ข้าจะปล่อยเรื่องนี้ไป มิเช่นนั้น หลังกักบริเวณสามวันแล้ว ข้าจะให้เจ้าไปคุกเข่าต่อหน้าศาลบรรพชนต่อ สำนึกได้เมื่อไรก็ค่อยกลับไปเรียนที่เรือนซิ่วมู่!”
นางเลี้ยงดูเขาด้วยตัวเอง ที่ผ่านมานางอ่อนโยนกับเขามาโดยตลอด อย่าว่าแต่ลงโทษให้ไปคุกเข่าหน้าศาลบรรพชนเลย แม้แต่ตะคอกเขาก็ไม่เคยเลยสักครั้ง
จิ่นเกอยืนตัวแข็งทื่ออยู่ที่เดิม
ท่านแม่ตำหนิเขาเพียงเพราะเรื่องของอาจารย์ผังอย่างนั้นหรือ
“คนที่ใส่ยาระบายลงไปในถ้วยน้ำชาของอาจารย์ผังไม่ใช่ข้าคนเดียวเสียหน่อย เหตุใดถึงกักบริเวณข้าแค่คนเดียว แถมยังต้องไปกล่าวขอโทษอีก…” เขาพูดขึ้นด้วยความโกรธแค้น แฝงไปด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
“หุบปากประเดี๋ยวนี้!” สืออีเหนียงจ้องมองใบหน้าเต็มไปด้วยความไม่พอใจของจิ่นเกอ นางโมโหจนใบหน้าแดงก่ำไปหมด ตะโกนเสียงดังกลบเสียงของเขาไป “เจ้าทำความผิด ยังจะกล้าโยนความผิดไปให้คนอื่น” สืออีเหนียงนึกในใจ ว่านางทะนุถนอมเขามาโดยตลอด เหตุใดบุตรชายถึงได้กลายเป็นคนเช่นนี้ไปได้ “เจ้าเป็นพี่ชาย เซินเกอเป็นน้อง เจ้าไม่ห้ามปรามน้อง แล้วยังจะไปเปรียบเทียบกับน้องอีก อย่าว่าแต่เขาอายุน้อยกว่าเจ้าและไปทำเรื่องเหล่านี้ตามเจ้าเลย แม้ว่าเขาจะไปทำความผิดเอง ไม่ได้ไปทำตามเจ้า แต่เจ้าเป็นถึงพี่ชายกลับไม่ห้ามปรามน้อง ก็ถือเป็นความบกพร่องในหน้าที่ของเจ้า! แต่เจ้ากลับพูดจาเช่นนี้ออกมาได้อย่างไรกัน เจ้ายังหลงเหลือความเป็นพี่ชายอยู่หรือไม่ แม่สอนเจ้าให้ทำตัวเช่นนี้หรือ เจ้ามัน…” สืออีเหนียงโมโหจนไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี
เสียงฟ้าร้องที่ขอบฟ้าค่อยๆ ดังขึ้น ท้องฟ้าที่สว่างสดใสค่อยๆ มืดครึ้มลง
น้ำตาของจิ่นเกอค่อยๆ คลอเบ้าขึ้นมา ใบหน้ามารดาของเขาก็ค่อยๆ เลือนรางไม่ชัดเจน
“ข้าไม่ไป ข้าไม่ไป…” เขาพยายามเชิดหน้าขึ้น “ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่ไป! และข้าก็ไม่ได้ชักชวนผู้อื่นด้วย…”
นี่ยังไม่ถือว่าชักชวนผู้อื่นอีกหรือ
“ไม่ไปหรือ!” สืออีเหนียงฉุนเฉียวมากกว่าเดิม “หากไม่ไปก็ยืนอยู่ตรงนี้ไม่ต้องไปไหน คิดไตร่ตรองให้ดีว่าเหตุใดแม่ถึงให้เจ้าไปกล่าวขอโทษกับอาจารย์ผัง เจ้าคิดได้เมื่อไรก็ค่อยมาเจอข้าเมื่อนั้น แล้วข้าค่อยไปกล่าวขอโทษอาจารย์ผังพร้อมเจ้า! หากว่าเจ้าคิดไม่ได้ ก็ไม่จำเป็นต้องไปกล่าวขอโทษกับอาจารย์ผัง แล้วก็ไม่จำเป็นต้องมาเจอหน้าข้าด้วยเช่นกัน!”
จิ่นเกอได้ยินแล้วก็หันหน้าไปทางอื่น แสดงสีหน้าไม่พอใจ
ต่อหน้าบิดามารดายังกำเริบเสิบสานเช่นนี้ ต่อหน้าผู้อื่นจะขนาดไหน!
สืออีเหนียงโมโหเป็นอย่างมาก นางหมุนตัวเดินเข้าไปในเรือนพลางสั่งกับหู่พั่วว่า “ปิดประตู คุณชายน้อยหกคิดได้เมื่อไร ค่อยเปิดประตูให้เขาก็แล้วกัน”
คุณชายน้อยหกที่เป็นเด็กดีมาโดยตลอด จู่ๆ ก็ดื้อรั้นขึ้นมา ฮูหยินที่เป็นคนใจเย็นมาโดยตลอด จู่ๆ ก็เผด็จการเช่นนี้ หู่พั่วนึกไม่ถึงว่าเรื่องจะกลายเป็นเช่นนี้ไปได้ นางไม่กล้าพูดอะไรต่อ รีบขานรับด้วยความนอบน้อม พลางหันไปส่งสายตาให้กับชิวอวี่ เพื่อให้นางไปเรียนเรื่องนี้กับสวีลิ่งอี๋ จากนั้นก็เดินตามหลังสืออีเหนียงพร้อมกับปิดประตูห้องโถงของเรือนหลักลง
ชิวอวี่วิ่งออกจากลานสวนไปตามทางเดินเล็กด้วยความเร่งรีบ
ส่วนคนอื่นๆ ที่อยู่ในเรือนต่างก็พากันเงียบ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง เพราะกลัวว่าจะไปทำให้สืออีเหนียงมีโทสะหรือจิ่นเกอที่อาจจะโดนพาลไปด้วย
เวลานั้นเอง บรรยากาศในเรือนก็เงียบสนิท ได้ยินเพียงเสียงลมที่กระทบกับใบไม้ดัง ซู่ๆ พลอยทำให้บรรยากาศยิ่งกดดันเข้าไปใหญ่
จิ่นเกอจ้องมองบานประตูเก๋อซ่านกระจกสลักลายผลึกน้ำแข็งสีเขียวที่ถูกปิดลงพลางเม้มริมฝีปากแน่น จากนั้นก็เหลือบมองเหล่าบรรดาสาวใช้ที่ยืนชิดมุมห้องตัวแข็งทื่อ
*****
หู่พั่วประคองสืออีเหนียงเข้าไปนั่งที่เตียงเตาใหญ่ริมหน้าต่างของห้องชั้นใน
สาวใช้น้อยยกน้ำชาเข้ามาด้วยมือที่สั่นเทา
หู่พั่วรับถ้วยน้ำชามา จากนั้นก็ส่งสายตาให้สาวใช้น้อยออกไปก่อน แล้วจึงยกถ้วยน้ำชามาวางไว้บนโต๊ะตรงหน้าสืออีเหนียง เมื่อเห็นว่ารอบข้างไม่มีใครอยู่แล้ว ก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า “ฮูหยิน จิบชาให้ชุ่มคอเสียหน่อยเถิดเจ้าค่ะ!”
เวลานี้ สืออีเหนียงดื่มลงเสียที่ไหนกัน นางยกถ้วยชาขึ้นมาพลางหยิบฝาน้ำชาเกลี่ยใบชาที่ลอยอยู่บนผิวน้ำเบาๆ จากนั้นก็วางถ้วยน้ำชาลงบนโต๊ะอีกครั้ง
“ฮูหยิน!” หู่พั่วสังเกตสีหน้าท่าทีของสืออีเหนียงด้วยความระมัดระวัง “เพียงชั่วพริบตา เวลาก็ล่วงเลยผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว นึกถึงตอนนั้น ตอนที่บ่าวเพิ่งติดตามฮูหยินเป็นครั้งแรก ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ฮูหยินจึงคอยจับมือสอนทุกสิ่งทุกอย่าง ทุกวันนี้ บ่าวจึงสามารถทำทุกอย่างได้ด้วยตัวเอง เวลาผู้อื่นเอ่ยถึงบ่าว ก็ล้วนแล้วแต่เชยชมว่าบ่าวนั้นมีความสามารถ ทุกครั้งที่ได้ยินบ่าวก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่า บ่าวคอยนึกคิดอยู่เสมอว่าหากไม่ใช่เพราะฮูหยินคอยค้ำจุนอบรมสอนสั่ง บ่าวจะมีวันนี้ได้อย่างไรกัน…”
สืออีเหนียงเข้าใจเจตนาของหู่พั่ว จึงโบกมือให้นางเบาๆ
“เขาโตมาขนาดนี้ เจ้าเคยเห็นข้าโกรธเขาสักครั้งหรือไม่ เป็นเพราะที่ผ่านมาข้าไม่เคยโมโหเขาเลยสักครั้งหรืออย่างไรกัน” ขณะที่พูดอยู่นั้น นางก็นึกถึงสีหน้าที่ไม่พอใจของจิ่นเกอขึ้นมา อารมณ์จิตใจที่เพิ่งสงบไปเมื่อครู่ก็เริ่มเดือดขึ้นมาอีกครั้ง น้ำเสียงค่อยๆ เปลี่ยนเป็นฉุนเฉียวขึ้นมา “ข้าคิดเสมอว่าเขาอายุยังน้อย หากข้าค่อยๆ บ่มเพาะอบรมสอนสั่ง ไม่ว่าเขาจะดื้อรั้นแค่ไหน ข้าก็จะคิดในแง่ดีเสมอ เวลาที่มีอารมณ์โกรธ ก็พยายามข่มอารมณ์โกรธไว้ คิดว่าหากเขาโตขึ้นอีกสักหน่อยก็จะดีขึ้น แต่เจ้าดูวันนี้สิ…”
“ฮูหยิน!” หู่พั่วเห็นว่าสืออีเหนียงเริ่มโมโหขึ้นมา จึงรีบพูดขึ้นว่า “ในเมื่อท่านรู้ว่า…”
“พอเถิด!” สืออีเหนียงลดเสียงลง จากนั้นก็เอนตัวนอนลงบนหมอนอิงสีแดงสดที่ปักด้วยลายต้นไผ่สีเขียวเข้ม “เจ้าเองก็ไปพักผ่อนเถิด เรื่องนี้ข้าจะเป็นคนตัดสินใจเอง” สีหน้าท่าทีของนางหนักแน่นเป็นอย่างมาก
หู่พั่วไม่กล้าพูดอะไรต่อ ได้แต่ขานรับพร้อมกับถอยออกจากห้องชั้นในไป
ในเรือนเงียบสงัด ได้ยินเพียงเสียงเดินเข็มของนาฬิกาตั้งพื้นที่ตั้งอยู่ในห้องปีกทิศตะวันออก
อารมณ์จิตใจของสืออีเหนียงก็ค่อยๆ สงบลงอย่างช้าๆ
เมื่อครู่นี้นางเอาแต่โมโห จึงไม่ได้สังเกตว่ามีบ่าวรับใช้ไปรายงานเรื่องนี้กับสวีลิ่งอี๋และไท่ฮูหยินหรือไม่ และถึงแม้ว่าจะได้สังเกต แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนั้น นางก็ไม่สามารถยับยั้งได้อยู่ดี มิเช่นนั้น จิ่นเกอที่ฉลาดหัวไวจะคิดว่านางกลัวสวีลิ่งอี๋และไท่ฮูหยิน ไม่แน่บางทีเขาอาจจะหนีไปอ้อนสวีลิ่งอี๋และไท่ฮูหยินก็เป็นได้…เกิดเรื่องเช่นนี้ในเรือน ไม่ว่าจะเป็นสวีลิ่งอี๋หรือไท่ฮูหยิน หากทราบข่าวแล้วก็คงจะรีบรุดมาทันทีกระมัง…
เมื่อนึกถึงตรงนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะมองออกไปยังนอกหน้าต่าง
ในลานสวน ดอกกล้วยไม้หยกสีขาวสะอาดประดุจหยก ดอกทับทิมสีแดงประดุจเปลวไฟ ดอกพุทธรักษาหลากหลายสีสัน
จิ่นเกอยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่กล้าขยับแม้แต่นิดเดียว เงาของร่างกายที่เปราะบางพลอยทำให้เขาดูดื้อรั้นและอ่อนแอในเวลาเดียวกัน
จู่ๆ ก็รู้สึกใจอ่อนขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
ในหัวของนางเต็มไปด้วยภาพรอยยิ้มของบุตรชายที่เดินเตาะแตะมาทัดดอกไม้ให้นาง ใช้มือน้อยๆ ที่ขาวเนียนและอวบอ้วนพยายามจะป้อนขนมเถาซูเข้าปากนางให้ได้ ภาพที่เขาล้อมรอบตัวนางพูดคุยเจี๊ยวจ๊าวไม่หยุด…จู่ๆ นางก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมา
เด็กคนนี้ ตั้งแต่เล็กจนโต เขาได้ทุกสิ่งทุกอย่างตามใจต้องการมาโดยตลอด เกรงว่าคงจะไม่ยอมก้มหัวง่ายๆ อย่างแน่นอน!
สืออีเหนียงเริ่มนั่งไม่ติดขึ้นมา
นางพยายามข่มใจไว้ เดินวนไปมาในห้องอยู่หลายรอบ และคอยหันกลับไปมองที่นอกหน้าต่างอยู่หลายครั้ง ก็เห็นจิ่นเกอที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม เพียงแต่ว่าเขาเชิดหน้าขึ้นสูงกว่าเดิม เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขานั้นเข้มแข็ง
สืออีเหนียงค่อยๆ ถอนหายใจออกมาอย่างช้าๆ
เรื่องมาถึงขนาดนี้ คงต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเป็นคนยอม
นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็นำสะดึงผ้าปักออกมาปัก พยายามข่มใจตัวเองให้สงบ ไม่ให้นึกถึงคนที่กำลังยืนอยู่กลางลานสวน
กว่าจะแบ่งเส้นด้ายมา ร้อยด้ายเข้ากับรูเข็ม ปักใบไม้ได้เพียงครึ่งใบ ทันใดนั้นเองก็มีเสียงฟ้าผ่าดังขึ้น
สืออีเหนียงตกใจเป็นอย่างมาก นางรีบชะโงกหน้ามองออกไปที่นอกหน้าต่างทันที
ด้านนอกลมพัดโหมกระหน่ำ กิ่งไม้โยกคลอน เมฆดำทะมึน
จิ่นเกอที่ยืนอยู่กลางลานสวนก็หันกลับไปดูพลางยกแขนขึ้นมาบังลมที่พัดเข้ามา
“หู่พั่ว!” สืออีเหนียงรีบลงจากเตียงเตามาสวมรองเท้า
หู่พั่วที่ยืนเฝ้าอยู่หลังม่านมาโดยตลอด เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว นางก็รีบเปิดม่านเข้าไปทันที
“รีบไปดูคุณชายน้อยหก…” นางพึ่งจะพูดออกไป จู่ๆ สีหน้าของสืออีเหนียงก็เปลี่ยนไปในทันที
หากว่าต้องยกเลิกการตัดสินใจเมื่อครู่นี้เพียงเพราะสาเหตุภายนอก ต่อไปภายภาคหน้าจิ่นเกอยังจะเชื่อฟังคำสอนและคำว่ากล่าวตักเตือนของนางหรือ
สืออีเหนียงจึงค่อยๆ ยืนตัวตรง จากนั้นก็ตะโกนเรียกหู่พั่วที่กำลังจะวิ่งออกไปด้านนอกด้วยสีหน้าที่แปลกใจและดีใจในเวลาเดียวกัน “…ไม่ต้องแล้ว!”
“ฮูหยิน!” หู่พั่วจ้องมองสืออีเหนียงด้วยความงุนงง “ด้านนอกมีฟ้าผ่าและลมพัดแรง เกรงว่าฝนกำลังจะตกเจ้าค่ะ…”
จริงสิ!
ถึงแม้ว่ายังอยู่ในฤดูร้อน แต่หากโดนฝนก็จะรู้สึกหนาวได้ และหากว่าเขาป่วยขึ้นมา คนที่เสียใจที่สุดก็คือนาง
แต่ทว่า เขาดันทุรังเช่นนี้ เหล่าบรรดาบ่าวรับใช้ที่เห็นก็คงจะไม่ปล่อยเขาทิ้งไว้โดยที่ไม่สนใจ ไม่ว่าอย่างไรก็คงจะต้องมีคนทำในสิ่งที่ควรทำอย่างแน่นอน
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะยิ้มเจื่อน
บางทีนี่ก็คงจะเป็นสาเหตุที่ทำให้จิ่นเกอกลายเป็นคนดื้อรั้นกระมัง!
เมื่อความคิดนี้แล่นผ่านในหัว…ด้านนอกก็มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้น เปรี้ยงปร้าง ฟ้าแลบบวกกับก้อนเมฆที่ดำมืดมากขึ้นกว่าเดิม เวลานั้นเอง ฝนก็ตกลงมา
สืออีเหนียงเดินกลับเข้าห้องชั้นใน จากนั้นนางก็รีบขึ้นไปนั่งบนเตียงเตา ชะโงกหน้ามองออกไปยังนอกหน้าต่าง
ฝนเม็ดใหญ่กำลังร่วงหล่นจากฟากฟ้ากระทบลงบนหินกรวด แตกตัวราวกับดอกไม้ดอกเล็กๆ
จิ่นเกอก้าวไปข้างหน้าสองก้าว แต่แล้วเขาก็หยุดฝีเท้าลง ราวกับว่านึกอะไรขึ้นมาได้อย่างไรอย่างนั้น จู่ๆ เขาก็มองมาที่หน้าต่างของห้องชั้นใน
สืออีเหนียงรีบหลบเข้ามาอย่างรวดเร็ว กลัวว่าหากเขาเห็นว่านางเป็นห่วง ทุกอย่างที่ทำไปก็จะสูญเปล่า
ฟ้าแลบติดต่อกันไม่ขาดสาย เสียงฟ้าร้องดังขึ้นไม่หยุด ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ
หัวใจของสืออีเหนียงบีบแน่นยิ่งขึ้นกว่าเดิม นางแอบมองเขาอยู่หลังฉลุบานหน้าต่าง
จู๋เซียงรีบกางร่มพร้อมกับวิ่งออกไปหาเขา ดูเหมือนว่านางกำลังพูดอะไรบางอย่างกับจิ่นเกอ
สายตาของจิ่นเกอยังคงจับจ้องมาที่หน้าต่างของห้องชั้นใน เขาเม้มริมฝีปากแน่นพลางส่ายหน้าปฏิเสธทันควัน
จู๋เซียงโน้มน้าวอยู่นาน แต่จิ่นเกอก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิมไม่ยอมขยับไปไหนแม้แต่ก้าวเดียว
จู๋เซียงจึงทำได้เพียงยืนกางร่มให้กับจิ่นเกออยู่ที่เดิม
แต่จิ่นเกอกลับแย่งร่มมาจากนาง จากนั้นก็โยนร่มทิ้งลงกับพื้น
จู๋เซียงตกอกตกใจ ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี นางจึงทำได้เพียงปล่อยให้ฝนสาดกระหน่ำลงบนตัวของนาง
“เจ้าไปบอกกับจู๋เซียง ไม่สิ เจ้าไปบอกกับเหล่าบรรดาบ่าวรับใช้ทุกคน” สืออีเหนียงสั่งกับหู่พั่วด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ไม่ว่าใครก็ห้ามสนใจคุณชายน้อยหก มิเช่นนั้น ก็จะถูกส่งตัวไปให้พ่อบ้านไป๋จัดการ”
หู่พั่วตกตะลึง นางไม่กล้าชักช้า รีบย่อตัวทำความเคารพ จากนั้นก็รีบถอยออกจากห้องชั้นในทันที
ด้านนอกมีเสียงโครมครามดังขึ้น
สืออีเหนียงจึงมองผ่านกระจกของบานหน้าต่างอีกครั้ง ก็เห็นสวีลิ่งอี๋กำลังเดินฝ่าฝนเข้ามาด้วยความรีบร้อน