ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 633 กล่าวขอโทษ (ต้น)
จะว่าไปแล้ว ตนก็ถือเป็นคนที่ดึงดันชอบเอาชนะมากคนหนึ่ง มิเช่นนั้น ภพชาติที่ผ่านมาของนางก็คงจะไม่เลือกที่จะเป็นทนายความ และภพชาตินี้นางก็คงจะไม่ตัดสินใจแต่งเข้าจวนหย่งผิงโหว ไม่ว่าเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ นางก็ไม่เคยยอมถอยแม้แต่ก้าวเดียว
เมื่อนึกถึงตรงนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มขึ้น
เวลาไหนควรแข็งกร้าว เวลาไหนควรประนีประนอม ล้วนแล้วแต่เก็บเกี่ยวมาจากประสบการณ์ความล้มเหลวทั้งสิ้น ผิวเผินอาจดูเป็นคนใจเย็น เรียบง่ายไม่เรื่องมาก แต่กลับเปลี่ยนผันได้ตลอดเวลา ไม่เหมือนจิ่นเกอ ที่ยังคงดื้อและไร้เดียงสาตามประสาเด็ก ยังไม่รู้จักอดทนและคล้อยตาม ทำทุกอย่างตามใจต้องการ แต่กลับดูมั่นใจและเต็มเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา
ไม่แน่บางทีตอนที่นางยังเด็กก็เป็นแบบนี้ เพียงแต่ว่าทุกอย่างผ่านมานานแล้ว เลยจำไม่ได้ก็เท่านั้น
สืออีเหนียงยืนถอนหายใจอยู่ตรงนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไปยังโถงบุปผา
นางได้ขอให้อาจารย์เจี่ยนพาช่างตัดเย็บที่ฝีมือค่อนข้างดีจากร้านขายของมงคลสมรสมาช่วยจู๋เซียงปักเย็บงานปักที่จะต้องใช้ตอนแต่งงานมาจำนวนหนึ่ง
นึกไม่ถึงเลยว่าชิวจวี๋ก็มาด้วย
“ฮูหยิน” นางย่อตัวทำความเคารพสืออีเหนียง “เมื่อก่อนตอนอยู่ที่อวี๋หัง บ่าวกับน้องหญิงจู๋เซียงนอนเตียงเดียวกัน” ขณะที่พูดอยู่นั้น น้ำตาของนางก็คลอเบ้าขึ้นมา “วันนี้นางจะแต่งงานออกเรือนแล้วบ่าวเลยอยากมาช่วยนางปักเย็บด้วยตัวเองเจ้าค่ะ”
ที่อวี๋หัง พวกนางผ่านความลำบากยากเข็ญด้วยกันมามาก ความสัมพันธ์จึงค่อนข้างแน่นแฟ้นกว่าผู้อื่น
“เช่นนั้นก็ลำบากเจ้าแล้ว” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “หลายปีมานี้นางติดตามข้างกายข้า คอยดูแลทุกเรื่อง จึงทำให้ข้าเบาแรงไปไม่น้อย แต่ข้ากลับทำให้เรื่องของนางล่าช้า” น้ำเสียงค่อนข้างรู้สึกผิด
“คำพูดของฮูหยิน บ่าวไม่เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ” ชิวจวี๋ได้ยินแล้วก็รีบพูดค้านทันที “เหมือนตอนแรก ตอนที่พวกบ่าวทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง หากไม่ใช่เพราะพวกบ่าวได้ปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายฮูหยิน พลอยได้ฝึกโน่นฝึกนี่ตาม พวกบ่าวจะมีวันนี้ได้อย่างไรกันเล่า เมื่อวานบ่าวก็เพิ่งจะพูดกับสามีของบ่าวไปว่าหู่พั่วนั้นวาสนาดี ที่ยังได้อยู่ปรนนิบัติรับใช้ข้างกายฮูหยิน”
“เป็นเพราะเจ้าไปดูแลร้านขายของมงคลสมรส ประสบการณ์และความคิดก็เลยไม่เหมือนเดิมแล้วหรืออย่างไรกัน” สืออีเหนียงรู้ว่านางกำลังปลอบใจตนให้คลายกังวลใจ จึงยิ้มพร้อมกับหันไปพูดกับอาจารย์เจี่ยนว่า “ตอนนี้หัดพูดจาปลอบใจคนอื่นเป็นแล้ว!”
อาจารย์เจี่ยนหัวเราะเสียงดังขึ้นมา รอยยิ้มเต็มไปด้วยความปลื้มใจอย่างไม่อาจปกปิดได้
สืออีเหนียงให้ชิวจวี๋นำแบบลายผ้าปักออกมา จากนั้นทุกคนก็พากันนั่งลงล้อมวงปรึกษาหารือว่าจะตระเตรียมสินเดิมให้จู๋เซียงอย่างไรบ้าง
จู่ๆ นอกเรือนก็มีเสียงดังขึ้น
ทุกคนต่างก็พากันเงยหน้าขึ้นมา
ก็เห็นเซินเกอที่กำลังถือคันธนูคันเล็กอยู่ในมือวิ่งเข้ามาด้วยอาการหอบ ด้านหลังตามมาด้วยจิ่นเกอที่กำลังโมโหเป็นอย่างมาก
“ท่านป้าสะใภ้สี่ ท่านป้าสะใภ้สี่” เซินเกอโผเข้าไปในอ้อมแขนของสืออีเหนียง “พี่หกจะตีข้าขอรับ!” สืออีเหนียงจึงโอบกอดเซินเกอเอาไว้
เมื่อได้โล่กำบังแล้ว เซินเกอก็เปลี่ยนเป็นสบายใจไร้ซึ่งความกังวลขึ้นมาทันที เขาเบะปากให้กับจิ่นเกอด้วยความลำพองใจ
“เจ้าพูดปด!” จิ่นเกอจ้องมองเซินเกอที่อยู่ในอ้อมแขนของสืออีเหนียงพลางกระทืบเท้าด้วยความโมโห “ข้าก็แค่อยากจะยืมคันธนูของเจ้ามาใช้ก็เท่านั้น…”
“ข้าเปล่าพูดปด!” ไม่รอให้จิ่นเกอได้ทันพูดจบ เซินเกอก็รีบตะโกนเถียงขึ้นมาทันที “ท่านเห็นข้ายิงโดนถ้วยเครื่องเคลือบปาเป่าของท่าน ท่านจึงไม่พอใจข้า ก็เลยอยากจะแย่งคันธนูของข้า…”
“ข้าไม่เห็นอยากจะได้คันธนูของเจ้าเลย!” ใบหน้าของจิ่นเกอแดงก่ำ “ข้าก็แค่เห็นว่าเจ้ายืนอยู่ตั้งไกลแต่กลับยิงโดนถ้วยเครื่องเคลือบปาเป่าของข้าได้ ก็เลยอยากดูว่าคันธนูของเจ้ากับข้าไม่เหมือนกันตรงไหน…”
“ถ้วยเครื่องเคลือบปาเป่าหรือ” สืออีเหนียงค่อนข้างแปลกใจ “เจ้าเอาถ้วยเครื่องเคลือบปาเป่าออกมาได้อย่างไร”
ถ้วยเครื่องเคลือบปาเป่ากว้างราวห้านิ้ว แต่งแต้มด้วยสีแดง สีส้ม สีเหลือง สีเขียวเข้ม สีเขียวอ่อน สีฟ้า สีม่วงและสีขาว แปดสีแพรวพราวราวกับว่ามันถูกล้อมรอบไปด้วยเมฆหมอกอย่างไรอย่างนั้น งดงามอย่างน่าอัศจรรย์ เป็นของที่สวีลิ่งอี๋เก็บสะสม จิ่นเกอเห็นแล้วก็ชื่นชอบเป็นอย่างมาก อ้อนสวีลิ่งอี๋อยู่หลายวันกว่าจะได้มา ถ้วยใบนี้ถูกนำไปวางจัดแต่งอยู่ที่ห้องโถงของจิ่นเกอ ปกติแล้วก็จะเป็นหงเหวินกับอาจินที่ทำความสะอาด สาวใช้น้อยคนอื่นๆ ไม่กล้าที่จะแตะต้อง
ทั้งสองต่างฝ่ายต่างก็จ้องกันตาเขม็ง เถียงกันคอเป็นเอ็น ทั้งคู่ทะเลาะกันจนใบหน้าและใบหูแดงก่ำไปหมด
สืออีเหนียงไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ตั้งใจฟังอยู่ตั้งนาน กว่าจะจับใจความได้
ที่แท้แล้วเป็นเพราะจิ่นเกอได้ยินคำพูดของสืออีเหนียง ก็เลยรีบวิ่งไปหาเซินเกอด้วยความลำพองใจ ว่าถึงเซินเกอจะยิงธนูเป็น แต่ลูกธนูที่ยิงออกไปนั้นไม่มีแรง ไม่สามารถยิงทะลุสิ่งของได้ จึงไม่มีประโยชน์เลย เซินเกอได้ยินแล้วก็ไม่พอใจเป็นอย่างมาก จึงหยิบซองลูกธนูออกมาเพื่อจะพิสูจน์กับจิ่นเกอให้รู้แล้วรู้รอด จิ่นเกอชี้ไปยังกระถางธูปหอมเพื่อให้เซินเกอยิง เซินเกอยิงไปห้าหกดอก แต่กลับไม่โดนสักครั้ง เซินเกอก็เลยบอกว่ากระถางธูปหอมนั้นเล็กเกินไป จะต้องเปลี่ยนเป็นเป้ายิงที่ใหญ่ขึ้น จิ่นเกอตอบตกลงทันที ยังให้เซินเกอเป็นคนเลือกเป้าเองได้ตามใจชอบ เซินเกอถูกใจถ้วยเครื่องเคลือบปาเป่าที่มีขนาดเล็กกว่าใบหน้าของเขาเพียงเล็กน้อย
จิ่นเกอเลยอดไม่ได้ที่จะรู้สึกลังเลใจ
เซินเกอหัวเราะเยาะว่าจิ่นเกอนั้นใจแคบไม่แน่จริง
จิ่นเกอยอมฟังคำพูดเช่นนี้เสียที่ไหนกัน เขาจึงรีบรับปากในทันใด
สุดท้ายเซินเกอยิงธนูออกไปเพียงแค่ดอกเดียวก็สามารถยิงโดนถ้วยเครื่องเคลือบปาเป่า
จิ่นเกอตกตะลึงจนตาค้าง
เซินเกอก็รีบชูคันธนูในมือขึ้นด้วยความดีอกดีใจ
เมื่อจิ่นเกอตั้งสติได้ก็จะขอดูคันธนูของเซินเกอให้ได้ ยังพูดอีกว่า ‘คันธนูนี้คงจะเป็นคันธนูล้ำค่าอย่างแน่นอน’
เซินเกอไม่ยอมให้ จิ่นเกอก็เลยจะแย่ง
คนหนึ่งวิ่งหนีคนหนึ่งวิ่งตาม พากันวิ่งรอบเรือน…เซินเกอเห็นว่าคันธนูของเขาจะถูกจิ่นเกอแย่งแล้ว ก็เลยตัดสินใจวิ่งไปหาสืออีเหนียง
สืออีเหนียงรู้สึกงุนงงไปหมด
ตั้งแต่เทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างมาจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ทันจะพ้นเดือน ฝีมือของเซินเกอพัฒนาขนาดนี้แล้วเชียวหรือ หรือว่าเซินเกอจะมีพรสวรรค์ทางด้านนี้กระมัง
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น ก็ได้เข้าไปแยกทั้งสองให้ออกจากกัน “พอได้แล้ว พวกเจ้าทั้งสองเป็นพี่น้องกัน มีเรื่องอันใดก็พูดคุยกันดีๆ ทะเลาะกันเช่นนี้ใช้ได้เสียที่ไหนกัน!” จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “พวกเจ้าดูสิ ทุกคนต่างจับจ้องพวกเจ้ากันหมดแล้ว!”
ทั้งสองจึงหยุดทะเลาะกัน แต่ก็ยังจ้องตากันเขม็งด้วยความไม่พอใจ
สืออีเหนียงเกลี้ยกล่อมไปพักใหญ่ จิ่นเกอจึงพูดขึ้นว่าเขาไม่ได้จะแย่งคันธนูของเซินเกอมาเป็นของตัวเอง เซินเกอก็พูดขึ้นว่าจิ่นเกอไม่ได้ตีเขา ทั้งสองจึงเข้ามาจับมือกันด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ ถือเป็นการคืนดี
เซินเกอจึงค่อยสะพายคันธนูแล้วเดินออกจากเรือนไปอย่างอกผายไหล่ผึ่ง ส่วนจิ่นเกอก็หันหน้าเดินกลับเรือนด้วยสีหน้าที่เศร้าสร้อย
หลังจากที่สืออีเหนียงส่งอาจารย์เจี่ยนและคนอื่นๆ กลับไปจนหมดแล้ว ก็กลับไปหาจิ่นเกอทันที ทั้งคู่กำลังนั่งพิงหัวเตียงของเตียงเตาใหญ่ริมหน้าต่าง สืออีเหนียงยกตัวอย่างสุภาษิตมากมายมาอธิบายให้แก่บุตรชายของนาง “เหนือคนยังมีคน นอกขุนเขายังมีขุนเขา” “พี่น้องพร้อมใจ จะเกิดเป็นพลังอันยิ่งใหญ่” สีหน้าของจิ่นเกอจึงค่อยดีขึ้น
สืออีเหนียงรู้สึกโล่งใจ
นึกไม่ถึงว่าวันถัดมาตอนฝึกย่อเข่าที่เรือนซิ่วมู่ ทั้งสองจะชวนกันทะเลาะเรื่องฝึกย่อเข่าหรือฝึกยิงธนูขึ้นมาอีก
อาจารย์ผังห้ามปรามไปหลายครั้ง ทั้งสองเอาแต่รับปากแต่กลับไม่ยอมทำตาม อาจารย์ผังก็เลยจูงมือข้างละคน พาทั้งคู่ไปที่กลางลานสวน “พวกเจ้าทั้งสองย่อเข่าประเดี๋ยวนี้!” อาจารย์ผังสั่งให้ทั้งคู่ฝึกย่อเข่ากลางแดด
“หึ!” ทั้งสองสบถเสียงใส่กัน จากนั้นก็ย่อเข่า
ช่วงกลางฤดูร้อน พระอาทิตย์ขึ้นตั้งแต่เช้าแล้ว แดดแรงเจิดจ้า สาดส่องทำให้น่าหงุดหงิดใจ
จิ่นเกอฝึกย่อเข่าอยู่ครู่หนึ่ง ก็เห็นว่าอาจารย์ผังกำลังนั่งจิบชาบนเก้าอี้ไท่ซืออยู่ใต้ชายคาของเรือน ก็แอบขยับไปยังทิศทางเงาร่มไม้ที่อยู่ข้างๆ ไปสองสามก้าว
อาจารย์ผังกำลังวุ่นอยู่กับท่าย่อเข่าของหวงเสี่ยวเหมา จึงไม่ทันได้สังเกตเห็น
จิ่นเกอเห็นแล้วก็รู้สึกใจกล้ามาขึ้นกว่าเดิม จึงขยับเพิ่มอีกหลายก้าว จากนั้นก็ฝึกย่อเข่าใต้ร่มเงาของต้นไม้
เซินเกอหันกลับไปมองพอดี ก็สังเกตเห็นว่าเหนือศีรษะของจิ่นเกอที่ถูกลงโทษพร้อมกับเขานั้นมีร่มเงาของต้นไม้ จึงเข้าใจได้ในทันที ฉวยโอกาสตอนที่อาจารย์ผังกำลังสอนฉังอานรีบขยับไปข้างๆ สองสามก้าว รอจังหวะตอนที่อาจารย์ผังกำลังพยักหน้าด้วยความพอใจอยู่นั้น เขาก็รีบขยับเพิ่มไปอีกสองสามก้าว และตอนที่อาจารย์ผังหมุนตัวกลับไปนั่งเก้าอี้ไท่ซือ เซินเกอก็ขยับเพิ่มอีกครั้ง
เช่นนี้ เขาก็สามารถฝึกย่อเข่าอยู่ใต้เงาร่มไม้เหมือนเช่นจิ่นเกอแล้ว
แสงแดดสาดส่องทะลุผ่านกิ่งไม้กระทบลงบนเสื้อของเซินเกอ เซินเกอหันไปมองจิ่นเกอด้วยสีหน้าได้ใจ ราวกับกำลังพูดในใจว่า ‘ท่านทำได้ ข้าก็ทำได้เช่นกัน!’
จิ่นเกอที่คอยสังเกตเซินเกออยู่แล้ว เมื่อเห็นว่าเซินเกอขยับไปอยู่ใต้ร่มเงาของต้นไม้ ก็หัวเราะเสียงเบา ถือว่าฉลาดไม่น้อย ไม่ไปยืนตากแดดด้วยความโง่เขลา
ทั้งสองสบตากันโดยบังเอิญ
คนหนึ่งแววตายั่วยุ ส่วนอีกคนแววตาไม่พอใจ…ขณะที่ทั้งสองกำลังหันหน้ากลับไปนั้น อาจารย์ผังก็พูดขึ้นด้วยเสียงที่ดังลั่นราวกับเสียงฟ้าผ่าก็ไม่ปาน “พวกเจ้าทั้งสองกำลังทำอะไร…” อาจารย์ผังเดินตรงมาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม จากนั้นก็ดึงทั้งสองไปยืนอยู่กลางลานสวนท่ามกลางแสงแดดที่แรงกล้าเหมือนเดิม “ย่อดีๆ! หากยังกล้าลุกขึ้นยืนอีก ข้าจะไปบอกท่านโหวประเดี๋ยวนี้ ใช้กฎของจวนสกุลสวีลงโทษพวกเจ้า!”
ทั้งสองไม่กล้าเถียงต่อ จึงทำได้เพียงฝึกย่อเข่ากลางลานสวนท่ามกลางแสงแดดดังเดิม
“น่าโมโหชะมัด!” จิ่นเกอจ้องมองไปยังเงาแผ่นหลังอาจารย์ผังที่เดินเป๋เล็กน้อย ใบหน้าแดงก่ำขึ้นมาทันที
“ฝึกย่อเข่าใต้ร่มเงาไม่ได้หรืออย่างไรกัน” เซินเกอขบกรามแน่น
ทั้งสองหันมาสบตากัน ต่างก็มองเห็นแววตาที่ไม่ยอมแพ้ของกันและกัน
ความโกรธแค้นศัตรูคนเดียวกันพลอยทำให้ทั้งสองลืมความขัดแย้งเมื่อครู่นี้ไปเสียสนิท
คนหนึ่งเปิดปากพูดขึ้นว่า “พี่หก เราจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้หรืออย่างไรกัน”
“จะยอมได้ที่ไหนกันเล่า!” จิ่นเกอตอบกลับ “ต้องคิดหาวิธีให้ได้ถึงจะถูก!”
“พี่หกมีวิธีอะไรหรือ” เมื่อเห็นว่าพี่ชายมีความคิดไปในทิศทางเดียวกับตน น้ำเสียงของเซินเกอก็ดีใจขึ้นมาทันทีอย่างเห็นได้ชัด “ท่านรีบคิดเร็วๆ หน่อย ธูปใกล้จะหมดก้านอยู่แล้ว!”
จิ่นเกอยังคงเอ้อระเหยลอยชายเหมือนเดิม ผ่านไปครู่ใหญ่จึงค่อยพูดขึ้นเสียงเบาว่า “ธูปหมดก้านถึงจะดี มิเช่นนั้นเราก็ขยับไปไหนไม่ได้ วิธีจะดีแค่ไหนก็ไร้ซึ่งประโยชน์!”
“ก็จริง” เซินเกอตอบกลับเสียงเบา จากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
*****
“สุริยันแห่งหยางดุจดั่งต้นกำเนิดของทุกสรรพสิ่ง จันทราแห่งหยินเป็นดั่งสัญลักษณ์ของแก่นแท้” จิ่นเกอกำลังท่อง ‘ตำราปฐมวัย’ ที่พึ่งเรียนไปเมื่อวานนี้เสร็จ
อาจารย์จ้าวพยักหน้าไม่หยุด “ไม่เลวทีเดียว ไม่เลวทีเดียว!” จากนั้นก็วางหนังสือในมือลง หยิบเอาตัวอักษรใหญ่ที่ได้เตรียมไว้ตั้งแต่แรกให้กับจิ่นเกอ “วันนี้เจ้าฝึกตัวเขียนอักษรเหล่านี้”
จิ่นเกอขานรับด้วยความนอบน้อม “ขอรับ” เขารับกระดาษเซวียนจื่อมาด้วยความดีอกดีใจ แววตาเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์ จากนั้นก็ดึงแขนเสื้อของอาจารย์จ้าวเบาๆ ด้วยความสนิทสนม “ท่านอาจารย์ ท่านกลัวอะไรเป็นที่สุดขอรับ”
อาจารย์จ้าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “ข้ากลัวคนไม่รักษาสัจจะเป็นที่สุด!”
“ข้าไม่ได้หมายถึงสิ่งนี้!” จิ่นเกอยิ้มกว้าง “ข้าหมายถึงท่านอาจารย์กลัวสิ่งใดต่างหาก อย่างเช่นเสือหรือว่าหมาป่า!”
“อ้อ!” อาจารย์จ้าวตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มว่า “ข้ากลัวคางคกที่สุด เพราะรู้สึกว่ามันน่าขยะแขยง”
“ที่แท้แล้วท่านอาจารย์กลัวคางคกที่สุดนี่เอง!” จิ่นเกอยิ้มร่าราวกับแสงแดดในฤดูร้อนก็ไม่ปาน “เช่นนั้นข้าขอตัวกลับไปฝึกคัดอักษรก่อนขอรับ!”
ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่าเหตุใดลูกศิษย์ถึงได้ถามคำถามเช่นนี้ แต่สำหรับความเฉลียวฉลาดและความน่ารักน่าชังของจิ่นเกอแล้ว อาจารย์จ้าวก็ได้แต่พยักหน้าด้วยความปลาบปลื้มใจ
วันถัดมา อาจารย์ผังที่กำลังยืนมือไพล่หลังอยู่บนขั้นบันได จู่ๆ พุ่มหญ้าที่อยู่ข้างๆ ก็มีคางคกกระโดดออกมาเจ็ดถึงแปดตัว บางตัวก็กระโดดไปอยู่ข้างๆ เท้าของอาจารย์ผัง
เรือนซิ่วมู่ล้อมรอบไปด้วยต้นไม้ใหญ่ เดือนหกเช่นนี้จะมีคางคกกระโดดออกมาก็ไม่แปลก
อาจารย์ผังมองดูอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เตะคางคกเหล่านั้นออกจากขั้นบันไดเบาๆ แล้วจึงหันไปมองจิ่นเกอ เซินเกอและคนอื่นๆ ด้วยสายตาที่เคร่งขรึม “เริ่มฝึกย่อเข่าประเดี๋ยวนี้!”
ทุกคนขานรับอย่างพร้อมเพรียงกัน จากนั้นก็พากันย่อตัวเริ่มฝึกย่อเข่า
สายตาของอาจารย์ผังยังคงจ้องมองไปยังจิ่นเกอและเซินเกอ
ไม่รู้เป็นเพราะอะไร เขาเอาแต่รู้สึกว่าท่าทีของเด็กสองคนนี้แปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก
“เป็นอะไรไป” อาจารย์ผังถามขึ้นด้วยน้ำเสียงที่สุขุม “ไม่สบายตรงไหนหรือ”
ตั้งแต่จิ่นเกอเจ็บขาเมื่อครั้งที่แล้ว อาจารย์ผังก็ใส่ใจกับเด็กสองคนนี้เป็นพิเศษ