ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 632 อารมณ์ (ปลาย)
กลางคืนขณะที่กำลังเช็ดหน้าอยู่นั้น ก็มีกลีบดอกเถาฮวาที่งดงามสองกลีบร่วงหล่นมาตามเส้นผมที่ดำขลับของสืออีเหนียง ทิ้งตัวลงสู่พื้นผิวหินกรวดที่มันเงาดุจกระจก
สวีลิ่งอี๋ที่กำลังนั่งอ่านหนังสือตรงหัวเตียงจ้องมองไปยังกลีบดอกไม้ที่ตกอยู่ข้างๆ กระโปรงผ้าทอสีเขียวเข้มของภรรยา อดไม่ได้ที่จะยิ้มพร้อมกับถามขึ้นว่า “วันนี้สนุกหรือไม่”
“สนุกเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงหันไปมองสวีลิ่งอี๋ “แสงแดดอ่อนๆ ส่องกระทบลงมาบนร่างกาย ดอกเถาฮวาและดอกลี่ฮวาในสวนเบ่งบานสะพรั่ง ดึงดูดฝูงผึ้งและผีเสื้อบินว่อนเต็มไปหมด จิ่นเกอและเซินเกอพาเหล่าสุนัขของพวกเขาไปวิ่งไล่จับผีเสื้อในสวนดอกเถาฮวา ส่วนพวกข้าก็นั่งฟังเจี้ยเกอเป่าขลุ่ย ซินเจี่ยเอ๋อร์กับสาวใช้น้อยไปเด็ดดอกไม้ป่ามาถักเป็นสร้อยข้อมือ…ข้าเองก็กำลังคิดอยู่เลยว่าตอนเทศกาลซานเย่ว์ซานจะจัดเหมือนวันนี้ดีหรือไม่ จัดงานเลี้ยงอยู่ในสวนดอกเถาฮวา แต่พอลองคิดดูดีๆ ในสวนมีแมลงเยอะแยะไปหมด หากใครถูกแมลงกัดเข้าคงกลายเป็นเรื่องใหญ่อย่างแน่นอน”
“ไปที่เรือนฉยงหลิงก็ได้!” สวีลิ่งอี๋วางหนังสือในมือลง “ที่นั่นเป็นพื้นที่สูง ลมพัดโชยรอบทิศ น่าสนใจไม่น้อย”
“ข้าเองก็คิดเหมือนกันเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงม้วนผมที่ยาวสลวยของนางด้วยทรงที่เรียบง่าย “กลัวก็แต่หวงฮูหยินและเจิ้งไท่จวินจะเหนื่อยเกินไปน่ะสิเจ้าคะ พวกนางก็ถือว่าอายุไม่น้อยแล้ว” พูดจบก็เดินมานั่งลงที่ขอบเตียง “ข้าว่าควรจะจัดที่โถงบุปผาเหมือนปีที่แล้วดีกว่ากระมัง! หากว่าฟังซื่อหรือคนอื่นๆ อยากจะไปเดินดูรอบๆ ก็ให้สะใภ้อวี้เกอเป็นคนพาไปก็พอ”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็ได้พูดถึงเรื่องการเรียนของจิ่นเกอขึ้นมา “ได้ยินอาจารย์จ้าวบอกว่าเขารู้จักตัวอักษรใน ‘ตำราปฐมวัย’ กว่าครึ่งเล่ม แต่กลับเขียนได้แค่ตัวอักษรง่ายๆ เพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น…” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความกังวลใจ
“ตอนแรกบอกเขาให้จำตัวอักษรเท่านั้น ไม่ได้ให้เขาฝึกเขียนเสียหน่อย” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “หนึ่งคือเพราะเขายังเด็กเกินไป ยังไม่มีแรงจับพู่กัน จึงกลัวว่าเขาจะฝึกเขียนแบบผิดๆ จนกลายเป็นความเคยชินที่ไม่ดี สองคือเขาไม่สามารถสงบจิตใจลงได้ เขียนได้เพียงไม่กี่ตัวก็เริ่มเปลี่ยนไปวาดอย่างอื่นแทน ข้ากลัวว่าถ้าหากไปบังคับเขาเขียนหนังสือ ถึงเวลาเขาก็จะรู้สึกเบื่อหน่าย ไม่ยินดีที่จะฝึกฝนด้วยตนเอง ก็เลยตามใจเขาก่อน ตอนนี้เขาได้เริ่มเรียนกับอาจารย์ที่ให้ความรู้ในระดับสูง ตัวอักษรที่เคยรู้จักมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการเขียนตัวอักษรหรืออ่านหนังสือตำรา ก็จะส่งผลให้เขาสามารถเรียนรู้ได้เร็วกว่าเด็กคนอื่นๆ เมื่อเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เขาก็จะเริ่มรู้สึกสนุกขึ้นมาเอง”
เดี๋ยวก็สนใจโน่น เดี๋ยวก็สนใจนั่น ไม่มีความตั้งใจ สวีลิ่งอี๋รู้สึกว่าสืออีเหนียงนั้นตามใจจิ่นเกอจนเกินไป
ตอนเด็กเขาเองก็ไม่ค่อยชอบเขียนหนังสือ แต่ถูกบิดาใช้ไม้ตีที่ฝ่ามือไปหลายครั้ง จนมือของเขาบวมเป่งไปหมด แต่เขาก็ไม่กล้าร้องไห้สักแอะ นั่งคัดอักษรอย่างเชื่อฟัง หลังจากที่เขาเติบโตแล้ว ก็ไม่เคยพูดว่าไม่อยากเขียนหรือไม่อยากเรียนหนังสืออีก
เมื่อนึกถึงตรงนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กน้อย แอบรู้สึกเป็นห่วงการเรียนของจิ่นเกอขึ้นมา
เวลาผ่านไปเก้าวัน การเรียนของจิ่นเกอก็เริ่มมีกฎเกณฑ์มากขึ้น เขาตื่นนอนตอนยามอิ๋นสามเค่อของทุกๆ วัน และเขามักจะทานนมแพะกับหมั่นโถวอย่างละลูกหรือเสี่ยวหลงเปาสองลูกอยู่เป็นประจำ จากนั้นก็ทานผลไม้จำพวกผิงกั่วรองท้องราวครึ่งลูก เมื่อใกล้จะถึงต้นยามเหม่าก็เริ่มเตรียมตัวไปที่เรือนซิ่วมู่ เมื่อถึงยามเหม่าก็เริ่มฝึกย่อเข่า ยามเหม่าสามเค่อตรงก็กลับจวนไปชำระตัวเปลี่ยนชุดใหม่ จากนั้นก็ไปทานอาหารเช้าด้วยกัน แล้วจึงค่อยไปคารวะไท่ฮูหยิน ต้นยามเฉินราวสามเค่อจึงค่อยไปที่เรือนซวงฝู
นอกจากจิ่นเกอ อาจารย์จ้าวก็ยังสอนสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยด้วย อายุต่างกัน เนื้อหาการสอนและการวางแผนจัดการก็ไม่เหมือนกัน ช่วงเช้าเขาสอนเกี่ยวกับ ‘ตำราปฐมวัย’ ให้จิ่นเกอหนึ่งชั่วยาม จากนั้นก็สอน ‘คัมภีร์วิจารณ์พจน์’ ให้กับสวีซื่อเจี้ยอีกหนึ่งชั่วยาม ในขณะที่กำลังสอน ‘ตำราปฐมวัย’ ให้กับจิ่นเกออยู่นั้นก็ให้สวีซื่อเจี้ยฝึกเขียนหนังสือ และตอนที่กำลังสอน ‘คัมภีร์วิจารณ์พจน์’ ให้กับสวีซื่อเจี้ยอยู่นั้น ก็ให้จิ่นเกอท่องตำรา ฝึกคัดตัวอักษรหรือนั่งแต่งบทความอยู่ข้างๆ
ตอนเที่ยงสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยก็แยกย้ายกลับไปทานข้าวที่เรือนของตัวเอง บางครั้งก็อาจจะอยู่ทานข้าวด้วยกัน จิ่นเกอแยกตัวกลับไปทานอาหารเที่ยงกับสืออีเหนียงที่เรือนชั้นใน จากนั้นก็นอนพักช่วงบ่าย เมื่อเวลาพักผ่อนหมดลง จึงค่อยให้สาวใช้พาไปที่เรือนซวงฝู
ช่วงบ่าย เป็นคาบเรียนของสวีซื่อจุนทั้งหมด จิ่นเกอฝึกคัดตัวอักษร ส่วนสวีซื่อเจี้ยบางทีก็ฝึกเขียนหนังสือหรือบางทีก็ทำการบ้านที่อาจารย์จ้าวสั่งไว้
เป็นเหมือนที่สืออีเหนียงพูดไว้ไม่มีผิด สำหรับตัวอักษรที่จิ่นเกอรู้จักแล้ว เขาใช้เวลาเพียงไม่นานก็เริ่มเขียนเป็น ถึงแม้ว่าจะเขียนได้ไม่ดีเท่าไรนัก แต่สำหรับความเร็วในการจดจำและเรียนรู้ตัวอักษรของจิ่นเกอนั้นยังคงเป็นที่น่าแปลกใจของอาจารย์จ้าวเป็นอย่างมาก
อาจารย์จ้าวสอนสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยมาหลายปี ก็เลยเคยชินกับการหาจุดเด่นในตัวของเด็ก แม้แต่เด็กที่ไม่มีข้อดีก็ยังสามารถค้นหาจนเจอ นับประสาอะไรกับจิ่นเกอที่ฉลาดหลักแหลม ทั้งร่าเริงและชอบพูดคุย ย่อมกล่าวชมไม่ขาดปากอย่างแน่นอน
เมื่อถูกอาจารย์จ้าวชมเชย จิ่นเกอที่นั่งไม่ค่อยติดในตอนแรกก็รู้สึกภูมิใจขึ้นมาทันที บวกกับความรู้สึกแปลกใหม่ตอนพึ่งเริ่มเรียนก็หายไปหมดแล้ว ตอนเรียนคัดอักษรจึงไม่ค่อยตั้งใจเท่าไรนัก เวลาที่ฝึกคัดอยู่นั้นก็มักจะชวนพี่ชายที่กำลังเรียนกับอาจารย์จ้าวคุยอยู่บ่อยครั้ง ส่งผลกระทบต่อการสอนของอาจารย์จ้าวเป็นอย่างมาก อาจารย์จ้าวครุ่นคิดอยู่นาน สุดท้ายจึงตัดสินใจฝากมาบอกสืออีเหนียงว่าให้จิ่นเกอฝึกคัดอักษรที่เรือนในช่วงบ่ายของทุกวันแทน
หลังจากจัดงานเลี้ยงเทศกาลซานเย่ว์ซานเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็เหลือแค่วันที่แปดเดือนสี่ซึ่งเป็นวันพระใหญ่ วันที่ยี่สิบหกเดือนสี่วันเกิดของไท่ฮูหยินและวันที่ห้าเดือนห้าเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างที่ค่อนข้างสำคัญ เมื่อสืออีเหนียงว่างจากงาน และอาจารย์จ้าวก็เอ่ยมาเช่นนี้ นางจึงรีบตอบรับทันที จากนั้นก็เริ่มเฝ้าจิ่นเกอฝึกคัดอักษรในช่วงบ่ายของทุกวัน
เมื่อเห็นจิ่นเกอไม่สามารถสงบจิตใจลงได้ สืออีเหนียงก็ให้สัญญากับบุตรชายว่า “หากเจ้าสามารถตั้งใจฝึกได้สองเค่อ ก็จะปล่อยให้เจ้าไปเล่นหนึ่งเค่อ”
ช่วงเวลานี้คือช่วงเวลาที่ดอกไม้งามสะพรั่งต้อนรับฤดูกาลแห่งฤดูใบไม้ผลิ ปีที่ผ่านมาเขาเองก็ได้ไปชมนกชมไม้ที่สวนดอกไม้หลังจวนด้วย จิตใจของเขาไม่รู้ว่าล่องลอยไปถึงไหนต่อไหนแล้ว เมื่อได้ยินก็ยิ้มจนคิ้วโค้งมน รีบตอบกลับทันทีว่า “ขอรับ” จากนั้นก็ก้มหน้าลง ตั้งหน้าตั้งตาฝึกคัดอักษรต่อ เวลาผ่านไปราวหนึ่งเดือน ถือว่าก้าวหน้าไม่น้อย
สวีลิ่งอี๋เห็นแล้วก็ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก จากนั้นเขาก็สนใจแต่เรื่องในราชสำนักเท่านั้น
หลายวันก่อน มีโจรสลัดญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งหนีไปยังเขตโจวซาน หลายหมู่บ้านถูกไฟเผา คนถูกสังหารและถูกปล้นสะดม ฮ่องเต้ทรงพิโรธเป็นอย่างมาก จิ้งไห่โหวถูกซักถามถึงความรับผิดชอบ ผู้บัญชาการกองทัพทหารมณฑลฝูเจี้ยนและเหล่าพลทหาร ผู้บัญชาการกองทัพทหารมณฑลเจ้อเจียงและเหล่าบรรดาพลทหารรวมไปถึงเหล่าขุนนางเล็กใหญ่กว่าสามสิบคนถูกปลดออกจากตำแหน่ง ผู้บัญชาการทหารมณฑลฝูเจี้ยนและผู้บัญชาการกองทัพทหารมณฑลเจ้อเจียงที่ถูกปลดประจำการถูกส่งตัวกลับมาสอบสวนที่เมืองเยี่ยนจิง
เมื่อมีคนพูดถึงคำสั่งปิดทะเล ก็จะมีคนพูดถึงเรื่องที่สวีลิ่งอี๋ปราบปรามแคว้นซีเป่ยขึ้นมา
ในตอนแรกหลังจากที่เขาได้ยินแล้วก็เพียงแค่ยิ้มเท่านั้น
หลายวันมานี้ ฝูเจี้ยนไม่ค่อยสงบเท่าไรนัก ทุกครั้งที่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้น ก็มักจะมีคนพูดเช่นนี้อยู่เสมอ แต่นึกไม่ถึงเลยว่างานฉลองวันเกิดของไท่ฮูหยินครั้งนี้ เฉินเก๋อเหล่าและโต้วเก๋อเหล่าจะมาร่วมอวยพรวันเกิดให้กับไท่ฮูหยินตามหลังกันมาติดๆ เข้ามาถามความคิดเห็นจากเขาเป็นการส่วนตัวพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ว่าเขายินยอมจะไปปราบปรามที่ฝูเจี้ยนหรือไม่ เขาอยู่บ้านเฉยๆ ก็ว่างจนจิตใจไม่สงบ เมื่อได้ยินก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา แต่เมื่อพิจารณาและไตร่ตรองอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้ว ก็ละทิ้งความคิดนี้ไป ตัดสินใจปฏิเสธในไปที่สุด แต่เขากลับรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างมาก เฉินเก๋อเหล่าเป็นสมุหราชเลขาธิการ ส่วนโต้วเก๋อเหล่าหลายปีมานี้ก็สูงส่งดุจสายรุ้ง นำหน้าเหลียงเก๋อเหล่าและเหล่าบรรดาขุนนางที่อายุมากกว่าเขาเสียด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติของเหล่าบรรดาเก๋อเหล่าผู้อาวุโสหรือเหล่าขุนนางที่อยู่ภายใต้อานัสของเฉินเก๋อเหล่า หากว่าสองคนนี้ร่วมมือกันผลักดันเขาไปที่ฝูเจี้ยน…ผลที่ตามมานั้นก็จะร้ายแรงเป็นอย่างมาก
สวีลิ่งอี๋จึงเจียดหาเวลาว่างไปหาเหลียงเก๋อเหล่า จากนั้นก็ได้ไปคุยกับหวังลี่เป็นการส่วนตัวอยู่พักใหญ่ แล้วจึงค่อยกลับไปรอฟังข่าวที่จวน
หลังจากเทศกาลวันไหว้บ๊ะจ่างผ่านไปแล้ว ผู้บัญชาการกองทัพทหารฝูเจี้ยนและผู้บัญชาการกองทัพเรือชุดใหม่ก็ได้เข้าดำรงตำแหน่ง เมื่อเขากลับถึงจวนก็ได้พูดกับสืออีเหนียงว่า “…ปล่อยไว้เช่นนี้ไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรก็จะต้องคิดหาวิธีผลักดันแม่ทัพสักสองสามคนที่มีความสามารถในการสู้รบทางน้ำให้กับกรมกลาโหมให้ได้”
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ใต้เท้าหม่า หม่าจั่วเหวินถูกย้ายไปที่ฝูเจี้ยนมิใช่หรือ ให้เขาช่วยท่านสืบถามดีหรือไม่”
“หากมีคนเลือกเขาจริงๆ ก็คงจะแนะนำเขาให้กับกรมกลาโหมไปตั้งนานแล้ว เหตุใดยังต้องลำบากเช่นนี้ด้วยเล่า!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มเจื่อน เขาเองไม่สะดวกจะเดินทางออกจากเมืองหลวง จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นกังวลใจขึ้นมา เมื่อเห็นสีหน้าและแววตาที่สงบของสืออีเหนียง เขาจึงไม่อยากให้นางรู้สึกเป็นกังวลใจไปด้วย จึงยิ้มพร้อมกับเปลี่ยนเรื่องคุย “ได้ยินมาว่าพี่สะใภ้สามป่วย เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
วันนี้สืออีเหนียงพาเซี่ยงซื่อกับฮูหยินห้าไปที่ตรอกสือจีด้วยกัน
“เพียงแค่แน่นหน้าอกหายใจไม่ค่อยสะดวกเท่านั้นเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงตอบกลับด้วยสีหน้าผ่อนคลาย “ข้าเชิญหมอหลิวมาดูอาการเรียบร้อยแล้ว บอกว่าทานยาไม่กี่ชุดก็หาย ข้าเห็นว่าพี่สะใภ้สามร่างกายผ่ายผอม สีหน้าก็ดูไม่ค่อยดีเท่าไรนัก เลยไม่ได้อยู่นาน ดื่มชาหมดถ้วยก็ขอตัวกลับ” พูดจบนางก็ยิ้มขึ้นมา “ยังดีที่ข้าไปเยี่ยมไข้ มิเช่นนั้นก็คงจะไม่รู้ว่าจินซื่อตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว! เพียงแต่ว่าลำบากฟังซื่อแล้ว ไหนจะต้องดูแลพี่สะใภ้สามที่นอนป่วยอยู่ และยังต้องดูแลจินซื่อที่กำลังตั้งครรภ์ ได้ยินมาว่าตอนที่แม่ยายของเจี่ยนเกอได้เจอกับฟังซื่อ ก็พากันชื่นชมใหญ่เลยว่าฟังซื่อนั้นจิตใจดีมีคุณธรรม!”
สวีลิ่งอี๋พลันนึกถึงเรื่องที่ไท่จื่อทรงตั้งใจป่าวประกาศเรื่องที่เรียกจิ่นเกอเข้าวังไปเพื่อให้ฟังเจี่ยเอ๋อร์อุ้ม ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ทางนั้นไม่ได้ขอเสื้อของจิ่นเกอกับเจ้าแล้วหรือ” จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “หากครั้งนี้ไท่จื่อเฟยยังคงให้กำเนิดธิดาเหมือนเดิม จิ่นเกอของเราก็คงจะได้พักผ่อนจริงๆ เสียที!”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม
เวลานั้นเองก็มีสาวใช้น้อยเข้ามาเรียนว่า “ฮูหยิน พ่อบ้านไป๋มาแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงจึงให้สาวใช้น้อยเชิญพ่อบ้านไป๋เข้ามา
สวีลิ่งอี๋ถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “เจ้าหาพ่อบ้านไป๋ทำไมกัน”
“งานแต่งของจู๋เซียงกำหนดเป็นเดือนเก้า ซิ่วเหลียนเองก็จะต้องแต่งงานออกเรือนด้วยเช่นกัน ในเรือนของข้าจึงต้องเพิ่มบ่าวรับใช้ใหม่ เลยอยากให้พ่อบ้านไป๋ช่วยคัดเลือกบ่าวรับใช้สักจำนวนหนึ่ง มาให้หู่พั่วสอนงานเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงเลือกมาสักพักใหญ่ แต่ก็ไม่มีคนไหนที่พอจะใช้ได้เหมือนคนของป้าซ่งเลย จึงเขียนจดหมายส่งกลับไปที่อวี๋หัง ปรึกษาหารือเรื่องนี้กับอี๋เหนียงห้า สุดท้ายก็ได้ตอบรับการสู่ขอครั้งนี้ เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้ จู๋เซียงก็จะต้องแต่งไปที่ซานซี
ขณะที่กำลังพูดคุยกันอยู่นั้น พ่อบ้านไป๋ก็เข้ามา เมื่อรู้ว่าสืออีเหนียงต้องการสาวใช้ ก็รีบขานรับด้วยความนอบน้อม สืออีเหนียงกำชับกับหู่พั่วว่าพอถึงตอนนั้นก็ให้นางติดตามพ่อบ้านไป๋ไปเลือกสาวใช้ด้วย
จิ่นเกอเม้มปากแน่นพร้อมกับเดินเข้ามา
“ท่านพ่อ!” เมื่อเห็นว่าสวีลิ่งอี๋อยู่ที่เรือนด้วยก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย หลังจากที่เขาคารวะสวีลิ่งอี๋เสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ปรี่เข้าไปหาสืออีเหนียงทันที “ท่านแม่ ท่านแม่ ข้าอยากได้อาจารย์สอนยิงธนูขอรับ!”
“อาจารย์สอนยิงธนูหรือ” สืออีเหนียงไม่ค่อยเข้าใจ “อาจารย์ผังบอกแล้วไม่ใช่หรือ ว่ารอให้พวกเจ้าฝึกเดินเสาดอกเหมยคล่องก่อนแล้วค่อยสอนวิชามวยให้กับพวกเจ้า หลังจากที่ฝึกวิชามวยคล่องแล้วจึงค่อยเริ่มสอนพวกเจ้าควบม้าและยิงธนู เหตุใดถึงต้องไปหาอาจารย์สอนยิงธนูมาต่างหากด้วยเล่า”
“ท่านแม่” น้ำเสียงของจิ่นเกอฟังดูไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก “ท่านตาของน้องเจ็ดไม่เพียงแต่มอบธนูให้กับน้องเจ็ดเท่านั้น แต่ยังให้คนติดตามมาปรนนิบัติรับใช้น้องเจ็ดอีกด้วย ฝีมือวิชามวยของคนผู้นั้นเก่งกาจเป็นอย่างมาก แม่นยำเหมือนจับวางอย่างไรอย่างนั้น ตอนข้าไปเรียนที่เรือนซวงฝู น้องเจ็ดก็ไปเรียนยิงธนูกับคนผู้นั้น เมื่อครู่นี้น้องหกก็ยิงโดนเป้าแจกันในเรือนของข้าด้วยธนูเพียงดอกเดียวเท่านั้น ท่านแม่ ท่านช่วยหาอาจารย์มาสอนข้ายิงธนูสักคนได้หรือไม่ขอรับ! หลังเลิกเรียนข้าจะไปเรียนฝึกยิงธนูกับอาจารย์ทุกวัน จะต้องยิงเก่งกว่าเซินเกออย่างแน่นอน!”
สืออีเหนียงรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
หลายวันก่อนฮูหยินห้ายังบ่นให้ไท่ฮูหยินฟังอยู่เลยว่าเซินเกออายุยังน้อย แต่กลับต้องตื่นมาฝึกศิลปะการต่อสู้ตั้งแต่เช้ามืดทุกวัน ถือว่าเหนื่อยเกินไป แต่ตอนกลับไปที่ตรอกหงเติงวันงานเทศกาลไหว้บ๊ะจ่างยังให้ผู้ที่มีวรยุทธ์ติดตามเซินเกอกลับไปด้วย อีกทั้งยังให้สอนเซินเกอยิงธนูเป็นการส่วนตัวอีกด้วย…
นางจึงหันไปมองสวีลิ่งอี๋
สีหน้าของสวีลิ่งอี๋เต็มไปด้วยงุนงง เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจในเรื่องนี้เลย
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ถามขึ้นด้วยรอยยิ้มว่า “เซินเกอยิงลูกธนูมาที่เป้าแจกันของเจ้าแค่นั้นหรือ ลูกทะลุเป้าแจกันของเจ้าหรือไม่”
จิ่นเกอพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ผิดหวัง “ยิงถึงแค่เป้าแจกันเท่านั้น แต่เป้าแจกันไม่ทะลุขอรับ!”
“เช่นนั้นก็ถูกต้องแล้ว!” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “เจ้าเคยเห็นการสร้างบ้านหรือไม่ อันดับแรกจะต้องทำฐานโครงสร้างให้แข็งแรงและมั่นคงก่อน จากนั้นจึงค่อยมาก่ออิฐ การยิงธนูก็เช่นกัน หากเราไม่ฝึกแรงให้มั่นคงก่อน ลูกธนูที่ยิงออกไปก็จะไร้ซึ่งพลัง ไม่สามารถยิงทะลุเป้าแจกันได้…”
ยังไม่ทันที่นางจะพูดจบ จิ่นเกอก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เขารีบวิ่งพรวดออกไปนอกเรือนทันที “ข้าจะไปพูดกับน้องเจ็ดก่อน…”
“เด็กคนนี้นี่ นิสัยไม่ยอมคนจนเกินไป” สืออีเหนียงจ้องมองไปยังแผ่นหลังของบุตรชาย อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าอย่างเอือมระอา “ไม่ว่าเรื่องอันใดก็จะเอาชนะให้ได้”
“นิสัยไม่ยอมคนก็มีข้อดีในตัวของมันเอง” สวีลิ่งอี๋ไม่คิดเช่นนั้น “มิเช่นนั้น หากว่าเป็นคนที่อยู่ไปวันๆ ปล่อยวางเสียทุกเรื่อง ไม่พยายามพัฒนาก้าวหน้า ตามน้ำเสียทุกสถานการณ์ แล้วชีวิตจะมีอะไรให้น่าตื่นเต้นกันเล่า!”