ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 63 แต่งงาน (กลาง)
นายหญิงใหญ่รีบลงจากรถม้าอย่างรีบร้อน ป้าหังที่มายืนรอรับอยู่หน้าประตูฉุยฮวาก็เห็นสีหน้าของนายหญิงใหญ่ซีดเผือด ดวงตาบวมไปหมด เมื่อรู้ว่าอาการของหยวนเหนียงไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก นางจึงเดินตามหลังนายหญิงใหญ่พลางพูดขึ้นว่า “มีป้าบ่าวรับใช้จากจวนจงฉินปั๋วมาสองคน เห็นว่ามาเชิญชวนคุณหนูห้า คุณหนูสิบและคุณหนูสิบเอ็ดไปชื่นชมฤดูใบไม้ผลิที่จวนจงฉินปั๋วในวันข้างหน้าเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่จู่ๆ ก็ชะงักฝีเท้าลงในทันที จนป้าหังเกือบจะชนแผ่นหลัง
“จวนจงฉินปั๋วสกุลกาน?” นายหญิงใหญ่สายตาดุดันขึ้นมาทันที “ชื่นชมฤดูใบไม้ผลิ?”
ป้าหังรีบพยักหน้าตอบ “คุณหนูเจ็ดสกุลกานเป็นคนส่งคนมา คำเชิญดูจริงใจมาก คุณนายใหญ่เป็นคนรับเทียบเชิญเจ้าค่ะ”
“แล้วคุณนายใหญ่เล่า” นายหญิงใหญ่ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้มงวดจริงจัง
“อยู่ที่ห้องโถงหลักเจ้าค่ะ” ป้าถังยิ้มพร้อมกับรีบตอบกลับอย่างกระตือรือร้น “คุณนายใหญ่ได้ลองลงรายการสินเดิมของคุณหนูทุกคนแล้ว และกำลังจะเอามาปรึกษาท่านว่าควรจะซื้ออะไรบ้างเจ้าค่ะ!”
นายหญิงใหญ่พยักหน้าเล็กน้อย แล้วจึงรีบเดินเข้าเรือนไป
คุณนายใหญ่รีบเดินออกมารับ “ท่านแม่ คุณหนูใหญ่นาง…”
นายหญิงใหญ่จู่ๆ ก็น้ำตาเอ่อล้นออกมาจากดวงตา “ตื่นตูมไปทั้งนั้น!” นายหญิงใหญ่ไม่อยากที่จะเอ่ยถึงเรื่องนี้
“เช่นนั้นก็ดีแล้วเจ้าค่ะ” คุณนายใหญ่แสดงออกด้วยสีหน้าที่ปีติและโล่งใจ “สินเดิมของข้ายังมีห่อสิ่วโอว [1] ร้อยปีอยู่สองชิ้น ท่านว่าควรเอาไปให้คุณหนูใหญ่บำรุงร่างกายเสียหน่อยดีหรือไม่”
นายหญิงใหญ่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบกลับไปว่า “ก็ดี ของดีเช่นนี้ แต่ข้ากลับนึกไม่ถึงเลย”
คุณนายใหญ่จึงได้สั่งให้ป้าหังไปนำสมุนไพรออกมา ส่วนตัวเองก็ช่วยประคองนายหญิงใหญ่ไปที่เตียงเตา จากนั้นก็หันไปรับถ้วยน้ำชาจากสาวใช้แล้วยกให้กับนายหญิงใหญ่
นายหญิงใหญ่จิบชาไปคำหนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า “นายท่านใหญ่?”
คุณนายใหญ่จึงยิ้มขึ้นพร้อมกับตอบกลับไปว่า “ถูกสหายร่วมคณะดึงตัวไปดื่มสุราด้วยกันเจ้าค่ะ ยังได้กำชับกับสาวใช้ว่ากลางดึกให้เปิดประตูไว้ให้ท่านด้วย”
นายหญิงใหญ่ได้ยินแล้วสีหน้าก็ฉุนเฉียวขึ้นมาทันที จนถ้วยชาในมือสั่นเทาไปหมด
คุณนายใหญ่จึงเงียบลงในทันที ไม่กล้าพูดอะไรออกมาทั้งสิ้น
ผ่านไปครู่ใหญ่ สีหน้าของนายหญิงใหญ่จึงค่อยๆ ผ่อนคลายลง
“ได้ยินมาว่าคุณหนูเจ็ดสกุลกานของจวนจงฉินปั๋วส่งเทียบเชิญมาเชิญอู่เหนียงและคนอื่นๆ ไปชื่นชมฤดูใบไม้ผลิด้วยกันอย่างนั้นหรือ”
คุณนายใหญ่รีบตอบกลับไปว่า “เจ้าค่ะ” นางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “กำลังจะมาขอความเห็นจากท่านแม่พอดีเจ้าค่ะ”
“ให้พวกนางไป” นายหญิงใหญ่สีหน้าเรียบเฉย จากนั้นจู่ๆ ก็เปลี่ยนไปคุยเรื่องอื่นแทน “สินเดิมฝ่ายหญิงที่ข้าให้เจ้าไปซื้อ เป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
คุณนายใหญ่จึงได้นำกระดาษใบสั่งที่ค่อนข้างหนาออกมาจากแขนเสื้อ “นี่เป็นรายการซื้อที่ข้าร่างขึ้นยามว่าง ท่านเห็นควรว่าอย่างไรบ้าง”
นายหญิงใหญ่ตรวจดูอย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่ทว่าดูไปเพียงไม่กี่บรรทัด จู่ๆ ก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “นายหญิงใหญ่ นายท่านใหญ่ส่งคนมาถามว่าท่านกลับมาแล้วหรือยัง หากว่าท่านกลับมาแล้ว นายท่านอยากจะไถ่ถามเรื่องอาการของคุณหนูใหญ่ว่าเป็นอย่างไรบ้างแล้วเจ้าค่ะ”
เมื่อนายหญิงใหญ่ได้ยินแล้ว สีหน้าก็เบาบางลง พร้อมตอบกลับไปว่า “กลับไปเรียนนายท่านใหญ่ว่าไม่เป็นไร”
สาวใช้ขานรับแล้วจึงถอยออกไป
นายหญิงใหญ่ส่งใบรายการสั่งซื้อคืนให้กับคุณนายใหญ่ “เจ้ารอบคอบมาก ซื้อตามรายการที่เจ้าเขียนมานั่นแหละ หากเงินไม่พอก็ไปเบิกเพิ่มได้เลย เรื่องนี้รีบจัดการให้เสร็จสรรพภายในวันสองวันนี้ก็แล้วกัน”
สองวันก่อนยังบอกว่าไม่รีบ ค่อยๆ สรรหา สำคัญคือห้ามเกินงบ แล้วจู่ๆ วันนี้ทำไมถึง…
เมื่อนึกถึงสีหน้าของนายหญิงใหญ่ตอนที่พึ่งกลับมานั้น ก็อดฉุกคิดขึ้นมาไม่ได้
คุณนายใหญ่จึงได้ยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “เจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่กำชับกับคุณนายใหญ่ว่า “ข้าจะให้ป้าหังไปช่วยข้าทำธุระหน่อย”
คุณนายใหญ่ขานรับขึ้นว่า “เจ้าค่ะ” ไม่นานป้าหังก็ได้นำสมุนไพรห่อสิ่วโอวมา คุณนายใหญ่จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านมีเรื่องอันใดจะสั่ง ก็สั่งนางได้เลยเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่รับสมุนไพรห่อสิ่วโอวมาแล้วก็ได้มอบให้กับป้าสวี่ “นำไปส่งให้กับคุณหนูใหญ่”
ป้าสวี่ขานรับแล้วจึงได้รีบนำไปส่งทันที
จากนั้นนายหญิงใหญ่ก็ได้ให้คุณนายใหญ่ไปนำหนังสืออนุปฏิทินมา นางนั่งดูอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ได้หันไปสั่งกับป้าหังว่า “เจ้าไปหาใต้เท้าหวง จงหวงเหรินของจวนกรมอาญาสักเที่ยว เรียนว่าวันที่จะส่งของกำนัลคือ…” นางพูดขึ้นพลางพลิกหนังสืออนุปฏิทินไปยังหน้าวันเก้าค่ำเดือนสาม “…วันเก้าค่ำเดือนสามก็แล้วกัน”
คุณนายใหญ่และป้าหังต่างก็อึ้งไปชั่วขณะ
กระชั้นชิดเกินไปหรือไม่ ห่างจากวันสอบฮุ่ยซื่อ [2] ไม่ถึงเก้าวันเท่านั้น
เมื่อครู่นี้ที่คุณนายใหญ่เกิดความสงสัย มาตอนนี้ ก็คงจะเป็นเรื่องจริงแล้วกระมัง
นางไม่กล้าถามอะไรเซ้าซี้มากมาย จึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “งั้นข้าก็จะต้องรีบไปจัดการโดยเร็วถึงจะถูก”
เมื่อถึงวันส่งของกำนัล ทางฝ่ายหญิงจะต้องเชิญบ้านฝ่ายชายมาทานอาหารหนึ่งมื้อ
ป้าหังได้กล่าวคำยินดีให้กับนายหญิงใหญ่ แล้วจึงจากไปด้วยรอยยิ้มที่อิ่มเอมใจ
นายหญิงใหญ่ไม่ได้มีสีหน้าที่ดีใจแต่อย่างใด กลับปรากฏสีหน้าที่เหนื่อยล้าแทน “เราพึ่งจะย้ายเข้ามาวันแรก ทุกอย่างล้วนเป็นของใช้ใหม่ทั้งสิ้น ถึงเวลานั้นก็แขวนโคมแดงหน้าประตูใหญ่สักหนึ่งคู่ก็พอแล้ว ส่วนเรื่องเกี่ยวกับอาหารที่จะรับรองแขก ที่เมืองเยี่ยนจิงล้วนมีขายทั้งสิ้น เอาแค่ของที่ดีๆ กลับมาให้แม่เฒ่าหน้าเตาทำก็พอแล้ว ใช่ว่าจะทำไม่เป็นเสียหน่อย”
คุณนายใหญ่จึงยิ้มขึ้นพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ “ข้าจะไปจัดการประเดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่ตอบกลับ “อืม” แล้วจึงได้พูดต่ออีกว่า “พรุ่งนี้เช้าเจ้าไปที่เรือนของหวังฮูหยินเสียหน่อย เชิญนางมาเป็นแม่สื่อให้กับบ้านเรา! คำพูดคำจาจริงใจและนอบน้อมสักหน่อย เชิญนางมาได้ก็พอ”
เมื่อคุณนายใหญ่ขานรับเรียบร้อยแล้ว นายหญิงใหญ่ก็ได้เรียกซานหู เฝ่ยชุ่ยและคนอื่นๆ เข้ามาช่วยนางผลัดผ้า คุณนายใหญ่จึงได้ถอยออกจากห้องไป
เมื่อถึงยามค่ำคืน ทุกคนจึงค่อยรู้ว่านายหญิงใหญ่จะให้อู่เหนียงหมั้นหมายกับคุณชายเฉียน
สีหน้าของอู่เหนียงซีดเผือด
จื่อเวยและจื่อย่วนที่ยืนอยู่ข้างๆ ไม่กล้าจะเอ่ยปากพูดอะไรออกมาทั้งสิ้น
เมื่อสืออีเหนียงรู้เรื่องแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะแอบถอนลมหายใจเบาๆ
ดูแล้ว คุณชายหวังของจวนเม่ากั๋วกงไม่ได้เรื่องมากหรอกหรือ
ตงชิงกำลังช่วยสืออีเหนียงล้างเท้า นางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ได้ยินมาว่าคุณนายใหญ่ซื้อของที่จะใช้เป็นสินเดิมกลับมาแล้ว กองเต็มไปครึ่งค่อนเรือนเลยเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ถึงแม้ว่าจะกองเต็มทั้งเรือน แต่ก็สู้ตั๋วเงินใบบางๆ ไม่ได้”
“ก็จริง” ตงชิงยิ้มตอบ พลางหยิบผ้าแห้งมาเช็ดเท้าให้กับสืออีเหนียง แล้วจึงสวมถุงเท้าบางๆ ให้กับนาง “ท่านคิดว่าหากคุณชายเฉียนผ่านการคัดเลือกการเป็นขุนนางเมืองหลวงได้แล้ว งั้นทางบ้านเราก็จะต้องเรียกเขาว่าท่านเขยราชบัณฑิตจิ้นซื่อแล้วสินะเจ้าคะ”
การสอบเซียงซื่อจะจัดขึ้นในทุกๆ เดือนสิบของทุกๆ ปี การสอบฮุ่ยซื่อจะจัดขึ้นในเดือนสามของปีถัดไป ส่วนการสอบเตี้ยนซื่อจะถูกจัดขึ้นในวันหนึ่งค่ำของเดือนสี่
พอดีกับที่หู่พั่วหอบเอาเสื้อผ้าเข้ามา เมื่อนางได้ยินแล้วก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “คนที่เข้าร่วมการสอบฮุ่ยซื่อของปีนี้เยอะไม่เบาเชียวล่ะ!”
ตงชิงพยักหน้าเบาๆ “คุณชายใหญ่บ้านเรา ลุงเขยสี่ของตระกูลนายท่านสอง ยังมีคุณชายเฉียนอีกด้วย หากทุกคนผ่านการสอบคัดเลือกทั้งหมดนี่…ตระกูลเราก็จะมีราชบัณฑิตจิ้นซื่อถึงสามคนเลยเจ้าค่ะ”
หู่พั่วปิดปากหัวเราะชอบใจ “ตระกูลเรามีราชบัณฑิตจิ้นซื่อสามคนตั้งนานแล้วนี่ จะบอกว่าสองราชบัณฑิตจิ้นซื่อพ่อลูกทั้งคู่…ก็ไม่ค่อยจะถูก ครั้นจะบอกว่าราชบัณฑิตจิ้นซื่อลูกพี่ลูกน้องทั้งสาม…ก็ไม่ใช่…โอ๊ย ตระกูลเรามีราชบัณฑิตจิ้นซื่อเยอะแยะมากมายจริงเชียว!”
ทุกคนก็พากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน
*****
ทางด้านนายท่านใหญ่เมื่อได้ยินแล้วก็ได้ขมวดคิ้วแน่น “เร็วเกินไปหรือไม่ มีใครหมั้นหมายในช่วงนี้กัน รอเดือนห้าค่อยว่ากันใหม่ดีกว่า!”
“นายท่านเองก็เลอะเลือนได้” นายหญิงใหญ่ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “รอให้ถึงเดือนห้า ราชบัณฑิตจิ้นซื่อรอบใหม่ออกมาแล้ว เรื่องการเกี่ยวดองครั้งนี้จะสำเร็จลุล่วงหรือไม่ก็ยังไม่แน่นอนเสียทีเดียว”
แต่นายท่านใหญ่ไม่ได้คิดเช่นนั้น “หากคนแซ่เฉียนผู้นั้นมองการแคบเช่นนี้ การเกี่ยวดองครั้งนี้ไม่เอาแล้วก็ได้!”
“ดูท่านสิ ศักดิ์ศรีมันสำคัญกว่าอนาคตบุตรสาวหรืออย่างไรกัน” นายหญิงใหญ่พูดขึ้นด้วยอารมณ์ฉุนเฉียวขึ้นมาเล็กน้อย “เรื่องนี้ข้าตัดสินใจเอง” แล้วก็ได้พูดต่อว่า “ข้ามีเรื่องจะปรึกษาท่าน” นายหญิงใหญ่ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านเองก็รู้ว่าฐานะของบ้านสกุลเฉียนไม่ดีเท่าไหร่นัก ข้ากลัวว่าวันข้างหน้าอู่เหนียงจะลำบากเอาได้ เลยตั้งใจจะให้เงินหนึ่งพันตำลึงไว้เป็นเงินก้นถุงให้อู่เหนียง ท่านเห็นควรว่าอย่างไร”
เมื่อเห็นว่าภรรยาของตนใจกว้างถึงเพียงนี้ นายท่านใหญ่ก็ต้องรู้สึกดีใจเป็นธรรมดา จึงได้รีบพยักหน้าทันที “ดี ดี”
*****
เมื่อถึงวันเก้าค่ำ หวงฮูหยินก็ได้นำเงินแท่ง ปิ่นปักผมเจ้าสาว ผลไม้มงคลแปดสี ใบชาและอีกหลายๆ อย่างเข้ามาในเรือน นั่งลงดื่มชาไปหนึ่งถ้วย หวังฮูหยินแม่สื่อของบ้านสกุลหลัวจึงพึ่งจะเดินทางมาถึง
ทั้งสองฝ่ายจึงได้แลกเปลี่ยนหนังสือเจตจำนงของอู่เหนียงและคุณชายเฉียน หวงฮูหยินนำสิ่งของทั้งหมดมอบให้กับคนบ้านสกุลหลัว จากนั้นก็มีคุณนายใหญ่ที่อยู่ร่วมดื่มสุราในเรือนชั้นใน
ในระหว่างนั้นก็ได้เอ่ยถึงเรือนที่พักอาศัยของคุณชายเฉียนขึ้นมา “เช่าเรือนหลังตรงด้านข้างของสำนักศึกษา เวลานี้กระชั้นชิดเกินไป จึงยังหาเรือนพักไม่ได้ เกรงว่าคงต้องรอหลังเดือนห้าแล้วค่อยมาหารือเรื่องงานแต่งเสียแล้ว เวลานั้นการสอบก็เสร็จสิ้นพอดี จะได้รับข่าวดีทั้งสองเรื่อง”
นายหญิงใหญ่ครุ่นคิดในใจ หากว่าคุณชายเฉียนสามารถผ่านการสอบคัดเลือกราชบัณฑิตจิ้นซื่อ ก็จะต้องไปสอบคัดเลือกราชบัณฑิตหลวงต่อ ดังนั้นก็จะต้องประจำการอยู่ที่เมืองเยี่ยนจิงสามปี แต่หากไม่ผ่านการสอบคัดเลือก ก็ต้องอยู่รอเรียกตัวที่เมืองเยี่ยนจิงต่อ หากเร็วหน่อยก็คงจะเดือนเจ็ด เดือนแปด ก็คงจะได้ตำแหน่งงานที่ไหนสักที่ แต่หากช้าหน่อย เกรงว่าอาจจะต้องรอจนถึงฤดูใบไม้ผลิของปีหน้าก็ยังไม่แน่นอน
นางครุ่นคิดและไตร่ตรองอยู่ในใจ จากนั้นก็ได้ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เดือนห้าก็ค่อนข้างเร็วเกินไป สู้รอเดือนเก้าดีกว่าหรือไม่ แล้วค่อยมาดูอีกทีว่าวันไหนเป็นวันมงคลบ้าง”
การหมั้นหมายแต่งงาน ครึ่งปีหรือหนึ่งปีถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา สี่ห้าปีก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอันใด สามารถได้ยินคำนี้จากบ้านสกุลหลัวได้ หวงฮูหยินก็เลยรู้สึกยินดีไม่น้อย จึงได้รีบตอบรับด้วยรอยยิ้มในทันที
วันแต่งงานของอู่เหนียงจึงได้กำหนดขึ้นในที่สุด
วันถัดมา คุณนายใหญ่ก็ได้นำผลไม้มงคลแปดสี ใบชาและอื่นๆ ที่คุณชายเฉียนมอบให้มาแบ่งออกเป็นสองส่วน แล้วจึงสั่งคนนำไปส่งให้กับนายท่านสองและนายท่านสามหนึ่งส่วน
เมื่อนายหญิงสองและนายหญิงสามทราบเรื่องแล้ว ก็ได้เข้าเรือนมาอวยพรเพื่อแสดงความยินดี
ส่วนอู่เหนียงนั้นเอาแต่หลบอยู่ในห้อง
สือเหนียงและสืออีเหนียงเป็นคนออกมาทำความเคารพแขกที่มาเยี่ยมเยียน
จากนั้นทุกคนต่างก็พากันมาหาอู่เหนียงด้วยความยินดี แต่อู่เหนียงกลับยืนเก้อเขินอยู่กับที่ ไม่ยอมพูดอะไรออกมา สืออีเหนียงจู่ๆ ก็นึกถึงเรื่องที่ตนได้ยินเสียงเครื่องกระเบื้องลายครามแตกเมื่อคืนนี้ขึ้นมา
นายหญิงสองเข้ามากุมมือของอู่เหนียงไว้ นางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “อู่เหนียงของเรามีวาสนาไม่น้อย แต่งออกเรือนไปก็ได้บัณฑิตจู่เหรินเป็นเจ้าบ่าวเลยทีเดียว วันข้างหน้าจะต้องได้มงกุฎเฟิ่งกวนและสายสะพายสยาเพ่ย [3] กลับมาอย่างแน่นอน”
นายหญิงสามยิ้มขึ้นพร้อมกับพูดว่า “นี่ถือเป็นวาสนาของพี่สะใภ้ใหญ่โดยแท้”
นายหญิงใหญ่หัวเราะเบาๆ พร้อมกับจ้องมองไปยังอู่เหนียงที่ใบหน้าแดงก่ำราวกับว่าจะหลั่งออกมาเป็นเลือดก็ไม่ปาน นางหัวเราะเบาๆ พลางเชื้อเชิญทุกคนไปยังเรือนของตน
ทุกคนต่างพากันนั่งดื่มชาและพูดคุยกัน หลังจากทานมื้อเที่ยงเรียบร้อยแล้ว ทุกคนก็เริ่มสนทนากันอีกครั้ง ชีเหนียงและสืออีเหนียงพากันนั่งดูผู้ใหญ่เล่นไพ่นกกระจอกกัน ส่วนสือเหนียงนั้นนั่งทานเมล็ดทานตะวันอยู่อีกด้าน
เล่นไพ่นกกระจอกอยู่หลายรอบ ชีเหนียงก็เริ่มนั่งไม่ติดแล้ว จึงได้หันไปส่งสายตาให้กับสืออีเหนียง จากนั้นก็ได้กระซิบบอกกับนายหญิงสองว่า “ท่านแม่ พวกเราอยากไปดูพี่หญิงห้าเจ้าค่ะ”
นายหญิงสองกำลังได้ชุดไพ่มังกรใหญ่ เมื่อได้ยินแล้วก็รีบโบกมืออนุญาตให้ไป “ไปเถอะ ไปเถอะ จะได้ไม่ต้องมากวนข้าที่นี่”
ชีเหนียงได้ยินแล้วก็หัวเราะชอบใจ รีบจูงมือของสืออีเหนียงพร้อมกับหันไปพยักหน้าให้กับสือเหนียง
ถามด้วยสายตาว่าจะไปด้วยกันหรือไม่
หากเป็นเมื่อก่อน สือเหนียงก็มักจะไม่สนใจพวกนางเลย แต่ครั้งนี้จู่ๆ กลับวางเมล็ดทานตะวันในมือลง “ท่านแม่ พวกข้าอยากไปดูพี่หญิงห้าเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่เงยหน้าขึ้นมามองนางอยู่ครู่หนึ่ง และก็ได้เห็นว่าชีเหนียงกำลังกอดแขนของสืออีเหนียงอยู่ด้วย จึงพยักหน้าเบาๆ
ทั้งสามลุกขึ้นยืนและกำลังจะเตรียมตัวเดินออกไป คุณชายห้าและคุณชายหกที่หมดความอดทนตั้งนานแล้ว ก็พากันลุกขึ้นมายืนอยู่ด้านหลังของพวกนาง “ท่านแม่ พวกข้าก็จะไปดูพี่หญิงห้าด้วยขอรับ” เมื่อพูดจบ ก็พากันวิ่งนำหน้าพวกนางไปก่อน พลอยทำให้คุณหนูเจ็ดอดขำออกมาเสียไม่ได้
นายหญิงสามจึงได้รีบหันไปสั่งกับสาวใช้ข้างๆ ว่า “รีบตามไปเร็ว!”
ทั้งกลุ่มจึงพากันไปยังที่พักของอู่เหนียง
อู่เหนียงกำลังนั่งขัดสมาธิปักผ้าริมหน้าต่างข้างเตียงเตา
เมื่อชีเหนียงเห็นนางแล้ว ก็หัวเราะพร้อมกับเอามือปิดปาก อู่เหนียงค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมา นางสีหน้าเรียบเฉย ไม่ได้รู้สึกดีใจแต่อย่างใด จนทำให้ชีเหนียงรู้สึกค่อนข้างทำตัวไม่ถูก “พี่หญิงห้า พวกท่านแม่กำลังเล่นไพ่นกกระจอกกันอยู่ พวกเราก็เลยพากันมาหาพี่หญิง”
อู่เหนียงฝืนยิ้มเล็กน้อย แล้วจึงหันไปสั่งจื่อเวยมาชงชาให้กับพวกนาง
ชีเหนียงและสืออีเหนียงพากันนั่งลง ส่วนคุณชายห้าและคุณชายหกพากันเดินไปทั่วห้อง
ซุ่ยเอ๋อร์เดินตามหลังมาติดๆ คอยกล่าวตักเตือนอยู่เป็นพักๆ “ระวังอย่าทำโถใส่พู่กันของคุณหนูคว่ำนะเจ้าคะ” เพียงครู่เดียวก็ได้กล่าวเตือนอีกว่า “ระวังอย่าทำชั้นวางกระถางดอกไม้ของคุณหนูล้มนะเจ้าคะ” พูดจนคุณชายห้ารู้สึกหงุดหงิดฉุนเฉียวขึ้นมา จึงได้ยกเท้าถีบกลางอกซุ่ยเอ๋อร์ “นังโสเภณี เจ้าว่าใคร!”
[1] ห่อสิ่วโอว สมุนไพรจีนโบราณชนิดหนึ่ง
[2] สอบฮุ่ยซื่อ การสอบแข่งขันชิงตำแหน่งขุนนางในเมืองหลวง
[3] มงกุฎเฟิ่งกวนและสายสะพายสยาเพ่ย หมายถึงเครื่องยศสตรีในสมัยโบราณ ส่วนมากจะได้รับพระราชทานเพราะสามีที่รับราชการทำความดีความชอบต่อแผ่นดิน