ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 627 เติบโต (ต้น)
“เช่นนั้นตอนนี้จิ่นเกอก็มีบ่าวรับใช้เพิ่มอีกสองคน?” สวีซื่ออวี้วางหนังสือในมือลง ยิ้มแล้วรับถ้วยชามาจากเซี่ยงซื่อ “แล้วอีกคนหนึ่งอายุแค่สามขวบ?”
เซี่ยงซื่อพยักหน้า นางยิ้มแล้วพูดว่า “ตอนที่ข้าไปคารวะท่านแม่ คนที่ชื่อฉังซุ่นกำลังนั่งทานลูกกวาดอยู่ใต้ชายคา สาวใช้น้อยของคุณชายน้อยหกเฝ้าเขาอยู่ ฟังจากน้ำเสียงของท่านแม่แล้ว ฉังอานยังได้เรียนศิลปะการต่อสู้กับอาจารย์ผังกับคุณชายน้อยหกอีกด้วย”
สวีซื่ออวี้จิบชาแล้วพูดว่า “บิดามารดาของฉังอานคือผู้ติดตามของท่านแม่ ฉังอานติดตามจิ่นเกอไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ว่าฉังซุ่น เด็กขนาดนี้ก็ตามมาด้วย...” เขายิ้ม “เกรงว่าคงจะเป็นเจตนาของท่านแม่ ตอนที่สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยยังเด็กท่านแม่ก็ทำเช่นนี้ มักจะคิดหาวิธีพาพวกเขาไปเล่น ฉังซุ่นน่าจะเป็นเพื่อนที่ท่านแม่หามาให้จิ่นเกอ”
เซี่ยงซื่อยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเห็นว่าฉังซุ่นน่ารักน่าเอ็นดู ไม่เพียงแต่สะอาดสะอ้าน เเล้วยังไม่กลัวคนแปลกหน้า” พูดจบ นางก็คิดถึงเรื่องของตัวเองขึ้นมา…แต่งงานมาสี่เดือนแล้ว แต่นางยังไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าแม่สามีจะไม่ได้พูดอะไร แต่มารดาและคนสกุลเดิมของตนกลับเป็นกังวลแทน อีกสองวันสวีซื่ออวี้ก็จะกลับเล่ออานแล้ว นางยิ่งไม่มีโอกาสแล้ว!
คิดเช่นนี้ สีหน้าของนางก็หม่นหมองลง น้ำเสียงดูไร้เรี่ยวแรง
ยิ่งใกล้วันที่เขาจะกลับเล่ออาน ความผิดหวังของเซี่ยงซื่อก็ยิ่งมีมากขึ้น ถึงแม้ปากของนางจะบอกว่าอยากให้เขากลับไปตั้งใจเรียน นางจะรับใช้พ่อสามีและแม่สามีเป็นอย่างดี แต่เขาก็ยังสัมผัสได้ถึงความอาลัยอาวรณ์ของภรรยา
เห็นภรรยาตัวเองท่าทางเปลี่ยนไป สวีซื่ออวี้ครุ่นคิดแล้วพูดเบาๆ “ข้าจะเขียนจดหมายกลับมาบ่อยๆ!”
เซี่ยงซื่อได้ยินดังนั้นก็หน้าแดง
สามีตัดสินใจจะกลับไปตั้งใจเรียนหนังสือที่เล่ออาน ขึ้นปีใหม่เขาก็คงจะไม่กลับมา…สิ่งที่นางชื่นชมสามีตัวเองมากที่สุดก็คือความแน่วแน่ของเขา!
“ท่านพี่ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าคะ!” นางก้มหน้าลงแล้วพูดเบาๆ “ข้าไม่เป็นอะไรแน่นอน!” นางไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่ออีก
ทันใดนั้น พวกเขาสองคนก็พลันพูดไม่ออก แต่บรรยากาศในห้องกลับตลบอบอวลไปด้วยความอบอุ่น
*****
สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยเดินออกมา พวกเขาสองคนกำลังปรึกษากันเรื่องโคมไฟที่ทำล้มเหลวในเทศกาลโคมไฟ “…หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้ เราไม่ควรใช้ไพฑูรย์แต่ควรใช้ผ้าทอใยไหมแทน”
“ยิ่งไปกว่านั้นเราต้องการใช้จำนวนมาก ไพฑูรย์ต้องให้ผู้ดูแลไปช่วยสั่งที่ร้านค้าคงลำบากเกินไป” สวีซื่อเจี้ยพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช้ผ้าทอใยไหมดีกว่า ข้าทำเพิ่มอีกสักสองสามอันก็ได้ หาวิธีแก้ไขได้แล้วขอรับ!”
ตั้งแต่วันที่เขาฟุบหัวร้องไห้บนตักสืออีเหนียง หากมีเรื่องอันใดสวีซื่อเจี้ยก็พยายามที่จะไม่รบกวนผู้อื่น
สวีซื่อจุนไม่เห็นด้วย “มันจะไปยากอะไร บอกให้ฮั่่วชิงไปเอาที่ห้องเก็บของก็ได้” พูดจบ เขาก็เห็นสี่เอ๋อร์กำลังยืนคุยกับสาวใช้น้อยอยู่ตรงทางเดิน สาวใช้น้อยคนนั้นเขาก็รู้จัก นางทำงานอยู่ที่เรือนของสืออีเหนียง พวกนางสองคนไม่สนใจว่าตรงทางเดินมีลม ถูกลมพัดจนหน้าแดง แต่ก็ยังพูดคุยกันอย่างมีความสุข
“เหตุใดถึงไม่ไปพูดคุยที่อื่น!” สวีซื่อจุนพูดด้วยรอยยิ้ม “อย่าคิดว่าถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่ลมสองวันนี้ยังแรงอยู่”
สี่เอ๋อร์และสาวใช้น้อยคนนั้นเดินเข้าไปย่อเข่าคำนับพวกเขาสองคน
สวีซื่อจุนเห็นใบหน้าของสี่เอ๋อร์มีความดีใจที่เก็บเอาไว้ไม่อยู่ ไม่มีสีหน้าเคร่งขรึมเหมือนเมื่อก่อน แล้วก็เพราะว่าสี่เอ๋อร์คือคนที่สืออีเหนียงมอบให้สวีซื่อเจี้ย ไม่ว่าจะเป็นสวีซื่อจุนหรือว่าสวีซื่อเจี้ย พวกเขาล้วนแต่ปฏิบัติกับนางไม่เหมือนสาวใช้ทั่วไป เขาจึงยิ้มแล้วหยอกล้อนาง “พี่สี่เอ๋อร์มีเรื่องอันใดหรือ ไหนลองเล่าให้พวกข้าฟัง พวกข้าจะได้ร่วมยินดีด้วย”
สี่เอ๋อร์ได้ยินข่าวดีจากสาวใช้น้อยที่ตัวเองสนิทสนม รู้ว่าหลานชายทั้งสองคนของตัวเองกำลังจะเข้ามาเป็นบ่าวรับใช้ของคุณชายน้อยหกในจวน นางจึงดีใจเป็นอย่างมาก
ไม่รู้ว่ามีตั้งกี่คนที่อยากเป็นบ่าวรับใช้ของคุณชายน้อยหก สองสามวันก่อนยังมีคนถูกเฆี่ยนเพราะรีบร้อนเกินไป แต่หลานชายของตัวเองกลับสามารถเข้ามาเป็นบ่าวรับใช้ของคุณชายน้อยหกโดยที่ไม่ต้องออกแรงอะไร…เห็นได้ชัดว่าฮูหยินสนิทสนมกับครอบครัวของตัวเองมากแค่ไหน
นางเข้ามาทำงานในจวนนานแล้ว แล้วยังทำงานอยู่ที่เรือนของสวีซื่อเจี้ย การช่วงชิงกันของบรรดาผู้ดูแลหญิง ป้ารับใช้และสาวใช้ แล้วยังมีความคาดหวังที่ทุกคนมีต่อคุณชายน้อยสี่และคุณชายน้อยหก นางเห็นมันเองกับตา เห็นว่าคนที่ถามคือคุณชายน้อยสี่ นางพยายามเก็บความดีใจในใจเอาไว้ ยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเจ้าค่ะ” จากนั้นก็เปิดม่านให้พวกเขาสองคน รับใช้พวกเขาเข้าไปข้างในห้อง
แต่สาวใช้ที่รับใช้อยู่ในห้องของสืออีเหนียงกลับไม่สนใจ
ฮูหยินยกย่องพวกเขาเช่นนี้ ไม่ว่าเป็นใครก็คงจะยิ้มไม่หุบ ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อครู่สี่เอ๋อร์เอาแต่ยิ้ม นางคิดว่าสี่เอ๋อร์ไม่กล้าพูด จึงหยอกล้อว่า “หลานชายของพี่สี่เอ๋อร์กำลังจะเข้ามาทำงานในจวนเจ้าค่ะ!”
สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยแปลกใจ
สี่เอ๋อร์คิดว่าสาวใช้น้อยคนนี้วุ่นวาย จึงเบิกตากว้างใส่สาวใช้น้อยคนนั้น จากนั้นก็ยิ้มแล้วอธิบายว่า “วันนี้พี่สะใภ้ของบ่าวพาหลานชายสองคนเข้ามาคารวะฮูหยิน ฮูหยินเห็นว่าหลานชายของบ่าวน่าสนใจ จึงถามพวกเขาว่าอยากเข้ามาเป็นบ่าวรับใช้คุณชายน้อยหกหรือไม่ หลานชายของบ่าวยังเด็ก ฉังอานปีนี้อายุเจ็ดขวบ ฉังซุ่นพึ่งจะอายุสามขวบ พวกเขายังไม่รู้ความ ทุกครั้งที่เข้ามาในจวนกับพี่สะใภ้พวกเขามักจะได้ทานลูกกวาดและได้รับเงินรางวัล ได้ยินว่าจะได้เข้ามาในจวน พวกขาจึงรีบตอบตกลงเจ้าค่ะ” ตอนที่คุณชายน้อยสี่อยู่ที่ลานข้างใน เขามีบ่าวรับใช้แค่สามคน ออกมาอยู่ลานข้างนอกฮูหยินจึงเพิ่มบ่าวรับใช้ให้เขาอีกสองคน ตอนนี้คุณชายน้อยหกมีบ่าวรับใช้สองคนแล้ว แต่ฮูหยินกลับเพิ่มให้เขาอีกสองคน…นางจึงพยายามเล่าเรื่องนี้อย่าง่ายดาย “แต่ว่าพวกเขายังเด็ก ฮูหยินก็แค่ลองถาม สรุปแล้วจะเป็นเช่นไรก็ยังไม่รู้เจ้าค่ะ”
สวีซื่อเจี้ยรู้สึกว่าสืออีเหนียงโปรดปรานลูกๆ ของปินจวี๋ หู่พั่วและคนอื่นๆ ที่เคยรับใช้นาง เขาคิดว่ามันเป็นไปได้ที่สืออีเหนียงเห็นว่าพวกเขาน่าสนใจจึงพูดเช่นนั้นออกมา จึงไม่ได้คิดอะไร “ฉังอานเข้ามาทำงานในจวนยังพอไหว แต่หากฉังซุ่นเข้ามา เกรงว่าคงต้องมีคนคอยดูแลเขา!” พูดจบก็นึกถึงท่าทางที่ขี้ขลาดตาขาวของฉังซุ่นที่อยู่ในอ้อมแขนของปินจวี๋ขึ้นมา อดหัวเราะออกมาไม่ได้
แต่สวีซื่อจุนกลับนึกถึงตอนที่ตัวเองยังเด็ก สืออีเหนียงชอบให้บ่าวรับใช้ของเขาพาเขาไปเล่น แล้วยังบอกว่า ผู้ชายต้องเล่นกับผู้ชาย มัวแต่ไปขว้างถุงทรายกับสาวใช้ ต่อไปคงจะจับเป็นแค่เข็มกับด้าย แล้วยังมักจะสนับสนุนให้เขาไปเดินเล่นไปวิ่งให้บ่อยๆ แอบกระโดดเชือกกับเขา เห็นว่าบ่าวรับใช้สองคนนั้นน่าสนใจ จึงบอกให้พวกเขาเข้ามาเล่นกับจิ่นเกอ นับว่าเป็นเรื่องที่คนอย่างสืออีเหนียงจะทำ
เขาเองก็หัวเราะขึ้นมาเช่นกัน
สาวใช้น้อยคนนั้นคิดว่าสี่เอ๋อร์ถ่อมตัวเกินไป คุณชายน้อยทั้งสองคนก็หัวเราะ นางจึงรีบพูดขึ้นมาว่า “ในเมื่อฮูหยินสัญญาแล้ว เช่นนั้นท่านโหวก็ต้องตอบตกลงแน่นอน ถึงตอนนั้นหลานชายทั้งสองคนของพี่สี่เอ๋อร์ต้องได้เข้ามาทำงานในจวนแน่นอนเจ้าค่ะ!”
สี่เอ๋อร์ขมวดคิ้วพลางมองสีหน้าของสวีซื่อจุน
สวีซื่อจุนพยักหน้าเบาๆ เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นด้วยกับคำพูดของสาวใช้น้อยคนนั้น
“น้องหกดื้อดึง บรรดาสาวใช้และป้ารับใช้เหล่านั้นล้วนทำอะไรเขาไม่ได้ ควรเพิ่มบ่าวรับใช้ให้เขาสักสองคน” เขายิ้มแล้วพูดกับสวีซื่อเจี้ย “เจ้าไม่รู้ สองวันก่อนข้าไปเก็บดอกกล้วยไม้ที่เรือนหน่วนฝัง บังเอิญเจอพี่เจี๋ยเซียง นางกำลังย้ายดอกกล้วยไม้อยู่ที่นั่น ได้ยินว่าคุณชายน้อยหกกำลังวาดภาพต้นไผ่อยู่ที่เรือนเสาหวา ข้าจึงตามไปคารวะท่านป้าสอง แต่ใครจะรู้ว่าพอเข้าไปในลาน ท่านป้าสอง สาวใช้และป้ารับใช้ต่างก็เหงื่อออกเต็มหน้า กำลังช่วยกันตามหาน้องหก!”
สวีซื่อเจี้ยตกใจ
ท่านป้าสองเป็นม่าย ดังนั้นหากไม่มีเรื่องอันใดพวกเขาก็ไม่กล้าไปรบกวน
“เกิดอะไรขึ้นหรือขอรับ” เขาถาม “ท่านแม่รู้เรื่องนี้หรือไม่” พูดด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร!” สวีซื่อจุนพูดพร้อมกับเดินเข้าไปข้างใน สวีซื่อเจี้ยเดินตามเขาเข้าไป “ท่านป้าสองได้ยินว่าน้องหกจะวาดภาพต้นไผ่ จึงปูกระดาษไว้บนโต๊ะหินในลาน น้องหกวิ่งไปดูต้นไผ่ในป่าไผ่อยู่นาน จากนั้นก็วิ่งกลับมาวาดภาพที่โต๊ะหิน ท่านป้าสองนั่งดูอยู่ข้างๆ เห็นว่าเขาวาดต้นไผ่จะเสร็จแล้ว ท่านป้าสองจึงบอกให้สาวใช้นำน้ำหิมะออกมาชงชา น้องหกได้ยินแล้วก็จะตามไป ท่านป้าสองบอกให้เขาตั้งใจวาดภาพ ตอนนั้นเขาตอบตกลง แต่สุดท้ายแอบกลับเข้าไปในป่า วิ่งไปช่วยสาวใช้หาน้ำหิมะที่หลังลาน ท่านป้าสองเห็นว่าเขาเข้าไปในป่าตั้งนานแล้วยังไม่ออกมา จึงบอกให้คนไปตามหาเขา”
ในขณะที่เขากำลังพูด พวกเขาสองคนก็เดินเข้าไปนั่งบนเตียงเตา
สี่เอ๋อร์ให้ความสำคัญกับเรื่องของจิ่นเกอ นางยกชามาให้พวกเขาสองคนด้วยตัวเอง
“เขาวิ่งไปหลังลาน จะหาเขาเจอได้เช่นไร” สวีซื่อจุนนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้นก็ขบขัน แต่นึกขึ้นมาได้ว่ามันเกี่ยวข้องกับท่านป้าสอง เขาไม่ควรหัวเราะเรื่องนี้ “เรือนเสาหวาอยู่สูงกว่าลานอื่น ตอนนั้นสีหน้าของท่านป้าสองซีดเซียวไปหมด เรียกสาวใช้ที่ติดตามน้องหกมาสอบถาม แต่ถามอะไรไม่ได้ความสักอย่าง นางจึงเป็นกังวล ตามหาเขาทั่วลาน”
สวีซื่อเจี้ยได้ยินเช่นนี้ก็ไม่สบายใจ เขาเอนตัวมองสวีซื่อจุน “แล้วหลังจากนั้นเล่า?”
“หลังจากนั้นท่านป้าสองจึงเรียกหวงเสี่ยวเหมาและหลิวเอ้อร์อู่เข้าไปตามหา จึงหาน้องหกที่ตัวเต็มไปด้วยโคลนเจอ” สวีซื่อจุนหัวเราะ “ท่านป้าสองกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ตำหนิสาวใช้น้อยเหล่านั้น แล้วก็อ้างว่าน้องหกวาดภาพทำหมึกเลอะ บอกให้อาจินกลับไปนำเสื้อผ้าสะอาดของน้องหกมาเปลี่ยน ล้างหน้าล้างตาให้น้องหกด้วยตัวเอง จากนั้นเรื่องนี้ก็จบลงเช่นนี้”
สวีซื่อเจี้ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“หากท่านแม่รู้เข้า เกรงว่าจิ่นเกอคงจะถูกตำหนิอีกแน่นอน!”
“ใช่แล้ว!” สวีซื่อจุนหัวเราะ “ดังนั้นท่านป้าสองจึงไม่ให้ทุกคนบอกท่านแม่ ประเดี๋ยวท่านแม่จะเป็นห่วง แล้วจิ่นเกออาจถูกตำหนิเอาได้”
พวกเขาสองคนพูดคุยหัวเราะกัน จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็ว พูดถึงเรื่องส่งสวีซื่ออวี้ออกเดินทาง “…พี่สามบอกว่า พรุ่งนี้จะไปทานข้าวที่ร้านหลี่จี้ที่เปิดใหม่ตรงเฉิงหนาน ถือว่าเลี้ยงส่งพี่สอง เขาบอกว่าหอชุนซีและหอแสดงมีแต่อาหารเดิมๆ น่าเบื่อ!”
“ไปเฉิงหนาน?” สวีซื่อเจี้ยลังเล “มันไกลเกินไปหรือไม่ขอรับ แล้วก็ไม่รู้ว่าร้านหลี่จี้จะเป็นอย่างไร”
“ไปไกลหน่อยดีกว่า!” สวีซื่อจุนยิ้มแล้วพูดต่ออีก “ได้ยินพี่สามบอกว่า ที่นั่นไม่เลวเลยทีเดียว สหายร่วมงานของเขามักจะไปทานข้าวที่นั่นบ่อยๆ”
หลังจากขึ้นปีใหม่ สวีลิ่งอี๋เริ่มปล่อยพวกเขา จะไปที่ไหนก็แค่บอกฝ่ายรักษาการณ์ก็พอ สวีซื่อเจี้ยได้ยินเช่นนี้ก็ใจอ่อน
“แล้วพี่สองว่าอย่างไรบ้าง” สวีซื่ออวี้เป็นคนสุขุม แล้วยังเป็นคนมีความรู้ สวีซื่อเจี้ยคิดว่าหากสวีซื่ออวี้เห็นด้วยก็น่าจะไม่มีปัญหาอะไร
“พี่สองเองก็คิดว่าไม่เลว!” สวีซื่อจุนพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่สามบอกให้เราออกเดินทางพรุ่งนี้ยามซื่อ ไปทานอาหารเที่ยงที่ร้านหลี่จี้!”
“ได้ขอรับ!” สวีซื่อเจี้ยเริ่มรู้สึกว่าน่าสนใจ พวกเขาสองคนปรึกษากันว่าพรุ่งนี้จะไปเฉิงหนานด้วยวิธีใด
สี่เอ๋อร์ออกจากห้องไปอย่างเบามือเบาเท้า
คุณชายน้อยสี่ไม่ได้คิดมากอะไรกับเรื่องนั้น!
นางยืนอยู่บนบันไดแล้วถอนหายใจด้วยความโล่งอก