ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 625 ความแตกต่าง (กลาง)
ฉังอาน บุตรชายคนโตของปินจวี๋ ไท่ฮูหยินเป็นคนตั้งชื่อให้เขา อายุมากกว่าจิ่นเกอหนึ่งปี หน้าตาเหมือนว่านต้าเสี่ยน คิ้วตาคมคาย แต่ผิวของเขาคล้ำนิดหน่อย เมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน เขาถือว่าเป็นเด็กที่มีรูปร่างสูงใหญ่ เขาเม้มปากแล้วกอดแขนฉังซุ่น น้องชายอายุสามขวบของตัวเองแน่น สีหน้าของเขาดูตึงเครียด ไม่ร่าเริงเหมือนตอนที่มาคารวะสืออีเหนียงครั้งก่อน
“เกิดอะไรขึ้น” สืออีเหนียงกวักมือเรียกฉังอานและฉังซุ่น “ปีก่อนยังป้อนอาหารนกกับสุยเฟิงอยู่เลย เหตุใดปีนี้ถึงไม่พูดอะไรแล้วล่ะ!”
ช่วงขึ้นปีใหม่ของทุกปี นางมักจะยุ่งอยู่ตลอด ปินจวี๋ หู่พั่วและคนอื่นๆ จะรอให้ถึงวันที่สิบเดือนหนึ่ง หลังเทศกาลโคมไฟถึงจะมาคารวะสืออีเหนียง แล้วก็เพราะว่าฉังซุ่น ทุกครั้งที่ปินจวี๋มาคารวะสืออีเหนียง นางมักจะพาบุตรทั้งสองคนมาด้วย
“เขามักจะไปเก็บฟืน ไล่จับแมลงกับพ่อสามีเจ้าค่ะ นิสัยเลยสุขุมขึ้นเรื่อยๆ” ปินจวี๋ลูบหัวบุตรชายของตัวเองแล้วพูดกับเขาอย่างอ่อนโยน “ยังไม่รีบไปก้มหัวให้ฮูหยินอีก”
ฉังอานหน้าแดงก่ำด้วยความเขินอาย เขาพาฉังซุ่นเดินไปก้มหัวให้สืออีเหนียง แต่กลับถูกสืออีเหนียงห้ามเอาไว้ “เมื่อครู่คารวะแล้ว ไม่จำเป็นต้องก้มหัวอีกครั้ง” จากนั้นก็หยิบลูกกวาดให้พวกเขาสองพี่น้องแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “จะไปเล่นกับสุยเฟิงที่สวนดอกไม้หรือไม่” นางมองดูฉังซุ่นที่ยืนอยู่ข้างฉังอาน
เขาตัวเล็ก หน้าแดง แววตาสดใส ท่าทางมีชีวิตชีวา เห็นได้ชัดว่าปินจวี๋ดูแลเด็กคนนี้เป็นอย่างดี
ฉังซุ่นได้ยินดังนั้นก็สายตาเป็นประกาย เขาเบิกตากว้างมองพี่ชายตัวเองด้วยท่าทีที่อยากไป
ฉังอานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาส่ายหน้าให้ฉังซุ่นเบาๆ จากนั้นก็เงยหน้ามองสืออีเหนียง ถึงแม้ว่าจะมีท่าทีเขินอาย แต่กลับพูดเสียงดังฟังชัด “เรียนฮูหยิน บ่าวและน้องชายจะอยู่กับท่านแม่ที่นี่ขอรับ”
สืออีเหนียงตกใจ
อาจจะเป็นเพราะว่าเขาเติบโตที่ไร่ ฉังอานเลยชอบไปเล่นที่สวนดอกไม้หลังจวนสกุลสวีเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะที่สุยเฟิง เขาเลี้ยงสัตว์เล็กไว้มากมาย ทุกครั้งที่ฉังอานมาเขามักจะไปอยู่กับสุยเฟิงตั้งนาน จนกระทั่งปินจวี๋ไปเรียกเขา เขาถึงได้กลับไปกับมารดาด้วยท่าทางอาลัยอาวรณ์
ปินจวี๋นึกถึงฉังซุ่น นางคิดว่าสืออีเหนียงมีอะไรจะพูดกับนาง ถึงแม้ว่าหู่พั่วจะอยู่ที่นี่ แต่นางก็ไล่บุตรชายตัวเองออกไป “ในเมื่อฮูหยินบอกให้พวกเจ้าไป พวกเจ้าก็ไปเถิด แต่จำเอาไว้ว่าอย่าทะเลาะกับสุยเฟิง ต้องดูแลน้อง อย่าปล่อยให้น้องทำสิ่งของของคุณชายน้อยหกพัง”
ฉังอานได้ยินแล้วก็ขานรับ “ขอรับ” อย่างสุภาพ พาน้องชายโค้งคำนับสืออีเหนียง จากนั้นก็ออกไปกับสาวใช้น้อย
สืออีเหนียงบอกให้สาวใช้ยกเก้าอี้มาให้ปินจวี๋ ถามนางว่าคลอดเมื่อไร สบายดีหรือไม่ พูดคุยกันเรื่องทั่วไป
ปินจวี๋จึงรู้ทันทีว่าตัวเองคิดผิด
ฮูหยินแค่กลัวว่าลูกๆ จะอึดอัดเมื่ออยู่ต่อหน้านาง
ทันใดนั้นนางก็รู้สึกไม่สบายใจ
ฮูหยินใจดีกับพวกเขา เพราะฮูหยินเป็นคนมีเมตตา หากพวกเขาไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี คิดว่าตัวเองสามารถทำอะไรต่อหน้าเจ้านายก็ได้ คนอื่นเห็นเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะหัวเราะเยาะว่าฮูหยินไม่รู้จักสั่งสอนคนของตัวเอง แล้วยังจะหัวเราะเยาะว่าพวกเขาเย่อหยิ่ง ไม่หัดดูตัวเอง
ต้องหาทางเรียกบุตรทั้งสองคนกลับมา
บุตรชายของตนโตในป่าเขา ถึงแม้ว่าจะเลี้ยงนกเลี้ยงสุนัขเก่ง แต่ว่าสิ่งของในสวนดอกไม้หลังจวนคือสิ่งของของคุณชายน้อยหก หากคุณชายน้อยหกไม่พยักหน้าอนุญาต พวกเขาแตะต้องอะไรตามอำเภอใจ คงจะไม่เป็นการดี
ขณะที่นางกำลังครุ่นคิด ก็ได้ยินเสียงอยากรู้อยากเห็นของจิ่นเกอดังเข้ามาจากนอกหน้าต่าง “เจ้าคือฉังอานไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงมายืนอยู่ใต้ชายคาเรือนของข้าได้”
สืออีเหนียงเองก็ได้ยินเช่นกัน
ทุกคนคิดไม่ถึงว่าเด็กสองคนนี้ไม่ได้ไปสวนดอกไม้หลังจวน แต่กลับยืนอยู่ใต้ชายคา พวกนางจึงเอียงหูฟัง อยากฟังว่าฉังอานจะตอบเช่นไร
ทันใดนั้น บรรยากาศในห้องก็เงียบสงัดจนได้ยินเสียงเข็มตก
“มารดาของบ่าวมาคารวะฮูหยินขอรับ” ฉังอานพูดอย่างนิ่งสงบ เสียงไม่เบาและไม่ดังจนเกินไป แล้วยังฉะฉาน “ฮูหยินกับมารดาของบ่าวกำลังพูดคุยกัน พวกเราจึงมายืนรอนางอยู่ตรงนี้” พูดจบ เขาก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อไปว่า “คุณชายน้อยหก บ่าวคารวะท่านขอรับ!”
สืออีเหนียงรีบหันไปมองนอกหน้าต่าง ก็เห็นฉังอานพาฉังซุ่นคารวะจิ่นเกอ
จิ่นเกอไม่สนใจ เขาจับมือฉังอานด้วยความดีใจแล้วพูดว่า “เจ้ามาได้ถูกเวลาพอดี! ข้ากับน้องเจ็ดอยากเตะลูกหนัง พี่สี่ออกไปกับท่านพ่อแล้ว ส่วนพี่ห้าต้องฝึกเขียนตัวหนังสือ เจ้าไปเล่นกับพวกข้าเถิด!” พูดจบเขาก็จะลากตัวฉังอานออกไป
แต่ฉังอานกลับสะบัดมือจิ่นเกอ โค้งคำนับแล้วพูดปฏิเสธว่า “บ่าวเตะลูกหนังไม่เป็น บ่าวคอยเก็บลูกหนังให้คุณชายน้อยหกดีกว่าขอรับ!”
จิ่นเกอได้ยินเช่นนี้ก็เบิกตากว้าง “เหตุใดเจ้าถึงเตะลูกหนังไม่เป็น ครั้งก่อนเจ้ายังไปเตะลูกหนังกับข้าอยู่เลยไม่ใช่หรือ” เขาพูดด้วยท่าทางเหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ “เจ้ากลับบ้านแล้วไม่มีลูกหนังเตะใช่หรือไม่ ดังนั้นเจ้าเลยลืม ไม่เป็นไร ประเดี๋ยวข้ามอบลูกหนังให้เจ้าลูกหนึ่ง ให้เจ้านำกลับไปฝึกเตะที่บ้าน เมื่อเจ้ามาคารวะมารดาของข้าอีกครั้ง เจ้าก็จะได้ไปเตะลูกหนังกับข้า” ยิ่งพูดเขาก็ยิ่งคิดว่าความคิดของตัวเองไม่เลวเลยทีเดียว เขารีบพูดกับหวงเสี่ยวเหมาที่อยู่ข้างๆ “ไปนำลูกหนังมาให้ฉังอานเร็วเข้า!”
ฉังอานตกใจ
หวงเสี่ยวเหมาขานรับแล้วเดินออกไป
ฉังอานมองดูแผ่นหลังของหวงเสี่ยวเหมาแล้วขยับมุมปาก แต่สุดท้ายกลับไม่พูดอะไร เขาพูดขอบคุณจิ่นเกอเบาๆ
จิ่นเกอพูดขึ้นว่า “ตอนนี้เจ้าไปเตะลูกหนังกับข้าได้แล้วใช่หรือไม่”
แต่ฉังอานยังคงส่ายหน้าเบาๆ “คุณชายน้อยหก บ่าวต้องรอมารดาอยู่ตรงนี้ขอรับ!”
“บอกให้สาวใช้น้อยไปรายงานก็ได้!” จิ่นเกอพูดด้วยน้ำเสียงที่หมดความอดทน
ฉังอานพูด “บ่าวยังต้องดูแลน้องชายอีกขอรับ!”
จิ่นเกอจึงเรียกอาจินที่อยู่ข้างหลัง “เจ้าช่วยฉังอานดูแลฉังซุ่น!” จากนั้นก็พูดว่า “ไปเร็ว น้องเจ็ดกำลังรออยู่ที่สวนดอกไม้หลังจวน!”
ฉังอานสะบัดมือจิ่นเกออีกครั้ง “บ่าวไปไม่ได้ขอรับ!”
จิ่นเกอเบิกตากว้างแล้วมองฉังอานด้วยสีหน้าที่ตกใจ
เขาโตมาจนถึงทุกวันนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนปฏิเสธเขาแบบนี้
ฉังอานก้มหน้าลง
ฉังซุ่นเกรงกลัวจิ่นเกอ รีบเดินไปหลบอยู่ในอ้อมแขนของพี่ชายตัวเอง
ฉังอานกอดฉังซุ่นแล้วพูดปลอบเขา
“ฮูหยินเจ้าคะ เด็กคนนี้ ถูกพ่อสามีสั่งสอนจนดื้อรั้นเจ้าค่ะ!” ปินจวี๋ที่ยืนอยู่ข้างเตียงเตาหน้าแดงก่ำ นางรีบพูดด้วยความรู้สึกผิด “บ่าวจะออกไปบอกเขาประเดี๋ยวนี้”
สืออีเหนียงเห็นดังนั้นก็ตกใจ รีบโบกมือห้ามปินจวี๋ “ไม่เป็นไร!” นางอยากดูว่าประเดี๋ยวฉังอานจะทำอย่างไรต่อ
“เจ้า เจ้า เจ้า…” จิ่นเกอโมโหจนหน้าแดง “ข้าออกปากชวนเจ้าไปเล่นกับข้า แต่เจ้ากลับปฏิเสธ…” เขาถามฉังอานด้วยความโมโห “เจ้าจะไปหรือไม่ไป”
ทำท่าทีราวกับว่า หากเจ้าไม่ไป เจ้าเห็นดีแน่
ฉังอานพูดเบาๆ “ปู่ของบ่าวบอกว่า มาคารวะฮูหยินต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ มองไปรอบๆ ไม่ได้ วิ่งไปรอบๆ ก็ไม่ได้…”
จิ่นเกอไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ไม่รอให้ฉังอานพูดจบ ก็จับจ้องฉังอานแล้วถามว่า “เจ้าจะไปหรือไม่ไป” ด้วยสีหน้าที่ดูขึงขัง
ท่านแม่เคยบอกว่า หากเจอกับคุณชายน้อยหกต้องเคารพเชื่อฟังเขา!
สีหน้าของฉังอานเริ่มปรากฏความลังเลใจ
จิ่นเกอกระทืบเท้าพลางตะโกนใส่หลิวเอ้อร์อู่ “จับเขาเฆี่ยนสิบที! ดูว่าเขายังจะไม่ฟังคำสั่งของข้าหรือไม่!”
ไม่ต้องพูดถึงหลิวเอ้อร์อู่ แม้แต่คนในห้องก็ยังตกใจกับคำพูดของจิ่นเกอ
ปินจวี๋รีบพูดว่า “ฮูหยิน บ่าวจะออกไปขอขมาคุณชายน้อยหกประเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงห้ามนางเอาไว้อีกครั้ง “เรื่องของเด็กๆ ปล่อยให้พวกเขาจัดการเองเถิด ผู้ใหญ่อย่างเราอย่าเข้าไปยุ่งเลย!” นางยังคงนั่งฟังอยู่ตรงนั้น
ปินจวี๋มองไปที่หู่พั่วด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ
หู่พั่วก็ไม่รู้ว่าสืออีเหนียงหมายความว่าอะไร นางโบกมือให้ปินจวี๋อย่างไม่มีทางเลือก
ปินจวี๋ไม่กล้าปริปากพูดอะไรอีก นางยืนอยู่ข้างสืออีเหนียงอย่างเป็นกังวล
หลิวเอ้อร์อู่ตกใจอยู่ครู่หนึ่ง ไม่นานก็ได้สติกลับมา เขาขยิบตาให้หวงเสี่ยวเหมาแล้วขานรับเสียงดัง พับแขนเสื้อตัวเองขึ้นช้าๆ แล้วตะโกนเสียงดัง “ใครบอกให้เจ้าไม่ฟังคำสั่งของคุณชายน้อยหก”
หวงเสี่ยวเหมาก็เข้าใจในทันที
ที่นี่คือใต้หลังคาเรือนฮูหยิน พวกเขาเสียงดังเช่นนี้ ฮูหยินได้ยินก็ต้องออกมาแน่นอน ถึงตอนนั้นจะจัดการอย่างไร ก็ให้ฮูหยินเป็นคนตัดสินใจ
เขาเลยพับแขนเสื้อตัวเองตามหลิวเอ้อร์อู่แล้วตะโกนเสียงดัง “คุณชายน้อยหกบอกให้เจ้าไปเล่นด้วย เพราะเห็นแก่หน้าเจ้า แต่เจ้ากลับกล้าปฏิเสธคุณชายน้อยหก ต้องจับพวกเจ้ามัดแล้วเฆี่ยนสักสิบที”
กังวลมากเกินไปไม่ใช่เรื่องที่ดี
ปินจวี๋แอบตำหนิพ่อสามีตัวเองในใจ
สั่งสอนหน้าที่อะไรให้ฉังอานทั้งวัน เล่นกับคุณชายน้อยหกก็คือหน้าที่ของเขาไม่ใช่หรือ หากเขาถูกเฆี่ยนสิบทีจริงๆ…
คิดเช่นนี้นางก็เจ็บปวดหัวใจราวกับถูดมีดกรีด น้ำตาเริ่มคลอเบ้า แต่หางตากลับเหลือบไปเห็นฮูหยิน นางจึงไม่กล้าร้องไห้
หู่พั่วเห็นเช่นนี้ก็เดินเข้าไปดึงแขนเสื้อปินจวี๋เบาๆ แล้วชี้ไปที่สืออีเหนียงที่นั่งอยู่บนเตียงเตา นางสะบัดมือแล้วยิ้มเงียบๆ
สายตาของปินจวี๋มีความสับสน
หู่พั่วเห็นเช่นนี้ก็ถอนหายใจ
ปินจวี๋คนนี้ ไม่ค่อยมีไหวพริบสักเท่าไร
หู่พั่วจึงกระซิบเบาๆ “ฮูหยินจะปล่อยให้ฉังอานถูกเฆี่ยนได้เช่นไร!”
คำพูดประโยคเดียวทำให้ปินจวี๋ได้สติกลับมา ปินจวี๋ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็เขย่งเท้ามองออกไปตามสืออีเหนียง
หวงเสี่ยวเหมาและหลิวเอ้อร์อู่เอะอะโวยวายอยู่ครู่หนึ่ง ห้องหลักก็ไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร พวกเขาสองคนเป็นกังวลขึ้นมา แต่ก็ไม่กล้าทำตามที่จิ่นเกอสั่ง เขาเดินเข้าไปบิดแขนฉังอานแล้วพูดเบาๆ “เจ้ายอมรับผิดเถิด คุณชายน้อยหกไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล!”
ฉังอานมีสีหน้าไม่สบายใจ ฉังซุ่นเห็นเช่นนี้ก็กอดเอวพี่ชายตัวเองแล้วร้องไห้ เขาร้องไห้พร้อมกับเตะหวงเสี่ยวเหมาและหลิวเอ้อร์อู่ “อย่ารังแกพี่ชายของข้า อย่ารังแกพี่ชายของข้า!”
แต่โชคดีที่ฉังซุ่นมักจะถูกปินจวี๋ตามใจจนเคยตัว เขาแรงไม่มากนัก ไม่เช่นนั้น หวงเสี่ยวเหมาและหลิวเอ้อร์อู่ไม่เพียงแต่จับพวกเขาไม่ได้ แล้วตัวเองยังจะถูกเตะจนเจ็บตัว
ฉังอานรีบเรียกน้องชายตัวเอง “ห้ามเตะคนอื่น! ไม่เช่นนั้นจะไม่พาเจ้าออกไปเที่ยวอีก!”
ฉังซุ่นร้องไห้เสียงดัง
จิ่นเกอมองดูฉังอานที่ยอมปล่อยให้หวงเสี่ยวเหมาและหลิวเอ้อร์อู่บิดแขนตัวเอง แล้วก็มองดูฉังซุ่นที่ร้องไห้ สีหน้าของเขาเริ่มลังเล “เจ้า…หากเจ้าตอบตกลงว่าจะไปเล่นกับข้า ข้าจะไม่ให้พวกเขาเฆี่ยนเจ้า!” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกผิด
ถึงแม้ว่าฉังอานจะเป็นบุตรของบ่าวรับใช้ แต่จวนหย่งผิงโหวรู้ดีว่าว่านต้าเสี่ยนเป็นผู้ดูแลที่มีหน้ามีตาในจวน ปินจวี๋มารดาของเขาก็เคยรับใช้สืออีเหนียงมาก่อน ลุงคนที่สองเป็นผู้ดูแลไร่ของสกุลสวีที่เป่าติ้ง แต่งงานกับหลานสาวของผู้ดูแลจ้าวฝ่ายรายงาน ส่วนอาหญิงของเขาก็เป็นบ่าวรับใช้ในเรือนของสวีซื่อเจี้ย แล้วอีกอย่าง ครอบครัวสกุลว่านก็ยังเป็นครอบครัวอ่อนน้อมถ่อมตน ทุกคนล้วนชื่นชอบพวกเขา ฉังอานและฉังซุ่นจึงมีหน้ามีตามากกว่าเด็กทั่วไป ไม่เคยมีใครทำเช่นนี้กับพวกเขา จิ่นเกอจึงรู้สึกหวาดกลัว
“ปู่ของบ่าวไม่ให้บ่าวเล่นกับคุณชายน้อยหกขอรับ!” ฉังอานพูดเสียงเบา “บอกว่าสถานะเราแตกต่างกัน ต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์…หากไม่มีกฎเกณฑ์ ทำอะไรก็ไม่มีทางสำเร็จ…” เขาพูดคำพูดของว่านอี้จงอีกครั้ง จิตใจของเขาค่อยๆ หนักแน่นขึ้น “ให้บ่าวช่วยคุณชายน้อยหกเก็บลูกหนังดีกว่าขอรับ!”