ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 624 ความแตกต่าง (ต้น)
ถึงแม้ว่าคำตอบนี้จะมีช่องโหว่ แต่ในฐานะเด็กอายุหกขวบ ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว!
สวีลิ่งอี๋ไม่ถามเขาต่อ แต่กลับพูดว่า “รีบไปให้หงเหวินล้างหน้าล้างตาให้เจ้า แม่ของเจ้ายังมีเรื่องจะพูดกับเจ้าอีก!”
จิ่นเกอถือกล่องเดินตามหงเหวินไปอย่างมีความสุข สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะพูด “ท่านโหว เหตุใดถึงสอนเขาเช่นนี้เล่า ข้ารู้ว่าท่านอยากให้จิ่นเกอโตขึ้น แต่ว่าเขายังเด็ก ยังไม่ได้เรียนหนังสือ เขายังไม่รู้ผิดถูกอะไร หากเขารู้จักแค่วิธีเอาชนะ เขาก็คงจะรู้จักทำอะไรแค่ผิวเผิน คำพูดที่ว่า มีความรู้ในเรื่องต่างๆ คือความรู้ แต่เข้าใจผู้คนก็ถือเป็นความรู้อย่างหนึ่งเช่นกัน เรื่องราวบนโลกใบนี้ ล้วนแต่ขึ้นอยู่กับมนุษย์ รู้วิธีเข้ากับผู้คน ใจดีมีเมตตาต่อผู้อื่น ถึงจะได้รับความช่วยเหลือจากสหาย เอาชนะความยากลำบากและประสบความสำเร็จ ไม่เช่นนั้น ท่านโหวก็คงจะไม่พาจุนเกอไปสังสรรค์ด้วยทุกที่กระมัง!”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินดังนั้นก็เลิกคิ้ว เขายิ้มแล้วพูดว่า “คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะรู้เรื่องพวกนี้ด้วย” พูดจบก็เปลี่ยนน้ำเสียง “แต่ว่าสิ่งที่อาจารย์สอนล้วนแต่เป็นหลักการทั่วไป วางแผนการรบบนกระดาษ ไม่เพียงแต่พูดง่ายทำยาก แล้วยังมีบางอย่างที่นำมาใช้ในชีวิตจริงไม่ได้ มันอาจจะไม่ง่ายเหมือนการเรียนรู้วิธีเข้ากับผู้คน ใจดีมีเมตตาต่อผู้อื่นเหมือนที่เจ้าพูด” พูดจบเขาก็หัวเราะ “บอกให้สาวใช้ตักน้ำเข้ามาเถิด ข้าเห็นว่าเจ้ามีบางอย่างจะพูดกับจิ่นเกอ นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกเจ้าสองคนพูดคุยกันเสร็จ เราก็รีบพักผ่อนเถิด!”
เขาไม่อยากพูดอะไรอีก
แทนที่จะพูดคุยกับคนที่มีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่สู้สั่งสอนบุตรชายให้ดีดีกว่า
สืออีเหนียงขานรับแล้วเรียกสาวใช้เข้ามารับใช้สวีลิ่งอี๋ล้างหน้าล้างตา ตัวเองออกไปหาจิ่นเกอที่เรือนหน่วนเก๋อ
จิ่นเกอพึ่งจะล้างหน้าล้างตาเสร็จ เขาเปลือยเท้าเปล่านั่งอยู่บนเตียง เมื่อเห็นสืออีเหนียงเข้ามาก็รีบลุกขึ้นยืน “ท่านแม่ขอรับ!” เท้าที่ขาวและนุ่มกระโดดโลดเต้นอยู่บนผ้าห่มสีแดง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วเดินไปนั่งบนเตียง จิ่นเกอพุ่งเข้ามาในอ้อมแขนของสืออีเหนียง สืออีเหนียงเหลือบตามองหมอนของจิ่นเกอ เห็นกล่องเครื่องเขียนไม้หวงหยางที่นางมอบให้เขาวางอยู่ข้างหมอน นางก็ยิ้มกว้าง
“ท่านแม่” จิ่นเกอออดอ้อนมารดาของตัวเอง จากนั้นก็หันไปหยิบสมุดภาพวาดออกมาจากหัวเตียง “เล่านิทานขอรับ!”
สืออีเหนียงรับสมุดภาพวาดมา ลูบหัวบุตรชายที่นั่งฟังอย่างรู้ความ นางยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้เราไม่เล่านิทาน เราพูดคุยกันดีหรือไม่”
จิ่นเกองุนงง
สืออีเหนียงถอดรองเท้าขึ้นไปบนเตียง บอกให้หงเหวินหยิบหมอนมาสองใบ จากนั้นก็เอนตัวพิงหมอน
จิ่นเกอยิ้มอยู่ในอ้อมแขนของสืออีเหนียง
สืออีเหนียงถามเขาเสียงเบา “ดึกขนาดนี้แล้ว เหตุใดเจ้าถึงจะไปหาเซินเกอให้ได้”
จิ่นเกอยิ้มแต่ไม่ตอบอะไร
สืออีเหนียงเกาใต้รักแร้ของเขา
จิ่นเกอหัวเราะกลิ้งอยู่บนเตียง แล้วยังเกาใต้รักแร้ของมารดาคืน
สองแม่ลูกหัวเราะเสียงดังอยู่บนเตียงครู่หนึ่ง จินเกอนอนซบอยู่บนแขนของนาง
สืออีเหนียงจับไหล่เขา “เร็วเข้า เจ้ายังไม่ตอบคำถามข้าเลย!”
จิ่นเกอเม้มปากยิ้ม “หากน้องเจ็ดเห็นกล่องเครื่องเขียนของข้า เขาต้องอิจฉาอย่างแน่นอน” เขาพูดด้วยท่าทีที่พอใจ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ต่อจากนั้นเล่า”
จิ่นเกอไม่เข้าใจว่าต่อจากนั้นคืออะไร
สืออีเหนียงพูด “เจ้าบอกว่าเจ้าอยากให้เซินเกออิจฉา ข้าจึงอยากรู้ว่า หากเซินเกออิจฉาเจ้า แล้วเจ้าจะทำเช่นไรต่อ”
จิ่นเกอไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อน เขาครุ่นคิดอยู่นาน ก่อนจะพูดว่า “หากเขาอยากได้กล่องเครื่องเขียนของข้า เช่นนั้นก็หมายความว่ากล่องเครื่องเขียนของข้าเป็นของดีขอรับ!”
“แต่หากเป็นเช่นนี้ เซินเกอก็จะอยากได้ใช่หรือไม่” สืออีเหนียงยิ้ม
จิ่นเกอพยักหน้า
สืออีเหนียงพูด “เช่นนั้นเขาก็ต้องไปขอที่ท่านอาสะใภ้ห้าของเจ้า!”
จิ่นเกอพยักหน้าอีกครั้ง
“ข้าสั่งทำกล่องเครื่องเขียนนี้มาจากร้านตัวเป่าเก๋อโดยเฉพาะ ถึงแม้ว่าท่านอาสะใภ้ห้าของเจ้าจะส่งคนไปซื้อที่ร้านตัวเป่าเก๋อ ให้ร้านตัวเป่าเก๋อทำกล่องเครื่องเขียนที่เหมือนของเจ้าอีกชุดหนึ่ง อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสองสามวัน หากเซินเกออดทนรอไม่ไหว เขาก็จะเอะอะโวยวายใส่ท่านอาสะใภ้ห้า เจ้าคิดว่ามันจะเป็นเช่นนี้หรือไม่”
“ขอรับ!” จิ่นเกอพยักหน้าอีกครั้ง
“ท่านอาสะใภ้ห้าของเจ้าต้องสอนพี่หญิงสองเย็บปักถักร้อย แล้วยังต้องดูแลน้องแปดของเจ้าอีก” สืออีเหนียงพูดอย่างอ่อนโยน “กลางค่ำกลางคืน น้องเจ็ดของเจ้าเอะอะโวยวาย ท่านอาสะใภ้ห้าของเจ้าหากล่องเครื่องเขียนมาให้เขาไม่ได้ นางคงจะไม่สบายใจ แล้วยังจะตำหนิน้องเจ็ดของเจ้า…”
นางยังพูดไม่จบ จิ่นเกอก็ลุกขึ้นมานั่งแล้วพูดเสียงดัง “ครั้งก่อนน้องเจ็ดอุ้มไก่ฟ้าสีทองของข้าไป ท่านอาสะใภ้ห้ารู้เข้า ก็บอกว่าไก่ฟ้าสีทองของข้าอุจจาระไปทั่ว น้องแปดไปเหยียบโดนเข้า เขาร้องไห้แม้แต่รองเท้าก็ไม่เอาแล้ว ท่านอาสะใภ้ห้าเลยตำหนิน้องเจ็ด แล้วยังบอกอีกว่า หากน้องเจ็ดอุ้มไก่ฟ้าสีทองกลับมาอีก นางจะฟ้องท่านอาห้า บอกให้ท่านอาห้าตีน้องเจ็ดขอรับ” เขาพูดราวกับกำลังฟ้องสืออีเหนียง
สืออีเหนียงกลั้นหัวเราะ “ในเมื่อเจ้ารู้ แล้วเจ้ายังจะนำกล่องเครื่องเขียนไปโอ้อวดเซินเกออีกหรือ!”
จิ่นเกอทำสีหน้าตกใจ
สืออีเหนียงถือโอกาสนี้สั่งสอน “เซินเกอเป็นน้องของเจ้า ปกติเขาไม่เคยอยู่ห่างจากตัวเจ้า เจ้ามีของดี ทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาจะต้องอยากได้ เจ้าก็ควรแบ่งปันเขา หรือให้แม่ช่วยสั่งทำมาให้เซินเกออีกชุดหนึ่ง แต่ไม่ควรให้เขาถูกท่านอาสะใภ้ห้าตำหนิเพราะเจ้า นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนที่เป็นพี่ชายพึงกระทำ!”
จิ่นเกอก้มหน้าก้มตา
“เรื่องนี้ ข้าเองก็ผิด” สืออีเหนียงยิ้มแล้วโอบกอดจิ่นเกอ “ข้าคิดเพียงแต่ว่าจิ่นเกอกำลังจะเรียนหนังสือ แต่กลับไม่ได้คิดว่าเซินเกอจะอยากได้กล่องเครื่องเขียนของเจ้า เช่นนั้น เรานำกล่องเครื่องเขียนนี้เก็บไว้ในหีบก่อนดีหรือไม่ แม่สั่งให้อาจารย์ที่ร้านตัวเป่าเก๋อทำเพิ่มอีกชุดหนึ่ง รอให้ของมาถึงแล้ว เจ้าค่อยนำไปให้เซินเกอ พวกเจ้าจะได้มีกันคนละชุด เจ้าคิดว่าดีหรือไม่!”
“ดีขอรับ!” จิ่นเกอพูดเสียงดัง
“จิ่นเกอของเราเป็นพี่ชายที่ดี!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วหอมแก้มเขา
จิ่นเกอยิ้ม จากนั้นก็หุบยิ้มแล้วดึงแขนเสื้อสืออีเหนียงอย่างเบามือ มองดูสีหน้าของนางอย่างระมัดระวัง เขาพูดตะกุกตะกัก “ไม่แกะสลักรูปลิงน้อยได้หรือไม่…รูปลิงน้อยเป็นของข้า…”
สืออีเหนียงอดหัวเราะไม่ได้
ทุกอย่างต้องค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป จิ่นเกอทานคนเดียวจนเคยชิน แต่เขาทำเช่นนี้ได้ ก็ถือว่าเป็นการพัฒนาครั้งใหญ่แล้ว
“ได้สิ!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วมองเขา “เจ้าคิดว่าเราจะแกะสลักเป็นตัวอะไรให้เซินเกอดี”
เมื่อครู่มารดาบอกว่าให้เขายอมน้องชายตัวเอง แต่เขากลับไม่ยอมให้น้องชายตัวเองแกะสลักรูปลิงเหมือนเขา…จิ่นเกอเลยกลัวว่านางจะโกรธ เขารู้สึกไม่สบายใจ เห็นสืออีเหนียงตอบตกลงอย่างมีความสุข เลยสายตาเป็นประกาย จากนั้นก็พูดด้วยความสนใจ “แกะสลักรูปแมวขอรับ น้องเจ็ดชื่นชอบแมว…แล้วเขาก็ชอบสุนัข แกะสลักรูปสุนัขด้วยขอรับ…”
สืออีเหนียงปรึกษากับจิ่นเกอตั้งนาน สุดท้ายก็ตัดสินใจแกะสลักรูปเสือให้เซินเกอ สืออีเหนียงกล่อมจิ่นเกอนอนหลับ จากนั้นก็กลับไปที่เรือนของตัวเอง
“พูดเรื่องอันใดกัน” สวีลิ่งอี๋รอนางตั้งนาน
“ไม่มีอะไรเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงเล่าที่ไปที่มาของเรื่องราวให้เขาฟัง
สวีลิ่งอี๋คิดว่าสืออีเหนียงจัดการได้ไม่เลวเลยทีเดียว เขาพูด “พรุ่งนี้เช้าก็บอกให้ผู้ดูแลไปบอกที่ร้านตัวเป่าเก๋อ บอกให้พวกเขาเร่งมือทำให้หน่อย เราจ่ายเงินเพิ่มให้พวกเขาก็ได้”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วขานรับ สวีลิ่งอี๋ถามถึงเรื่องของสวีซื่ออวี้ “สัมภาระของพวกเขาจัดการเรียบร้อยแล้วหรือยัง ต้องเพิ่มผู้ติดตามอีกสักสองสามคนหรือไม่”
อีกสามวันสวีซื่ออวี้ก็จะออกเดินทางไปเล่ออานแล้ว ส่วนเซี่ยงซื่ออยู่รับใช้พ่อแม่สามีที่จวนหย่งผิงโหว
“วันนี้ข้าไปดูมาแล้ว เก็บของทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว” สืออีเหนียงพูดต่อไปว่า “สำหรับผู้ติดตามของอวี้เกอ…” นางถามสวีลิ่งอี๋ “เหวินจู๋ สาวใช้ในเรือนของอวี้เกอ ท่านโหวจำได้หรือไม่”
“เหวินจู๋?” สวีลิ่งอี๋พูดด้วยน้ำเสียงที่มีความคาดเดา “สาวใช้ที่เรือนของอวี้เกอ?” เห็นได้ชัดว่าเขาจำไม่ได้
“เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้ม “ตอนขึ้นปีใหม่ภรรยาของอวี้เกอมาบอกข้าว่า เหวินจู๋คอยรับใช้อวี้เกอมาตลอด นางอยากให้เหวินจู๋ติดตามอวี้เกอไปเล่ออาน แต่ว่าเหวินจู๋ไม่เด็กแล้ว นางปรึกษากับอวี้เกอ อยากให้เหวินจู๋แต่งงานกับมั่วจู๋ บ่าวรับใช้ของอวี้เกอ จึงมาถามความคิดเห็นของข้า ข้าให้พวกเขาตัดสินใจกันเอง สองสามวันก่อน ภรรยาของอวี้เกอจึงเลือกฤกษ์งามยามดี ให้พวกเขาสองคนแต่งงานกัน แล้วเตรียมตัวติดตามอวี้เกอไปเล่ออาน” นางพูดด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้อวี้เกอแต่งงานแล้ว เขาเป็นผู้ใหญ่แล้ว เรื่องในเรือนต้องให้ภรรยาของเขาเป็นคนช่วยดูแล เราไม่ต้องเข้าไปยุ่งหรอก ท่านโหวก็ต้องค่อยๆ ทำความคุ้นเคยนะเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ เขาตบก้นสืออีเหนียงเบาๆ “รีบไปล้างหน้าล้างตาแล้วรีบพักผ่อนเถิด!”
สืออีเหนียงลุกขึ้น นางเบิกตามองสวีลิ่งอี๋ จากนั้นก็เดินไปยังห้องชำระ
*****
วันต่อมา หู่พั่วเข้ามาคารวะสืออีเหนียง
สืออีเหนียงจับมือนาง สำรวจมองนางตั้งแต่หัวจรดเท้า
นางอวบขึ้นไม่น้อย ทำให้รูปร่างของนางดูมีน้ำมีนวลมากยิ่งขึ้น ราวกับดอกไม้ที่เบ่งบานสะพรั่งและเต็มไปด้วยกลิ่นหอมเย้ายวนของผู้ใหญ่
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “บุตรของเจ้าพึ่งจะอายุหนึ่งขวบ ก่วนชิงยอมให้เจ้ากลับมาด้วยหรือ”
หู่พั่วหน้าแดง นางพูด “เราตกลงกันตั้งแต่งตอนที่บ่าวแต่งงานแล้ว เขาไม่มีทางไม่ยินยอมเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงหัวเราะ
หู่พั่วหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม
สืออีเหนียงจับมือนางเข้าไปในห้อง
“เจ้าอย่าทำให้ความสัมพันธ์ของเจ้าและก่วนชิงต้องมีปัญหาเพราะเรื่องนี้” สืออีเหนียงพูดอย่างเคร่งขรึม “ตอนนั้นคือตอนนั้น ตอนนี้คือตอนนี้ อะไรก็เทียบกับการที่พวกเจ้ามีชีวิตที่ดีไม่ได้!”
“บ่าวรู้เจ้าค่ะ!” หู่พั่วได้ยินแล้วน้ำใสๆ รื้นเต็มขอบตา
ฮูหยินเป็นคนไม่เคยลืมมิตรภาพเก่า สาวใช้ที่ติดตามฮูหยินมาจากอวี๋หังก็ล้วนแต่ไม่อยากจากฮูหยินไป จู๋เซียงไม่เด็กแล้ว หากนางยังไม่แต่งงานคงจะไม่ดี ได้ยินว่าคนที่มาสู่ขอ คนที่ฐานะแย่ที่สุดคือผู้ดูแลน้อยของจวนสกุลสวี จะให้จู๋เซียงอยู่กับสืออีเหนียงต่อไปไม่ได้แล้ว ตอนนี้ว่านต้าเสี่ยนทำงานที่ห้องซือฝัง ปินจวี๋ก็กำลังตั้งครรภ์ แล้วยังรับเด็กที่ถูกทอดทิ้งมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม นางไม่มีทางได้เข้ามาทำงานในจวนแล้ว ถึงแม้ว่าตอนนี้ฮูหยินจะไม่เหมือนเมื่อก่อน แต่ในใจของตน ไม่ว่าฮูหยินจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ต้องมีคนดูแล ตนไม่ได้อยู่กับฮูหยินแล้วจะวางใจได้เช่นไร
“บ่าวอยากมาเองเจ้าค่ะ” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่ระบายความทุกข์ “ท่านไม่รู้ว่าเลี้ยงลูกเหนื่อยแค่ไหน ทำอะไรก็ร้องไห้ พึ่งจะป้อนนมไปก็อาเจียนออกมา พึ่งจะซักเสื้อผ้าก็ฉี่ ยังไม่ทันเปลี่ยนผ้าอ้อม เขาก็ร้องไห้เอะอะโวยวายจะดื่มนมอีก…เหนื่อยกว่าทำไร่เสียอีก บ่าวหวังว่าฮูหยินจะเรียกบ่าวเข้ามาที่จวนทุกวันเจ้าค่ะ” นางพูดอีกว่า “หากท่านยังไม่ส่งคนไปเรียกบ่าว บ่าวคงจะต้องเข้ามาเสนอตัวให้ท่านเองแล้วกระมัง!”
“ทำไร่?” สืออีเหนียงขบขัน นางหยอกล้อหู่พั่ว “เจ้าไปทำไร่ตั้งแต่เมื่อไร ข้าจะไม่รู้ได้เช่นไรว่าการเลี้ยงลูกเหนื่อยแค่ไหน เช่นนั้นจิ่นเกอจะเติบโตมาได้อย่างไรเล่า”
“ตอนเด็กๆ บ่าวเคยทำไร่เจ้าค่ะ!” หู่พั่วพูด “เก็บฝ้ายในไร่ ตากแดดร้อนจนอยากตายไปเสียจะดีกว่า ต่อมาได้มาอยู่ที่อวี๋หัง บ่าวจึงสาบานกับตัวเองว่า ไม่ว่าอย่างไรก็จะไม่กลับไปทำไร่อีกแล้ว ถึงอย่างไรก็ต้องมีหน้าที่การงานที่ดี...”
พวกนางสองคนพูดคุยเรื่องในอดีต พลอยทำให้พวกนางอารมณ์ดีขึ้นไม่น้อย
จากนั้นปินจวี๋ บุตรชายคนโตฉังอาน และฉังซุ่นบุตรชายที่รับมาเลี้ยงมาคารวะสืออีเหนียง