ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 623 การเรียน (ปลาย)
เมื่อกลับมาถึงห้อง สืออีเหนียงก็พูดกับสวีลิ่งอี๋ “ถึงตอนนั้นท่านโหวต้องบอกอาจารย์ผังให้ชัดเจนนะเจ้าคะ ประเดี๋ยวอาจารย์ผังไม่รู้อะไร เซินเกอหกล้มเข้ามันคงไม่ดี!”
“ข้าจะบอกอาจารย์ผังให้ชัดเจน!” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม เขาเรียกจิ่นเกอมาพูดด้วย “ในเมื่อต้องเรียนกับอาจารย์ผัง เจ้าก็ต้องตั้งใจเรียน จะสามวันจับปลา สองวันตากแหไม่ได้ ไม่เช่นนั้น จะถูกอาจารย์ลงโทษเอาได้!”
จิ่นเกอพยักหน้าซ้ำๆ “ข้าไม่มีทางถูกอาจารย์ลงโทษแน่นอนขอรับ!”
“เช่นนั้นก็ดี” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “เจ้าต้องจำคำพูดของเจ้าเอาไว้!”
จิ่นเกอยิ้มแล้วพยักหน้า จากนั้นก็วิ่งไปหาสืออีเหนียงที่กำลังจัดผ้าหลิงโถว “ท่านแม่ขอรับ ท่านจะทำกระเป๋าให้น้องเจ็ดหรือ!”
“ใช่แล้ว!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วอุ้มเขาขึ้นมาบนเตียงเตา
จิ่นเกอนอนอยู่บนเข่าของมารดา เขามองสืออีเหนียงอย่างไม่กะพริบตา “ท่านแม่ พี่สองมีหนังสือ หมึก กระดาษและที่ฝนหมึกด้วย…ที่ฝนหมึกของพี่สองยังแกะสลักเสือตัวใหญ่และต้นสนอีกด้วย…” เขาพูดด้วยท่าทีที่อิจฉา
จานรองหมึกของอวี้เกอ ฮูหยินสองเป็นคนมอบให้เขา มันคือจานรองหมึกโบราณ มีมูลค่ามหาศาล
สืออีเหนียงบีบจมูกบุตรชายตัวเอง “แม่เตรียมเอาไว้ให้เจ้าตั้งนานแล้ว” พูดจบ นางก็หยิบกล่องไม้หวงหยางแกะสลักลวดลายปลาที่กำลังแหวกว่ายออกมาจากใต้โต๊ะเตียงเตา “นี่ไงเล่า!”
จิ่นเกอเห็นว่ากล่องนั้นเล็กกว่าจานรองหมึกของอวี้เกอ เขาเปิดกล่องด้วยความลังเล ข้างในมีพู่กัน จานฝนหมึก กระบอกไม้ไผ่ใส่พู่กันที่แกะสลักรูปลิงถือลูกท้อ ขนลิงราวกับของจริง จานฝนหมึกก็เป็นรูปลิง รูปลิงปีนอยู่บนจานฝนหมึก จานรองหมึกแกะสลักเป็นรูปลิงเก็บลูกสนทานใต้ต้นสน ของทั้งสามอย่างล้วนแต่เป็นของเล็กๆ น่ารักเป็นอย่างมาก
จิ่นเกอกระโดดเข้าไปในอ้อมแขนของสืออีเหนียง สืออีเหนียงไม่ทันตั้งตัว ถูกเขาพุ่งเข้าใส่จนร่างขยับไปข้างหลัง เกือบจะชนกับโต๊ะเตียงเตา
สวีลิ่งอี๋ไหวพริบฉับไว จับตัวจิ่นเกอเอาไว้แล้วตำหนิเขา “จะเรียนหนังสืออยู่แล้ว เหตุใดถึงยังไม่รู้ความเช่นนี้!”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้มกอบกู้สถานการณ์ให้บุตรชายตัวเอง
จิ่นเกอดิ้นแล้วพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของสืออีเหนียงอย่างไม่สนใจ “ท่านแม่ ทั้งหมดนี้คือของของข้าหรือ!”
“ใช่แล้ว!” สืออีเหนียงกอดเขา “สวยหรือไม่ แม่สั่งมาจากร้านตัวเป่าเก๋อโดยเฉพาะ”
“สวยขอรับ!” จิ่นเกอพยักหน้าซ้ำๆ เขายิ้มจนตาหยีเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว จากนั้นก็ออกมาจากอ้อมแขนของมารดาและกอดกล่องลงมาจากเตียงเตา “ท่านแม่ ข้าจะไปหาน้องเจ็ดขอรับ!”
“นี่ดึกมากแล้ว!” สืออีเหนียงตกใจ นางมองออกไปนอกหน้าต่าง “พรุ่งนี้ค่อยไปดีกว่า!”
“ไปประเดี๋ยวก็กลับมาแล้ว!” สายตาของจิ่นเกอเป็นประกาย “ข้าให้หวงเสี่ยวเหมาและหลิวเอ้อร์อู่ไปด้วย ไม่แวะที่อื่นแน่นอน…”
สืออีเหนียงเข้าใจขึ้นมาทันที
เขาไม่ได้จะไปหาเซินเกอ แต่จะไปโอ้อวดเซินเกอต่างหาก
“เจ้าจะไปก็ได้ แต่ต้องนำกล่องไว้ที่นี่” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “ประเดี๋ยวของข้างในกล่องจะพังเอา”
นางพูดดัดนิสัยบุตรชายตัวเอง
จิ่นเกอเบะปากพลางเบิกตาโต
สืออีเหนียงแสร้งทำเป็นไม่เห็น นางเรียกหงเหวินเข้ามา “ดึกมากแล้ว รับใช้คุณชายน้อยหกอาบน้ำเถิด!”
หงเหวินขานรับแล้วจับมือจิ่นเกอ
จิ่นเกอจึงเดินตามหงเหวินออกไป
สืออีเหนียงหัวเราะ
หากปล่อยให้เขาไป เซินเกอต้องอยากได้กล่องเครื่องเขียนเหมือนเขาแน่นอน คืนนี้ฮูหยินห้าคงจะอยู่ไม่เป็นสุข
นางเก็บผ้าหลิงโถวบนโต๊ะเตียงเตา “ท่านโหว ข้ารับใช้ท่านล้างหน้าล้างตาดีกว่าเจ้าค่ะ!”
“ไม่เป็นไร” สวีลิ่งอี๋เดินมานั่งตรงข้ามนาง “เรียกสาวใช้เข้ามารับใช้เถิด!”
สืออีเหนียงเรียกสาวใช้เข้ามา
สวีลิ่งอี๋พูดถึงเรื่องเรียนของจิ่นเกอกับสืออีเหนียง”ถึงตอนนั้นเจ้าอย่าเห็นเขาลำบากแล้วสงสารเขาเชียว อากาศร้อนไม่ไปเรียน อากาศหนาวไม่ไปเรียน ลมแรงฝนตกก็ไม่ไปเรียน ตามใจเขาจนเสียคน ต่อไปเขาคงจะกลายเป็นคนไม่เอาถ่าน!”
“ท่านโหวพูดอะไรกัน” สืออีเหนียงวางผ้าที่เลือกไว้ในตระกร้าหวาย “ข้าเป็นคนเช่นนั้นหรือเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าไม่ต้องรีบพูด ท่านแม่เป็นคนเช่นไร ตอนนั้นพี่สองของข้าก็ยังเรียนไม่ไหว”
“แต่เหตุใดถึงไม่เห็นพี่สองของท่านเป็นคนไม่เอาถ่านเล่า” สืออีเหนียงเถียงเขา
ทำเอาสวีลิ่งอี๋พูดไม่ออก
“ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงพูดพลางกลอกตาใส่เขา “ข้าจะให้จิ่นเกอไปเรียนทุกวัน รับรองว่าไม่ทำให้เขาเสียการเรียนอย่างแน่นอน”
ภายใต้แสงไฟ นางหันหน้ามาด้วยสายตาที่สุกใสราวกับสายน้ำยามฤดูใบไม้ผลิ
สวีลิ่งอี๋หัวใจเต้นแรง เขาจับมือสืออีเหนียง
สืออีเหนียงเม้มริมฝีปากยิ้ม
บรรยากาศในห้องเริ่มคลุมเครือขึ้นมา
สวีลิ่งอี๋ขยับมุมปาก เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ก็ได้ยินเสียงตื่นตระหนกของหงเหวินดังออกมาจากข้างนอก “คุณชายน้อยหกเจ้าคะ ฮูหยินบอกว่าให้ท่านไปพรุ่งนี้…”
สืออีเหนียงตกอกตกใจ สวีลิ่งอี๋รีบเปิดม่านออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อสืออีเหนียงออกมา สวีลิ่งอี๋กำลังตามหาจิ่นเกอ “น่าจะยังไม่ออกไปจากลาน จุดโคมไฟแล้วตามหาเขาให้ทั่ว!”
เขายืนอยู่บนบันไดด้วยสายตาที่แหลมคม สาวใช้และป้ารับใช้ที่อยู่ข้างๆ คนหนึ่งยกเก้าอี้ คนหนึ่งห้อยโคมไฟ คนหนึ่งถือโคมไฟออกมาตามหาตามมุมลาน บรรยากาศในลานพลันโกลาหลขึ้นมา
เมื่อได้ยินเสียงดังขึ้นจากด้านหลัง สวีลิ่งอี๋ก็หันกลับมา “เด็กคนนี้ว่องไวเสียจริง ข้าออกมาก็ไม่เห็นเขาแล้ว” พูดด้วยน้ำเสียงที่เอือมระอา
หงเหวินที่กำลังจุดโคมไฟได้ยินดังนั้นก็รีบเดินเข้ามา
“ฮูหยินเจ้าคะ” นางหน้าแดงราวกับกำลังจะร้องไห้ “ล้วนแต่เป็นความผิดของบ่าว ที่ไม่จับคุณชายน้อยหกเอาไว้เจ้าค่ะ…”
จิ่นเกอยิ่งโตขึ้น สาวใช้ยิ่งดูเเลเขายากขึ้น ต้องหาบ่าวรับใช้ที่สามารถห้ามปรามเขาได้มาดูแลเขา ไม่เช่นนั้น อีกสองสามปี เขาออกไปอยู่ลานข้างนอก สวีลิ่งอี๋จับตามองเขาทั้งวันไม่ได้ กลัวว่าถึงตอนนั้นจะไม่มีใครห้ามเขาได้
“ข้ารู้แล้ว” สืออีเหนียงพูดปลอบนางอย่างระอาใจ “รีบไปจุดโคมไฟเถิด!”
ทันทีที่นางพูดจบ สวีลิ่งอี๋ก็เดินมายืนข้างต้นตงชิงบนบันไดแล้ว
“เจ้าจะออกมาเอง หรือให้ข้าลากออกมา!” เขายิ้มให้ต้นตงชิงที่ถูกตัดแต่งเป็นรั้ว
จากนั้นก็มีเสียงดังออกมา จิ่นเกอที่เบะปากและกำลังกอดกล่องไม้หวงหยางก็ลุกขึ้นมา บนหัวของเขายังมีใบไม้แห้งติดอยู่สองสามใบ
“ท่านพ่อรู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ตรงนี้ขอรับ” เขาพูดเบาๆ แต่สายตากลับเหลือบมองสืออีเหนียง
“ลานกว้างแค่นี้ ในห้องโถงก็ไม่มี เดินออกไปก็เป็นทางเดิน แม้แต่ผู้ใหญ่ก็ยังวิ่งออกไปในเวลาอันสั้นแค่นี้ไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้ายังตัวแค่นี้” สวีลิ่งอี๋ไม่ได้ตำหนิเขา แต่กลับตอบคำถามของจิ่นเกอด้วยความอดทน “เจ้าต้องไปแอบอยู่ที่ห้องปีก ไม่ก็แอบอยู่มุมไหนสักมุมในลาน แต่ทุกคนต่างรู้ว่าข้ากำลังตามหาเจ้า สาวใช้และป้ารับใช้คนไหนจะกล้าปิดบัง เช่นนั้นก็แสดงว่าเจ้าต้องแอบอยู่ที่มุมไหนสักมุม จุดโคมไฟ ในลานก็สว่างไสว อีกทั้งเจ้ายังสวมเสื้อสีแดง แน่นอนว่าต้องหาเจ้าเจอในไม่ช้า”
จิ่นเกอก้มหน้าลงมองเสื้อคลุมสีแดงของตัวเอง เขาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ “หากรู้เช่นนี้ ข้าจะเปลี่ยนเสื้อตัวอื่นออกมา!”
สืออีเหนียงพลันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
หงเหวินรีบอุ้มจิ่นเกอออกมา “ท่านโหว ฮูหยินเจ้าคะ บ่าวพาคุณชายน้อยหกไปล้างหน้าล้างตาดีกว่าเจ้าค่ะ” ท่าทีราวกับกลัวว่าสวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงจะตำหนิเขา ยิ่งทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่
“ช้าก่อน!” สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงเรียกหยุดหงเหวินอย่างพร้อมเพรียงกัน
พวกเขาสองคนหันมามองหน้ากัน
อยู่ต่อหน้าบ่าวรับใช้มากมายขนาดนี้ นึกถึงความน่าเกรงขามของสวีลิ่งอี๋ สืออีเหนียงจึงถอยออกไปก้าวหนึ่ง บอกให้สวีลิ่งอี๋เป็นคนพูดก่อน
สวีลิ่งอี๋อุ้มจิ่นเกอออกมาจากหงเหวินแล้วเดินเข้าไปข้างใน เขาถามจิ่นเกอ “หากเจ้าเปลี่ยนเสื้อตัวอื่น เจ้าก็จะแอบได้เช่นนั้นหรือ”
จิ่นเกอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าจะสวมเสื้อสีเขียวขอรับ!”
“เช่นนั้นหากเราค่อยๆ ตามหาเจ้าเล่า” สวีลิ่งอี๋เดินเข้าไปในห้องข้างใน
สืออีเหนียงเดินตามมา
เห็นจิ่นเกอเอียงหัวไม่พูดอะไร แต่สายตากลับเป็นประกาย
สวีลิ่งอี๋นั่งลงบนเตียงเตา ปล่อยให้จิ่นเกอยืนอยู่หน้าตัวเอง
“ท่านแม่ไม่อนุญาตให้เจ้าออกไป แต่เจ้ายังดื้อรั้นที่จะออกไป สาวใช้และป้ารับใช้ก็ไม่มีทางยอมให้เจ้าออกไปแน่นอน แต่เจ้ากลับไม่คิดหาวิธีอื่น วิ่งออกไปดื้อๆ เช่นนี้” เขามองบุตรชายตัวเองด้วยสีหน้าที่เรียบนิ่ง “มันทำให้ข้าคิดไม่ถึงจริงๆ!”
ถึงแม้จะกำลังสั่งสอนจิ่นเกอว่าทำอะไรต้องมีแบบแผน แต่เหตุใดถึงฟังดูเหมือน…เหมือนว่าเขาชอบให้จิ่นเกอขัดคำสั่งบิดามารดา!
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว “ท่านโหวเจ้าคะ…” นางเอ่ยขัดจังหวะสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ไม่มองนางเลยแม้แต่น้อย เขายกมือขึ้นทำท่าทีห้ามด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
อยู่ต่อหน้าจิ่นเกอ นางจึงกลืนคำพูดนั้นลงไปในท้อง
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าก็ทำได้!” สวีลิ่งอี๋พูดต่อ “เจ้าลองคิดตามคำพูดของข้าให้ดี มันจะเป็นไปได้หรืออย่างไรกัน”
จิ่นเกอเม้มปากแล้วก้มหน้าลง
สวีลิ่งอี๋ไม่พูดอะไร
บรรยากาศในห้องพลันเงียบงันขึ้นมา
ผ่านไปครู่หนึ่ง จิ่นเกอก็เงยหน้าขึ้นมา “เช่นนั้น ต่อไปข้าจะแอบออกไปทางประตูหลังขอรับ!” เขาพูดด้วยสายตาที่ไม่มีความมั่นใจ
“ประตูหลังมีคนคอยเฝ้ายามอยู่” สวีลิ่งอี๋พูดบั่นทอนกำลังจิ่นเกอ “แล้วยังมีหงเหวิน ไม่ว่าเจ้าจะออกไปทางประตูหน้าหรือว่าประตูหลัง ผลลัพธ์มันก็เหมือนกัน!”
จิ่นเกอได้สติกลับมา เขาเห็นรอยยิ้มจางๆ ในสายตาของบิดา
“เช่นนั้นข้าจะวิ่งไปหน้าลานก่อน แล้วค่อยแอบออกไปทางประตูหลังขอรับ!” หัวของจิ่นเกอหมุนอย่างรวดเร็ว เขาพูดเสียงดัง “พวกท่านตามหาข้าด้านหน้าลาน ข้าก็จะได้แอบออกไปทางประตูหลัง!”
นี้คือกลยุทธ์ล่อเสือออกจากถ้ำ!
คำพูดแค่ไม่กี่คำของสวีลิ่งอี๋ทำให้จิ่นเกอคิดได้ขนาดนี้
สืออีเหนียงเบิกตากว้าง นึกขึ้นมาได้ว่าหากพ่อแม่ทะเลาะกันต่อหน้าลูก จะทำให้ลูกทำอะไรไม่ถูก นางจึงไม่พูดอะไร
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องเคลื่อนไหวให้รวดเร็วกว่าข้า!” สวีลิ่งอี๋เก็บความชอบใจของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ สายตาของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
“แบบนั้น…” จิ่นเกอมองไปรอบๆ แล้วครุ่นคิด
แต่สวีลิ่งอี๋กลับตำหนิเขา “ไม่ต้องมองไปรอบๆ คนอื่นเห็นว่าเจ้ามองไปรอบๆ พวกเขาก็จะรู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไรอยู่ในใจ ถึงตอนนั้นคนอื่นก็อ่านท่าทีของเจ้าออก แต่เจ้ากลับอ่านท่าทีพวกเขาไม่ออก เจ้าจะเสียเปรียบ!”
จิ่นเกอรีบขานรับ “ขอรับ” จากนั้นก็มองตรงไปข้างหน้าทันที
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าอย่างพึงพอใจ
สีหน้าของจิ่นเกอผ่อนคลายลงไม่น้อย
“เช่นนั้นข้าจะแอบออกมาจากเรือนหน่วนเก๋อตอนที่หงเหวินไปตักน้ำ พวกท่านตามหาข้าที่ด้านหน้าลาน ข้าก็จะออกไปทางประตูหลัง พวกท่านตามหาข้าด้านหลังลาน ข้าก็จะออกไปทางประตูหน้า เมื่อพวกท่านรู้ตัว ข้าก็ออกไปได้แล้ว พวกท่านก็จะตามหาข้าไม่เจอขอรับ!”