ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 62 แต่งงาน (ต้น)
ไท่ฮูหยินจึงได้รีบส่งจุนเกอให้กับแม่นมที่อยู่ข้างๆ สาวใช้พึ่งจะย่อตัวไปช่วยนางสวมรองเท้า นายหญิงใหญ่ก็ได้เดินเข้ามาอย่างร้อนใจ
ใบหน้าของนางซีดเผือด สีหน้าเป็นกังวล เอ่ยปากขึ้นด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า “ได้ยินมาว่าหยวนเหนียงนาง…”
“ไม่เป็นไร ไม่ได้เป็นอะไร” ไท่ฮูหยินส่งสายตาให้กับนายหญิงใหญ่ว่าจุนเกอก็อยู่ด้วย “นางก็แค่คิดถึงท่าน ก็เลยให้ข้าไปรับท่านมาพูดคุยกับนางบ้าง”
นายหญิงใหญ่จึงพึ่งเห็นว่าข้างๆ ของไท่ฮูหยินนั้นมีจุนเกออยู่ด้วย
นางจึงรีบหันไปฝืนยิ้มให้กับจุนเกอ “จุนเกอเอ๋อร์ ทานข้าวแล้วหรือยัง”
จุนเกอเม้มปากพร้อมกับยิ้มขึ้น ตอบกลับน้ำเสียงน่ารักน่าเอ็นดูว่า “ทานแล้ว ทานข้าวปั้นขอรับ”
“คนเก่ง” นายหญิงใหญ่ฝืนยิ้มพร้อมกับลูบหัวของจุนเกอเบาๆ จากนั้นแม่นมก็ได้อุ้มจุนเกอพร้อมกับทำความเคารพแล้วจึงถอยออกไป เจินเจี่ยเอ๋อร์เองก็ได้เข้ามาทำความเคารพท่านยาย นายหญิงใหญ่ได้หยิบหยกแกะสลักรูปลิงให้กับเจินเจี่ยเอ๋อร์ เจินเจี่ยเอ๋อร์จึงได้กล่าวขอบคุณ เมื่อไท่ฮูหยินสวมรองเท้าเสร็จเรียบร้อย ก็ได้ยิ้มพร้อมกับให้เว่ยจื่อพาทั้งคู่ออกไปเล่น จากนั้นตัวเองก็ได้พานายหญิงใหญ่ไปยังที่พักของหยวนเหนียง
บรรยากาศในห้องเงียบสนิทไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดๆ และยังได้จุดธูปหอมที่ช่วยให้ผ่อนคลายอีกด้วย กลิ่นหอมอ่อนๆ เมื่อดมแล้วก็รู้สึกสบายเป็นอย่างมาก
ป้าเถาที่นั่งดูแลหยวนเหนียงอยู่ข้างเตียง เมื่อเห็นว่าไท่ฮูหยินและนายหญิงใหญ่มา ก็รีบลุกขึ้นมาทันที
ไท่ฮูหยินส่งสายตาให้เงียบๆ ป้าเถาจึงได้ย่อตัวทำความเคารพทั้งสองท่านโดยที่ไม่ออกเสียง
นายหญิงใหญ่เดินไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่ป้าเถานั่งเมื่อครู่ น้ำตาหยดลงมาเงียบๆ
ไท่ฮูหยินยื่นผ้าเช็ดหน้าให้นายหญิงใหญ่ซับน้ำตา และได้อยู่เป็นเพื่อนนางนั่งเฝ้าหยวนเหนียงที่ข้างเตียงครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้ฝากป้าเถาดูแลต่อ ทั้งสองจึงได้เดินออกไปยังลานสวนหน้าเรือน
“…ข้าได้ให้หมอหลวงหลิวมาตรวจชีพจรและได้สั่งยาผ่อนคลายให้นางอยู่หลายมื้อ” ไท่ฮูหยินบอกเล่าเกี่ยวกับรายละเอียดอาการป่วยของหยวนเหนียงด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวลและพยายามพูดให้อ่อนช้อยที่สุด จากนั้นก็ได้หยิบใบสั่งยาที่หมอหลวงเขียนมาให้เมื่อครู่ใหญ่จากแขนเสื้อยื่นให้กับนายหญิงใหญ่
“ทำไมถึงอ้วกเป็นเลือดได้ ช่วงที่ผ่านมานี้ก็ดีๆ อยู่มิใช่หรือ” นายหญิงใหญ่รับใบสั่งยามาดูพลางพูดขึ้นพึมพำ แล้วจึงรีบคลี่ใบสั่งยาออกมา อาศัยแสงสว่างในลานสวนอ่านใบสั่งยาอย่างละเอียด “ล้วนแต่เป็นยาที่บำรุงเลือดลมทั้งนั้น ถึงแม้ว่ายาจะแสนแพง แต่คนอย่างเราๆ ก็ใช่ว่าจะไม่มีปัญญาไปหาซื้อมากิน…” พูดจบก็เหมือนนึกอะไรขึ้นมาได้ นางอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นปิดปากพร้อมกับร้องไห้ออกมา
เมื่อไท่ฮูหยินเห็นนางร้องไห้เศร้าโศกเสียใจ ตัวเองก็พลอยร้องไห้ตามไปด้วย
เมื่อเหยาหวงและคนอื่นๆ เห็นแล้ว ก็ได้รีบเข้ามาปลอบใจว่า “…อย่าร้องจนร่างกายเจ็บป่วยไป ฮูหยินสี่ยังหวังที่จะฝากฝังให้พวกท่านช่วยดูแลคุณชายจุนต่อนะเจ้าคะ!”
เมื่อทั้งสองได้ยินแล้ว จึงได้รีบพากันเช็ดน้ำตา
สาวใช้ก็ได้เข้าไปช่วยประคองทั้งสองไปยังเรือนปีกทิศตะวันออกของเรือนหลัก แล้วจึงไปตักน้ำมาให้ทั้งสองได้ล้างหน้าล้างตา
เมื่อไท่ฮูหยินและนายหญิงใหญ่ล้างหน้าล้างตากันยกใหญ่เรียบร้อย พึ่งจะหย่อนตัวนั่งลง นายหญิงใหญ่ก็เริ่มน้ำตาไหลหลั่งอีกระลอก
“น้องหญิงของข้า” ไท่ฮูหยินอดกลั้นความเศร้าไว้พร้อมกับพูดโน้มน้าวนาง “หากหยวนเหนียงตื่นขึ้นมาแล้วอยากจะเจอท่านเล่า ท่านดูสีหน้าของท่านสิ จะพลอยทำให้หยวนเหนียงปวดใจเปล่าๆ”
นายหญิงใหญ่จึงได้รีบหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดน้ำตา ไท่ฮูหยินจึงได้สั่งให้บ่าวรับใช้ไปตักน้ำมาให้นายหญิงใหญ่ล้างตาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่านางเริ่มสงบลงแล้ว จึงได้ไปชงชาด้วยตัวเองให้นายหญิงใหญ่ดื่ม
นายหญิงใหญ่รับถ้วยน้ำชา พึ่งจะจิบไปได้เพียงหนึ่งคำ จู่ๆ ก็มีสาวใช้วิ่งเข้ามาเรียนว่า “ไท่ฮูหยิน นายหญิงใหญ่ ฮูหยินสี่ตื่นแล้ว อยากจะเจอพวกท่านทั้งสองเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่ได้ยินแล้วก็รีบวางถ้วยชาลงพร้อมกับเดินออกไปข้างนอกทันที แม้แต่สาวใช้ที่เข้ามาแจ้งยังวิ่งตามแทบไม่ทัน
หยวนเหนียงนอนหงายอยู่บนที่นอน เมื่อได้ยินเสียงแล้วก็รีบหันหน้ามาทันที ดวงตาของเธอมืดสนิท มองไม่เห็นอะไรทั้งสิ้น
ไท่ฮูหยินใจสั่นขึ้นมาทันที
หยวนเหนียง มองไม่เห็นแล้ว…
นายหญิงใหญ่ยังไม่ทันสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของบุตรสาวตนเอง เมื่อเข้ามาในห้องแล้วก็ตรงดิ่งมาจับมือของนางทันที “หยวนเหนียง เจ้าดีขึ้นบ้างหรือเปล่า”
นัยน์ตาของหยวนเหนียงมองไปยังทิศทางของนายหญิงใหญ่ แต่หาทิศทางไม่เจอ จึงได้หันไปอีกทาง “ท่านแม่ ท่านมาตั้งแต่เมื่อไรกัน” น้ำเสียงของนางอ่อนล้าและแผ่วเบาเป็นอย่างมาก
“พึ่งมา” ลี่ว์เอ้อร์ยกเก้าอี้มาวางลงด้านหลังของนายหญิงใหญ่ นายหญิงใหญ่จึงได้หย่อนตัวนั่งลง แล้วจึงได้ถามกับหยวนเหนียงว่า “เจ้าไม่สบายตรงไหนหรือไม่”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” หยวนเหนียงยิ้มขึ้นพร้อมกับส่ายหน้าเบาๆ “ท่านเจอกับจุนเกอแล้วหรือยัง” หยวนเหนียงพูดขึ้นอย่างยากลำบาก
“เจอแล้ว เจอแล้ว” นายหญิงใหญ่รีบตอบกลับ “เขากำลังเล่นกับเจินเจี่ยเอ๋อร์อย่างสนุกสนานเชียวล่ะ”
“ดีแล้ว” หยวนเหนียงยิ้มขึ้นพร้อมกับพูดต่อว่า “ท่านแม่ ข้าเป็นคนให้ท่านโหว…ไปรับท่านมา ข้าคิดว่าหากข้า…ไม่ไหวแล้วจริงๆ จุนเกอ…ไม่มีใครดูแลอยู่ข้างๆ…อยากจะเลือกน้องๆ…เลือกน้องสาวสักคน…ที่อ่อนโยนและซื่อสัตย์…มาดูแลจุนเกอ…”
ในที่สุดก็พูดจนจบประโยคได้!
นายหญิงใหญ่ไม่ได้รู้สึกดีใจแม้แต่น้อย แต่กลับรู้สึกปวดใจแทน ยิ่งไปกว่านั้น รู้สึกไม่คุ้มกับบุตรสาวเลยแม้แต่น้อย กว่าจะเดินมาจนถึงวันนี้ได้ กลับมาถึงปลายทางเสียแล้ว ใครจะไปรู้ว่าตัวเองจะทำชุดแต่งงานเพื่อมาให้ผู้อื่นสวมใส่แทน
นางจ้องมองใบหน้าที่ซูบผอมของบุตรสาว ในใจเจ็บปวดรวดร้าวยิ่งขึ้นไปอีก พูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว
หยวนเหนียงมองไม่เห็นสีหน้ามารดาของตน จึงได้ยื่นมือควานหาไปทั่ว “ท่านแม่ ท่านแม่…”
นายหญิงใหญ่รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก “หยวนเหนียง…” นางกุมมือของบุตรสาวไว้แน่น “ตาของเจ้า…”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” หยวนเหนียงกุมมือของมารดาไว้แน่น “แค่บางทีเวียนหัว มองไม่ชัดเจนเท่านั้น”
นายหญิงใหญ่ได้ยินแล้วก็รู้สึกใจสั่นและสับสนเป็นอย่างมาก แต่พอจะถามให้ละเอียด หยวนเหนียงก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านก็ช่วยข้าทีเถิด…เลือกน้องของข้าสักคน…มาช่วยดูแลจุนเกอที ข้าวางใจเรื่องจุนเกอไม่ได้…” พูดไปเพียงไม่กี่คำ ปากของนางก็เริ่มขาวซีดขึ้นมา
นายหญิงใหญ่พยักหน้าพร้อมน้ำตา
หยวนเหนียงทำได้เพียงถามย้ำอีกครั้ง “ได้หรือไม่เจ้าคะ”
หรือว่านางต้องการจะพูดให้ไท่ฮูหยินได้ยิน
นายหญิงใหญ่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบกลับเสียงดังว่า “ข้ารับปากเจ้า ข้ารับปากเจ้าทั้งหมด!”
หยวนเหนียงจึงยิ้มขึ้นช้าๆ แล้วค่อยๆ หันไปยังทางไท่ฮูหยิน “ท่านแม่ ท่านว่า…ท่านว่าน้องสาวข้าคนไหนดี”
ตอนที่ไท่ฮูหยินเห็นว่านายหญิงใหญ่ได้ยินหยวนเหนียงพูดว่า ‘หาน้องสาวสักคนมาดูแลจุนเกอ’ นางรู้สึกเศร้าใจเท่านั้น ไม่ได้รู้สึกตกใจแต่อย่างใด ในใจนางทบทวนเป็นพันๆ ครั้ง ตอนนี้เมื่อเห็นว่าหยวนเหนียงหันมาถามนาง นางจึงยิ้มขึ้นจางๆ “นายหญิงใหญ่เป็นมารดาแท้ๆ คุณหนูทั้งหลาย ล้วนเป็นนางที่อบรมสั่งสอนมาทั้งสิ้น คนที่คุ้นเคยและเข้าใจนิสัยใจคอเป็นอย่างดีก็คือนาง ข้าขอเพียงแค่ดีต่อจุนเกอก็พอแล้ว!”
ตอนนี้กลับเป็นนายหญิงใหญ่ที่พูดไม่ออก
หากพูดถึงสืออีเหนียงเลย จะทำให้บ้านสกุลสวีไม่พอใจเอาได้ แต่หากไม่พูดถึงสืออีเหนียง สุดท้ายเรื่องตาลปัตรเปลี่ยนเรื่องเท็จให้กลายเป็นจริงขึ้นมาเล่าจะทำอย่างไร แต่หากวันนี้ไม่พูดให้ชัดเจน ก็จะสิ้นเปลืองความตั้งใจที่ยากลำบากของบุตรสาวตนโดยเปล่าประโยชน์….
นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง หยวนเหนียงจึงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาว่า “ท่านแม่ สืออีเหนียงล่ะ ท่านเห็นเป็นอย่างไร ถึงแม้ว่าอายุจะน้อย แต่…แต่สง่างามและใจกว้าง กิริยามารยาทงดงาม…” น้ำเสียงของนางแผ่วเบาลงเรื่อยๆ
ไท่ฮูหยินอึ้งไปชั่วขณะ
นึกไม่ถึงเลยว่าหยวนเหนียงจะเลือกสืออีเหนียง!
นางจึงนึกถึงเหตุการณ์ที่ลานสวนเล็กในวันนั้นขึ้นมา
หรือว่า สืออีเหนียงก็เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้นด้วย
เมื่อความคิดนี้แล่นผ่านเข้ามาในหัว ในใจก็รู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมา
นายหญิงใหญ่เห็นว่าคำพูดนี้ถูกพูดโดยบุตรสาวของตน และรู้ว่านางจะต้องตั้งใจเป็นอย่างมาก จึงรีบพยักหน้าตอบกลับบุตรสาวของตน “เจ้าว่าดีก็ดี ข้าฟังเจ้า”
หยวนเหนียงจึงค่อยหันมาถามไท่ฮูหยินว่า “ท่าน…ท่านเห็นควรว่าอย่างไร”
ไท่ฮูหยินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ลังเลเล็กน้อย “ยังเด็กเกินไปหรือเปล่า”
“อายุค่อนข้างน้อยไปหน่อย” หยวนเหนียงยิ้มขึ้นด้วยสีหน้าที่ซีดเผือด “แต่อายุน้อยก็มีข้อดีของมัน ถึงเวลานั้น ท่านอบรมสอนสั่งสักปีสองปี ก็จะสุขุมเป็นผู้ใหญ่ขึ้น จะให้ทำการอะไรก็น่าไว้วางใจมากกว่า”
ราวกับแสงไฟที่สว่างวาบไปทั่ว ในที่สุดไท่ฮูหยินก็เข้าใจความหมายที่แท้จริง
อายุน้อย ก็จะไม่สามารถร่วมหอนอนได้…ยื้อไว้หลายๆ ปี จุนเกอก็เติบโตขึ้นมา…
นี่คือเจตนาที่สอดคล้องกับพฤติกรรมและความตั้งใจของหยวนเหนียงทั้งสิ้น!
ไท่ฮูหยินครุ่นคิดในใจ เป็นเช่นนี้ก็ดี
พี่น้องอายุห่างกันมากหน่อย ก็จะเกิดความขัดแย้งน้อยลง!
“ยังเป็นหยวนเหนียงที่คิดการรอบคอบเสมอ” ไท่ฮูหยินยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “คงต้องดูว่านายหญิงใหญ่จะคิดเห็นอย่างไรแล้ว”
ทุกอย่างผ่านพ้นไปอย่างง่ายดายไร้ซึ่งอุปสรรค…
นายหญิงใหญ่ถอนลมหายใจออกมาพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ “สืออีเหนียงเป็นเด็กที่ข้าดูแลตั้งแต่เล็กจนโต ถือได้ว่าเป็นเด็กดีคนหนึ่ง วันข้างหน้าจะต้องดีกับจุนเกออย่างแน่นอน”
เมื่อหยวนเหนียงได้ยินแล้ว ก็ค่อยๆ หลุบตาลงต่ำช้าๆ
“หยวนเหนียง!” นายหญิงใหญ่ใจสั่นไปหมด น้ำตาเอ่อไหลท่วมใบหน้า
ไท่ฮูหยินรีบเดินเข้าไปที่ข้างเตียง พร้อมกับร้องตะโกนขึ้นว่า “หยวนเหนียง”
หยวนเหนียงค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ “ท่านแม่ ข้าเหนื่อยแล้ว อยากจะนอนพักสักหน่อย!”
“ได้ ได้” นายหญิงใหญ่รีบตอบตกลง “เจ้านอนพักผ่อนเถิด ข้าจะเฝ้าเจ้าอยู่ตรงนี้”
หยวนเหนียงยิ้มขึ้นบางเบา ราวกับรอยยิ้มของเด็กน้อยก็ไม่ปาน
*****
เมื่อส่งนายหญิงใหญ่กลับไปแล้ว ไท่ฮูหยินก็ได้ไปยังเรือนปั้นเย่ว์พั่น
สวีลิ่งอี๋กำลังเขียนภาพวาดอยู่
เมื่อเห็นมารดาเดินเข้ามา เขาก็รีบวางพู่กันลง แล้วจึงรีบเดินไปรับทันที “ท่านมีธุระอะไรก็เรียกสาวใช้มาตามข้าก็ได้ เหตุใดถึงต้องลำบากมาเอง ออกจะไกลเสียขนาดนี้…”
“ข้าก็แค่อยากจะเดินเล่นก็เท่านั้น” ไท่ฮูหยินพูดพลางให้บุตรชายประคองมายังหน้าโต๊ะเขียนภาพ
ท่ามกลางหมู่เมฆและภูเขา ชายชราผู้หนึ่งสวมเสื้อฟางกำลังเดินไปตามเส้นทางอย่างโดดเดี่ยวและเดียวดายบนกระดาษเขียนภาพ
ไท่ฮูหยินมองพินิจอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ หมุนตัวนั่งลงบนเตียงหลัวฮั่น
สวีลิ่งอี๋ชงชาเหล่าจวินเหมยมาให้ไท่ฮูหยินหนึ่งกาด้วยตัวเอง
ไท่ฮูหยินรับถ้วยน้ำชามาจิบคำหนึ่ง แล้วจึงทอดสายตามองออกไปยังดอกสาลี่นอกเรือนที่บานสะพรั่งราวกับหิมะแรก นางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ดอกรอบนี้บานนานกว่าครั้งไหนๆ”
“ฤดูใบไม้ผลิปีนี้มาค่อนข้างช้า” สวีลิ่งอี๋นั่งลงบนเก้าอี้ไม้ที่มารดาของตนเป็นคนสั่งทำให้ พร้อมกับทอดสายตามองตามมารดาของตน “แต่ต้นซิ่ง [1] ข้างๆ ได้บานจนหมดและเริ่มออกเป็นผลเขียวแล้ว ท่านจะไปดูสักหน่อยหรือไม่”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็รู้สึกสนใจขึ้นมา จึงได้ลุกขึ้นพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เราไปดูกัน!”
สวีลิ่งอี๋รีบเข้าไปประคองมารดาของตน เหล่าบรรดาสาวใช้และแม่เฒ่าก็ได้พากันตามไปยังสวนต้นซิ่งที่อยู่ข้างๆ เรือนปั้นเย่ว์พั่น
แสงแดดแห่งฤดูใบไม้ผลิ ไท่ฮูหยินได้บอกเล่าเกี่ยวกับการตัดสินใจของหยวนเหนียงให้กับสวีลิ่งอี๋ “…ตอนนี้ล้วนคิดไปในทิศทางเดียวกันแล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่านิสัยใจคอของเด็กสาวคนนั้นจะเหมือนดังเช่นที่แสดงออกมาหรือเปล่า”
สวีลิ่งอี๋ชะงักฝีเท้าลง
“ท่านแม่ ไม่ว่านางจะเป็นเหมือนดังเช่นที่แสดงออกหรือไม่ ในเมื่อหยวนเหนียงกล้าที่จะให้นางมาดูแลจุนเกอแล้ว ก็จะต้องมีวิธีที่สามารถจัดการนางได้อย่างแน่นอน” เขาทอดสายตามองออกไปยังบรรยากาศรอบๆ ของฤดูใบไม้ผลิที่อบอุ่นและสดใส “ท่านก็วางใจเถิด!”
ไท่ฮูหยินจึงได้ชะงักฝีเท้าลง
มองไปยังบุตรชายของตนอย่างพินิจ
“เป็นอะไรไปขอรับ” เมื่อมารดาจู่ๆ ก็ชะงักฝีเท้าลง สวีลิ่งอี๋จึงได้ก้มมองลงมา มองเห็นสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจของมารดา เขาจึงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านอยากจะเอ่ยเรื่องใดหรือ”
“ข้าได้ยินมาว่าสวีลิ่งควนให้ตานหยางสวมใส่ชุดสาวใช้ แล้วพานางแอบไปฟังละครที่โรงน้ำชาหรือ…”
สวีลิ่งอี๋รีบยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ ท่านวางใจเถิด ข้าจะไปกล่าวตักเตือนพวกเขาเอง จะไม่ให้ท่านต้องเป็นกังวลใจอีก”
ไท่ฮูหยินจ้องมองไปยังบุตรชายของตน นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ปลงตกว่า “ไม่ต้องแล้ว พวกเขามีความสุข ข้าเองก็มีความสุขไปด้วย ตามใจพวกเขาก็แล้วกัน…” จู่ๆ ดวงตาก็มีน้ำตาซึมขึ้นมา
สวีลิ่งอี๋มองไปยังมารดาของตนอย่างไม่เข้าใจ
[1] ต้นซิ่ง ต้นแอปริคอต