ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 619 สืบเสาะ (กลาง)
สวีลิ่งอี๋มองดูรูปร่างที่งดงามของสืออีเหนียง เขายิ้มแล้วพูดว่า “พึ่งจะแต่งเข้ามา จะเป็นเช่นไร เจ้าต้องคอยสังเกตเอาไว้”
หากมีใจอยากจะเข้ามาเป็นครอบครัวเดียวกัน นางคงไม่ทำอะไรบุ่มบ่าม
สืออีเหนียงยิ้มแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ” ก่อนจะเดินไปที่เตียง จากนั้นก็พูดถึงเรื่องงานเลี้ยงวันมะรืน “ท่านโหวเจ้าคะ ในเมื่อตอนที่อวี้เกอและภรรยาของเขากลับสกุลเดิม นายหญิงเซี่ยงเชิญคนสกุลเกามาเป็นแขก ตอนที่เราเชิญคนของนายหญิงเซี่ยงมาเป็นแขก เราควรเชิญพี่ใหญ่และพี่เขยสี่ของข้ามาเป็นแขกหรือไม่”
“ได้สิ!” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “ล้วนแต่เป็นสกุลญาติ แล้วยังอยู่ที่เยี่ยนจิงด้วยกัน รู้จักกันไว้ย่อมเป็นเรื่องที่ดี”
“เช่นนั้นพรุ่งนี้ข้าจะบอกให้ฝ่ายรายงานช่วยเขียนเทียบเชิญให้ข้า” สืออีเหนียงพูด จากนั้นก็ห่มผ้าห่ม
สวีลิ่งอี๋พูดเพียง “อืม” เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดถึงเรื่องช่วงเช้าวันนี้กับสืออีเหนียง “… ข้าก็รู้ มีใครหลายคนคิดร้ายกับจิ่นเกอ ข้าไม่โทษที่เจ้าจะโมโห แต่ว่าเมล็ดข้าวที่เหมือนกันเลี้ยงคนหลายร้อยคน เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เราต้องหาวิธีป้องกัน ดังนั้นตอนที่พ่อบ้านไป๋มาบอกข้า ข้าก็คิดว่าเจ้าทำเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องแย่ จึงบอกให้พ่อบ้านไป๋ส่งพวกเขาไปให้เจ้าจัดการ” พูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดชะงัก จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “แต่ว่าเรื่องในลานข้างในและลานข้างนอกไม่เหมือนกัน ต่อไปหากเจ้าเจอเรื่องเช่นนี้อีก ไม่สู้ให้ข้าเป็นคนจัดการ ข้าก็เหมือนกับเจ้า กลัวว่าจะมีคนทำให้จิ่นเกอกลายเป็นเด็กเหลวไหล เจอกับคนเช่นนี้ ข้าไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปแน่นอน” พูดจบ บรรยากาศในห้องก็เงียบสงัด สืออีเหนียงไม่ได้พูดอะไรต่อ
หรือว่านางโกรธ?
สืออีเหนียงเป็นคนใจเย็นและมีเหตุผล แต่เมื่อเจอกับเรื่องของจิ่นเกอ นางมักจะทำตัวราวกับแม่เสือปกป้องลูกวัว เห็นใครเข้ามาใกล้ก็ขู่คำราม ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องครั้งนี้
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา สวีลิ่งอี๋พลิกตัวแล้วเรียกสืออีเหนียง แต่สิ่งที่เขาเห็นคือใบหน้างดงามที่หลับสนิทไปแล้วของนาง
เขาอดหัวเราะไม่ได้
สองวันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย นางคงจะเหนื่อยกระมัง
คิดเช่นนี้ สวีลิ่งอี๋ก็ช่วยห่มผ้าให้สืออีเหนียงอย่างนุ่มนวล รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาค่อยๆ จางหายไป
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เช่นนั้นก็ให้เขาตัดสินใจเองเถิด
*****
วันต่อมา ตอนที่สืออีเหนียงกำลังฟังเหล่าผู้ดูแลหญิงที่ห้องเก็บของรายงานเรื่องเครื่องใช้ในห้องเก็บของที่โถงบุปผา ชิวอวี่ก็เดินเข้ามาอย่างเงียบเชียบ
สืออีเหนียงไม่มองนางเลยแม้แต่น้อย จนกระทั่งท่านป้าผู้ดูแลตรวจบัญชีเสร็จแล้ว นางจิบชาสองสามจิบ จากนั้นก็หันหน้ามามองชิวอวี่
ชิวอวี่รีบเดินเข้ามาแล้วพูดเบาๆ “ฮูหยินเจ้าคะ เมื่อครู่บ่าวได้ยินว่า ท่านโหวลดตำแหน่งผู้ดูแลสองสามคนที่ฮูหยินจัดการเมื่อวานเจ้าค่ะ แล้วยังตามผู้ดูแลที่ไม่ยอมนำประทัดให้คุณชายน้อยหกออกมา มอบรางวัลให้เขาด้วยตัวเอง ให้เงินห้าสิบตำลึงและเลื่อนขั้น ตอนนี้คนในจวนกำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้เจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงรู้สึกผิด
ตอนนั้นนางเอาแต่โมโห แต่กลับลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท…
หากไม่ใช่เพราะสวีลิ่งอี๋ทำให้ผู้คนคิดว่าจัดการผู้ดูแลสองสามคนนั้นคือเจตนาของเขา นางคงจะถูกมองว่าเป็นคนเย่อหยิ่ง แล้วยังมีผลกระทบกับความน่าเกรงขามของสวีลิ่งอี๋
แต่ต่อหน้าชิวอวี่ สืออีเหนียงทำได้เพียงตอบรับ “อืม” อย่างนิ่งเฉย แล้วพูดว่า “ข้ารู้แล้ว” จากนั้นก็บอกให้สาวใช้เรียกผู้ดูแลหญิงของโรงครัวเข้ามารายงานบัญชีของงานเลี้ยง…
ชิวอวี่เดินออกไปยืนอยู่ข้างๆ
มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยินเจ้าคะ คุณชายน้อยสี่พาท่านเขยใหญ่มาลาท่านเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงรีบเชิญพวกเขาเข้ามา
สวีซื่ออวี้แต่งงาน บุตรของเจินเจี่ยเอ๋อร์ยังเล็ก นางไม่กล้าเดินทางไกล เซ่าจ้งหรานจึงมาแสดงความยินดีคนเดียว
สาวใช้ยกชาและของว่างเข้ามา สืออีเหนียงอวยพรเขาว่า “เดินทางปลอดภัย” บอกให้ป้าซ่งนำยาสมุนไพรที่จะนำไปมอบให้มารดาของเซ่าจ้งหราน รวมทั้งเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่จะนำไปมอบให้เจินเจี่ยเอ๋อร์ย้ายขึ้นไปบนรถม้าของสกุลเซ่า แล้วบอกว่า “เจินเจี่ยเไม่รู้ความ มีอะไรไม่เหมาะสม เจ้าก็ต้องคอยดูแลนาง” จากนั้นก็ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ บอกให้คนอุ้มจิ่นเกอมาแล้วออกไปส่งเซ่าจ้งหราน
เซ่าจ้งหรานโค้งคำนับขอบคุณ พี่น้องสกุลสวีออกไปส่งเขาหน้าประตูจวน เซ่าจ้งหรานเชิญพี่น้องสกุลสวีไปเที่ยวซังโจว พี่น้องสกุลสวีบอกให้เซ่าจ้งหรานมาเที่ยวเยี่ยนจิง พูดคุยกันสองสามประโยค จากนั้นเซ่าจ้งหรานก็ขึ้นรถม้า
พี่น้องสกุลสวีมองดูรถม้าแล่นออกไปจากตรอกเหอฮวาหลี่ จากนั้นพวกเขาก็กลับเข้ามาในจวน
สวีซื่ออวี้ไปส่งจิ่นเกอและเซินเกอที่ลานข้างใน สวีซื่อจุนเชิญสวีซื่อเจี้ยไปที่เรือนต้านปั๋วไจ “…หวังอวิ่นส่งโคมไฟมาให้ข้า ใช้มือเขย่าแล้วโคมไฟจะหมุนอย่างรวดเร็ว นกน้อยที่อยู่บนโคมไฟราวกับบินได้ น่าสนใจอย่างมาก”
เป็นครั้งแรกที่สวีซื่อเจี้ยส่ายหน้าให้สวีซื่อจุน “ข้าจะกลับไปอ่านหนังสือขอรับ ยามบ่ายอาจารย์จ้าวบอกว่าจะทดสอบข้า”
การเรียนเป็นเรื่องใหญ่ สวีซื่อจุนเลยไม่ได้คิดอะไร “ถ้าอย่างนั้นหากเจ้าว่างแล้วค่อยมาเล่นกันเถิด!”
สวีซื่อเจี้ยพยักหน้า จากนั้นก็แยกทางกับสวีซื่อจุนตรงทางแยก คนหนึ่งไปเรือนต้านปั๋วไจ อีกคนหนึ่งกลับไปที่เรือนของตัวเอง
นิวเอ๋อร์เพิ่งสระผมเสร็จ กำลังนั่งตากผมอยู่ใต้ชายคา
มารดาของนางคือเเม่นมของสวีซื่อเจี้ย แล้วพวกเขาก็เติบโตมาด้วยกัน ความสัมพันธ์ไม่เหมือนคนอื่น เห็นสวีซื่อเจี้ยกลับมา นางรีบยืนขึ้นย่อเข่าคำนับ ยิ้มแล้วทักทายเขา “คุณชายน้อยห้ากลับมาแล้วหรือเจ้าคะ!” นางไม่ได้ตื่นตระหนกเพราะว่าตัวเองกำลังปล่อยผม
สวีซื่อเจี้ยพยักหน้า จากนั้นก็เดินไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ไผ่ของนิวเอ๋อร์
นิวเอ๋อร์เห็นเช่นนี้ ก็เดินเข้าไปยกเก้าอี้ไม้ไผ่อีกตัวออกมานั่งข้างเขา
แสงอาทิตย์ต้นฤดูหนาวสาดส่องเข้ามา พลอยทำให้บรรยากาศดูอบอุ่น
สวีซื่อเจี้ยนั่งเท้าคางอยู่ตรงนั้น แล้วก็นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นช่วงนี้
ดูเหมือนว่าเรื่องราวต่างๆ เริ่มเกิดขึ้นเมื่องานเลี้ยงที่เชิญโต้วจิ้งและคนอื่นๆ มาร่วมงาน...ตอนแรกโต้วจิ้งใช้งานเขาราวกับบ่าวรับใช้ จากนั้นท่านแม่ที่คอยสนับสนุนเขาในทุกเรื่อง ท่านแม่ที่ยกห้องทำงานให้เขาเพราะว่าเขาชอบประดิษฐ์สิ่งของ จู่ๆ ก็ไม่ชอบให้เขาเรียนร้องงิ้ว ต่อมาคือท่านย่า…ท่านอาห้าก็ชอบร้องงิ้ว แล้วยังได้ยินบ่าวรับใช้พวกนั้นบอกว่า ท่านอาห้าแอบสนับสนุนเลี้ยงดูคณะงิ้วอยู่ข้างนอก ทุกครั้งที่สกุลเชิญคนมาร้องงิ้ว ท่านอาห้าก็จะเป็นคนจัดการ แต่เหตุใดตนถึงชอบไม่ได้เล่า ทั้งไท่ฮูหยินและท่านแม่ ทำไมถึงไม่ชอบให้เขาเรียนร้องงิ้วขนาดนี้?
เสียงตำหนิของไท่ฮูหยินในวันนั้นดังก้องเข้ามาในหูของเขาอีกครั้ง
‘พวกเจ้าเป็นบุตรชายของสกุลใหญ่สกุลโต ไม่ใช่นักแสดงงิ้ว’…ตอนที่นางพูดถึงตรงนี้ สายตาที่เฉียบคมราวกับใบมีดของท่านย่าจ้องมองมาที่เขา…‘ท่านพ่อของพวกเจ้าเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือพวกเจ้า เพราะเขาอยากให้พวกเจ้าทำเรื่องพวกนี้เช่นนั้นหรือ’…ตอนนั้นท่านย่ามองไปยังพี่สี่ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง…
เขาและพี่สี่คุกเข่าลงกับพื้นด้วยความหวาดกลัว มองดูท่าทางเกรี้ยวโกรธของท่านย่า พี่สี่ลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งไปขอโทษท่านย่า แต่ท่านย่ากลับส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง…เขาวิ่งตามไป แต่ท่านย่ากลับมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา จนกระทั่งเขาคุกเข่าลงกับพื้นอีกครั้ง สีหน้าของท่านย่าถึงได้อ่อนลง…
ราวกับมีก้อนหินตกลงกลางทะเลสาบ ความคิดในหัวของเขาแผ่กระจายราวกับระลอกคลื่น
คนในวังส่งขนมมาให้ เขาและพี่สี่ได้กันคนละกล่อง แต่ท่านย่ามักจะเปิดดูกล่องของพี่สี่แล้วหยิบออกมาป้อนพี่สี่ ยิ้มแล้วถามพี่สี่ว่าอร่อยหรือไม่ แต่กล่องที่ยื่นให้เขา กลับเป็นสาวใช้ใหญ่ที่ยื่นให้เขา…ซองแดงขึ้นปีใหม่ ท่านย่ามักจะยิ้มแล้วช่วยแขวนไว้ตรงเอวให้พี่สี่ แต่ซองแดงที่ยื่นให้เขา กลับเป็นสาวใช้ใหญ่ที่ยื่นให้เขา…เมื่อก่อนคือเว่ยจื่อ ตอนนี้คืออวี้ป่าน…เว่ยจื่อ…เขาไม่เห็นนางตั้งนานแล้ว ในความทรงจำของเขา นางหน้ากลมๆ…ตอนนั้น เขาน่าจะเด็กมาก…สามขวบ สี่ขวบ หรือว่าห้าขวบ…เขาไม่เคยคิด ไม่เคยรู้ ที่แท้ตอนที่เขาเด็กขนาดนั้น ท่านย่าก็ปฏิบัติต่อเขาไม่เหมือนพี่สี่แล้ว…
สวีซื่อเจี้ยเงยหน้าขึ้น
ภายใต้แสงแดดที่เจิดจ้า ต้นเซียงชุนตรงมุมห้องเขียวขจี ทอดสายตาออกไปก็เห็นใบไม้สีน้ำตาลกองทับกันเป็นชั้นๆ ดูหนาแน่น
มีภาพหญิงชราผมสีขาวที่สวมเสื้อผ้าดิบนั่งอยู่ใต้ต้นเซียงชุน นางกำลังพันด้าย ยิ้มแล้วเรียก ‘เฟิ่งชิง เฟิ่งชิงอย่าวิ่งไปทั่ว ข้าขายผ้าชุดนี้หมดแล้วจะซื้อขนมแป้งทอดให้เจ้าทาน!’
เขาตกใจ รีบส่ายหน้าไปมา
จากนั้น มันก็กลายเป็นภาพอื่น
ต้นเซียงชุนตั้งอยู่ตรงนั้น ใต้ต้นไม้คือก้อนหินที่แกะสลักรูปปลาไน พื้นผิวของก้อนหินแวววาว แค่ดูก็รู้ว่ามักจะมีคนมานั่งตรงนั้น
ราวกับถูกผีเข้า เขาเดินตรงเข้าไป
“ใครนั่งที่นี่” สวีซื้อเจี้ยลูบก้อนหินที่เย็นเฉียบ
นิวเอ๋อร์คิดว่าคำถามของสวีซื่อเจี้ยช่างฟังดูงี่เง่า นางหัวเราะขึ้นมา “ใครอยากนั่งก็ไปนั่งน่ะสิเจ้าคะ!”
เช่นนั้นเมื่อครู่ใครนั่งอยู่ตรงนี้กันเล่า
สวีซื่อเจี้ยยืดตัวตรงแล้วมองดูลานอย่างเหม่อลอย
‘เฟิ่งชิง เด็กดี เราไม่ไปยุ่งกับเขา!’ เสียงที่แหบแห้งแต่กลับทำให้เขารู้สึกถึงความอบอุ่นดังก้องเข้ามาในหูของเขาอีกครั้ง ‘เขาไม่พอใจ เขาจึงตีเจ้า…เราอย่าไปอยู่ใกล้เขา เขาก็จะไม่ตีเจ้า!’
ตี? ท่านแม่รักและเอ็นดูเขาขนาดนี้ ใครจะตีเขา
สวีซื่อเจี้ยกางมือออก
ผิวที่ขาวสะอาด นิ้วที่เรียวยาว งดงามกว่านิวเอ๋อร์เสียอีก
เฟิ่งชิง ใครคือเฟิ่งชิง?
หัวใจของเขาราวกับทุ่งดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิที่กำลังถูกคราดขุด มีแมลงข้างในนั้น ใบไม้ที่ยังไม่เน่าเปื่อย โชยกลิ่นแปลกๆ ออกมา…ทำให้คนรู้สึกอยากจะอ้วก แค่ได้กลิ่นก็จะอ้วก!
มีเหงื่อไหลออกมาตรงหน้าผากของเขา
“นิวเอ๋อร์ ป้าหนานเล่า” สวีซื่อเจี้ยจับมือนิวเอ๋อร์
มือของนิวเอ๋อร์ราวกับมือของป้าหนาน อบอุ่น นุ่มนวล ไม่…ไม่เหมือน มือของป้าหนานมั่นคง แค่จับก็ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย!
“คุณชายน้อยห้าตามหาแม่ของข้าหรือเจ้าคะ!” นิวเอ๋อร์รู้สึกว่าสีหน้าของสวีซื่อเจี้ยดูซีดเซียว
เขาไม่สบายตรงไหนหรือไม่ มิฉะนั้น เขาคงจะไม่ถามหามารดาของตนเช่นนี้
“ตอนนี้ น่าจะกำลังทำความสะอาดอยู่ที่เรือนเจ้าค่ะ”
ทันทีที่นางพูดจบ สวีซื่อเจี้ยก็วิ่งพรวดออกไป
เลี้ยวและเดินผ่านซอยเล็กๆ ก็ถึงมุมประตู ออกไปจากประตูก็คือลานตงคว่า
ป้าหนานอยู่ลานที่สาม แต่ว่า ตั้งแต่เขาย้ายออกมาอยู่ลานข้างนอก ท่านแม่ก็ให้นางย้ายไปอยู่ที่เรือนปีกทางทิศตะวันตก
สวีซื่อเจี้ยบุกเข้ามา
สะใภ้หนานหย่งกำลังกวาดพื้น
เห็นเขาเหงื่อออกท่วมหัว สีหน้าซีดเซียว นางก็ตกใจ “คุณชายน้อยห้าเป็นอะไรไปเจ้าคะ”
สวีซื่อเจี้ยจับมือสะใภ้หนานหย่งแน่น ราวกับคนตกน้ำที่คว้าท่อนไม้ที่ลอยมา
“ท่านป้า ยังจำเรื่องตอนที่ข้ายังเด็กได้หรือไม่” เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง “ตอนที่ข้ายังเด็ก เรื่องตอนที่ข้ายังเด็ก!”
สะใภ้หนานหย่งสีหน้าอึมครึม
ถึงเวลาแล้ว!
เขาย้ายออกมาอยู่ลานข้างนอก ถึงแม้ว่าฮูหยินอยากจะปกป้องเขาก็คงทำไม่ได้แล้ว ข่าวลือพวกนั้นไม่ช้าก็เร็วต้องแพร่กระจายมาถึงหูเขา ดังนั้นฮูหยินถึงให้นิวเอ๋อร์อยู่กับคุณชายน้อยห้า เช่นนี้ นิวเอ๋อร์จะได้มีข้ออ้างมาหาคุณชายน้อยห้า คุณชายน้อยห้ามีเรื่องอันใด นิวเอ๋อร์ก็จะได้ไปรายงานฮูหยินได้ทันท่วงที!
“บ่าวจำได้เจ้าค่ะ” ริมฝีปากของนางสั่นเทา “บ่าวเลี้ยงท่านมาตั้งแต่ยังเล็ก จะลืมได้อย่างไรเจ้าคะ!”