ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 615 โมโห (ต้น)
“แม้แต่คนของตัวเองพวกเขายังจัดการไม่ได้ แล้วยังจะทำอะไรได้อีก” สืออีเหนียงทำสีหน้าเคร่งขรึม “ท่านทำตามที่ข้าบอกเถิด” นางพูดด้วยท่าทีที่หนักแน่น
ไม่กล้าลังเล เขาเดินออกไปหาสวีลิ่งอี๋ด้วยตัวเอง
สวีลิ่งอี๋กำลังพูดคุยกับจูอานผิงและเซ่าจ้งหราน พ่อบ้านไป๋เชิญเขาออกมาเขาก็แอบแปลกใจ ฟังที่ไปที่มาของเรื่องราวแล้ว สีหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นมา
“ในเมื่อฮูหยินสี่พูดเช่นนี้ แล้วมันไม่เกี่ยวกับเรื่องของลานข้างนอก เจ้าก็จัดการตามที่ฮูหยินสี่บอกเถิด!”
พ่อบ้านไป๋ได้ฟังแล้วก็ตกใจ เขาก้มหน้าขานรับ “ขอรับ” ผ่านไปไม่นานก็หาเจอแล้วว่าบ่าวรับใช้สองสามคนนั้นเป็นคนของใคร เขาจับพวกเขามาที่ประตูฉุยฮวา ผู้ดูแลนอนคว่ำบนตั่ง บ่าวรับใช้นอนคว่ำบนพื้น นอนเรียงกันเป็นแถว จากนั้นก็เฆี่ยนตามที่สืออีเหนียงบอก
มีเสียงดังออกมาจากนอกประตูฉุยฮวา
ผู้ดูแลสองสามคน บางคนก็ไม่พูดไม่จาด้วยความอับอาย บางคนก็เอะอะโวยวายอยากเจอสวีลิ่งอี๋ แล้วยังมีคนตะโกนว่า “เจ้าเฆี่ยนพวกข้าให้ตายไปเลย”
บรรดาบ่าวรับใช้ต่างก็ตัวสั่นเทา ยามที่ถูกเฆี่ยนก็ไม่กล้าปริปากพูดอะไร เมื่อเห็นว่ามีผู้ดูแลเอะอะโวยวาย คนหนึ่งจึงเริ่มร้องไห้เสียงดังขึ้นมา ส่วนอีกคนหนึ่งก็ตะโกนว่า “ข้าถูกใส่ร้ายขอรับ”
เอะอะโวยวายอยู่หน้าประตูฉุยฮวา ทำเอาคนทั้งจวนสกุลสวีตกอกตกใจกันหมด บางคนส่งสาวใช้มาสืบว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น บางคนก็เพียงแอบมองอยู่ไกลๆ
สืออีเหนียงเรียกป้าซ่งมา ชี้ไปที่ป้ารับใช้สองคนที่เฝ้ายามวันนั้น “คนเช่นนี้ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว ส่งพวกนางออกไปจากจวนประเดี๋ยวนี้” พูดจบก็ยกยิ้มอย่างเย็นชา “ในเมื่อพวกเจ้าไม่ฟังคำพูดของข้า ข้าก็ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าพวกเจ้า”
พวกนางทำงานที่จวนหย่งผิงโหวมาทั้งชีวิต ประเดี๋ยวก็จะได้กลับบ้านเกิดแล้ว ไล่พวกนางออกไปตอนนี้ ต่อไปพวกนางจะมีชีวิตเช่นไร
ป้ารับใช้สองคนนั้นคิดไม่ถึงว่าสืออีเหนียงจะไม่เหลือทางหนีทีไล่ให้พวกนางเลยแม้แต่น้อย ได้ยินเช่นนี้ พวกนางก็คลานเข้าไปก้มหน้าตรงหน้าสืออีเหนียง “ฮูหยินเจ้าคะ พวกบ่าวผิดเองที่ไม่รู้ความ ทำให้เกิดเรื่องผิดพลาดที่ใหญ่หลวงแบบนี้ ขอร้องท่านเห็นแก่ที่พวกบ่าวเคยรับใช้ไท่ฮูหยิน อภัยความผิดครั้งนี้ให้บ่าว ต่อไปบ่าวจะตั้งใจรับใช้ท่านและคุณชายน้อยหกอย่างสุดความสามารถเจ้าค่ะ…”
สืออีเหนียงไม่รอให้นางพูดจบ ก็สะบัดมือให้ป้าซ่ง ส่งสัญญาณให้นางรีบพาพวกนางออกไป
“ในเมื่อเจ้าคือคนที่เคยรับใช้ไท่ฮูหยิน เจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าเรื่องอันใดควรทำ เรื่องอันใดไม่ควรทำ แต่ว่าพวกเจ้ากลับไม่รู้ผิดชอบชั่วดี เห็นว่าตัวเองเคยรับใช้ไท่ฮูหยิน จึงทำตัวเย่อหยิ่ง ไม่สนใจคำพูดของข้า ไม่สนใจคุณชายน้อยทั้งสองคนเลยแม้แต่น้อย ข้าต้องสั่งสอนพวกเจ้าแทนไท่ฮูหยิน”
ในขณะที่นางกำลังพูด ป้าซ่งก็พาป้ารับใช้อีกสองคนเข้ามา เมื่อสืออีเหนียงพูดจบ พวกนางก็เดินเข้ามาจับป้ารับใช้สองคนนั้นออกไป
จวนสกุลสวีราวกับกำลังระเบิดเป็นโจ๊กก็ไม่ปาน
“นางจะทำอะไร” ฮูหยินสองขมวดคิ้ว “ข้ามหน้าข้ามตาท่านโหวจัดการผู้ดูแลลานข้างนอก ต่อไปยังจะแบ่งลานข้างนอกลานข้างในได้เช่นไร บรรดาผู้ดูแลเหล่านั้นจะฟังคำสั่งใคร ความน่าเกรงขามของท่านโหวอยู่ที่ไหน”
แต่ฮูหยินห้ากลับหัวเราะ
“ไม่เลว! บ่าวรับใช้ชั้นต่ำ รู้จักแต่ประจบสอพลอเจ้านาย ไม่สนใจแม้แต่ความปลอดภัยของเจ้านายตัวเอง” นางพูดต่ออีกว่า “แต่ว่าหากเป็นเช่นนี้ เกรงว่าผู้ดูแลลานข้างนอกคงจะไม่พอใจนาง ข้าคิดไม่ถึงว่าครั้งนี้สืออีเหนียงจะทำอะไรบุ่มบ่ามเช่นนี้” พูดจบ นางก็หันหน้ากลับมา “เรื่องทุกอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสีย ถือโอกาสตอนที่บุตรชายและลูกสะใภ้กลับสกุลเดิมสร้างความน่าเกรงขามของตัวเองต่อบรรดาผู้ดูแล แล้วยังทำเรื่องให้มันใหญ่โตเช่นนี้ เมื่อลูกสะใภ้กลับมา ไม่อยากรู้ก็คงจะยาก ต่อไปหากลูกสะใภ้มาเจอตัวเอง ลูกสะใภ้ก็ต้องทำอะไรรอบคอบมากขึ้น”
ชีเหนียงบอกให้สาวใช้ช่วยเช็ดมือให้จี้เกอที่ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษขนม นางยิ้มแล้วพูดว่า “น้องหญิงสิบเอ็ดไม่ได้เจ้าเล่ห์เหมือนที่เจ้าพูด มันก็แค่เป็นเรื่องบังเอิญ คนเป็นแม่คน ใครเจอเรื่องเช่นนี้ก็คงจะโมโหกันทั้งนั้น”
“ก็จริง” ฮูหยินห้ายิ้มแล้วถามป้าสือ “เซินเกอเล่า อยู่ที่ใด”
ป้าสือยิ้ม “บอกว่าไปหาคุณชายน้อยหกเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินห้าพูด “ไปตามเขากลับมา ไม่เห็นหรือว่าจี้เกออยู่ที่นี่”
ป้าสือตอบรับ
แต่ชีเหนียงกลับห้ามนางไว้ “จี้เกอขี้กลัว ปล่อยเขาออกไปเขาก็ไม่กล้าไปไหน ให้เขานั่งฟังพวกเราพูดคุยกันอยู่ที่นี่เถิด”
ฮูหยินห้าถอนหายใจ “จี้เกอของเจ้าช่างรู้ความ ไม่เหมือนลูกๆ ของข้า คนหนึ่งไม่เห็นแม้แต่เงา ส่วนอีกคนหนึ่งพอไม่เจอหน้าข้าก็ร้องไห้งอแง”
“มารดารังแกทารกน้อยหรอกหรือ!”
ฮูหยินห้าได้ฟังแล้วก็หัวเราะ นางเช็ดมือให้จี้เกอที่ทานขนมอยู่ข้างๆ อย่างรู้ความ พูดคุยกับชีเหนียง รอสาวใช้ที่ออกไปดูความครื้นเครงที่เรือนหลักกลับมารายงาน
ไท่ฮูหยินเป็นกังวล
นางนั่งมองดูต้นการบูรนอกห้องที่ยังคงเขียวขจีอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่าง ไม่พูดอะไรอยู่นานด้วยสีหน้าที่คลุมเครือ
ป้าตู้วางถ้วยชาไว้หน้าไท่ฮูหยินเบาๆ จากนั้นก็พูดว่า “ท่านบอกว่าฮูหยินสี่ทำอะไรรอบคอบไม่ใช่หรือเจ้าคะ ฮูหยินสี่ไม่ใช่คนไม่รู้ความ ท่านไม่ต้องเป็นห่วงหรอกเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินถอนหายใจ ถือถ้วยชาขึ้นมาจิบด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลายลง “นางทำเช่นนี้ ต่อไปผู้ดูแลลานข้างนอกคนไหนจะกล้าเข้าใกล้จิ่นเกอ…” นางพูด “แต่ว่าเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน เด็กดีๆ จะได้ไม่ถูกคนพวกนั้นยุยงทำเรื่องไม่ดี” ถึงแม้ว่านางจะพูดว่าเช่นนี้ แต่เมื่อนึกถึงจิ่นเกอที่ร่างเริงสดใส สายตาของนางก็มีความเศร้าโศก
เรื่องนี้มันละเอียดอ่อนเกินไป
ป้าตู้ไม่พูดอะไร
มีสาวใช้รายงานผ่านม่าน “ไท่ฮูหยินเจ้าคะ เก๋อจินขอพบท่านเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินและป้าตู้ตกใจ
*****
เสียงร้องเอะอะโวยวายที่หน้าประตูฉุยฮวาดังไปทั่วลานหลัก บรรดาสาวใช้และป้ารับใช้ต่างก็หวาดกลัวจนไม่กล้าหายใจ
จู๋เซียงเดินผ่านทางเดินในลานหลักด้วยท่าทางที่เคร่งขรึม จากนั้นก็ยืนมองอยู่ใต้ชายคาประตูฉุยฮวาอย่างนิ่งสงบ
นางมองดูผู้ดูแลและบ่าวรับใช้ที่ถูกเฆี่ยนอย่างเย็นชา จากนั้นก็ตะโกนเสียงดังว่า “ฮูหยินให้ข้ามาถามพวกเจ้า บ่าวรับใช้ลานข้างนอกบุกเข้ามาลานหลัก ต่อล้อต่อเถียงกับคุณชายน้อยห้า ยุยงให้คุณชายน้อยหกเล่นประทัด ฮูหยินใส่ร้ายพวกเจ้าเช่นนั้นหรือ”
ไม่ว่าจะเป็นผู้ถูกเฆี่ยนหรือคนเฆี่ยน ล้วนแต่ตกใจกับการปรากฏตัวที่กะทันหันของนาง พวกเขามองดูจู๋เซียงที่สวมเสื้อกั๊กสีแดงดอกกุหลาบ หยุดร้องไห้เอะอะโวยวาย บรรยากาศพลันเงียบสงัดราวกับได้ยินเสียงลมที่พัดผ่านมา
ทันใดนั้นก็มีผู้ดูแลคนหนึ่งได้สติกลับมา เขาแก้ตัว “วันนั้นวุ่นวาย เราต่างก็มีหน้าที่ของตัวเอง…”
จู๋เซียงพูดขัดจังหวะผู้ดูแลคนนั้นทันที “วุ่นวาย? หน้าที่ในจวนของเรา แบ่งแยกชัดเจนตลอด จะวุ่นวายได้เช่นไร หรือว่ายังมีเรื่องอันใดที่ฮูหยินของข้าไม่รู้เช่นนั้นหรือ”
ผู้ดูแลคนนั้นกลืนคำพูดที่ยังพูดไม่จบลงไปในท้องทันที
หากยอมรับว่าตอนนั้นวุ่นวาย ความผิดก็จะกลายเป็นของพ่อบ้านไป๋ ด้วยสถานะของพ่อบ้านไป๋ แน่นอนว่าท่านโหวไม่มีทางทำอะไรเขา แต่พวกเขาไม่เหมือนกัน การที่พวกเขาเอะอะโวยวายเช่นนี้ ก็เพราะหวังว่าพ่อบ้านไป๋จะเห็นแก่ที่พวกเขาเคารพพ่อบ้านไป๋มาตลอด หวังว่าพ่อบ้านไป๋จะช่วยพูดให้พวกเขาต่อหน้าท่านโหวและฮูหยิน
ทันใดนั้นก็มีผู้ดูแลอีกคนหนึ่งเบิกตาใส่ผู้ดูแลคนนั้น จากนั้นก็ช่วยพูด “แม่นาง พวกข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น แต่ตอนนั้นพวกข้ายุ่งมากจริงๆ…”
จู๋เซียงสะบัดมือ บอกพวกเขาว่าไม่ต้องพูดอะไรอีกด้วยสีหน้าเรียบเฉย“คุณชายน้อยสองแต่งงาน คนในจวนก็ยุ่งกันทั้งนั้น แต่เหตุใดบ่าวรับใช้ของพวกเจ้าถึงบุกเข้ามาที่ลานหลัก ไม่เห็นบ่าวรับใช้ของคนอื่นจะบุกเข้ามา? ฮูหยินให้ข้ามาถามพวกเจ้า ว่าที่พวกเจ้าร้องไห้เอะอะโวยวายเช่นนี้ เพราะคิดว่าตัวเองไม่ผิดอย่างนั้นหรือ”
บรรดาผู้ดูแลพลันพูดไม่ออกทันที
สายตาของจู๋เซียงมองไปยังคนเฆี่ยน “ฮูหยินบอกว่า คนที่ร้องไห้เอะอะโวยวายไม่ยอมหยุด ถึงแม้ว่าจะถูกเฆี่ยน แต่ก็ไม่มีทางรู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด เฆี่ยนเพิ่มอีกยี่สิบที!”
ทันทีที่นางพูดเช่นนี้ สีหน้าของทุกคนก็เปลี่ยนไป
มีผู้ดูแลคนหนึ่งพูดว่า “แม่นาง อย่างน้อยพวกข้าก็เป็นผู้ดูแลที่มีหน้ามีตา…”
“มีหน้ามีตา?” จู๋เซียงแค่นเสียงเบาด้วยสายตาที่ดูถูก “มีหน้ามีตาก็เพราะว่าเจ้านาย หากไม่มีเจ้านายสนับสนุน คงไม่รู้ว่าหน้าตาของพวกเจ้าอยู่ที่ไหน!” จากนั้นก็ชี้ไปที่ผู้ดูแลคนนั้น “เฆี่ยนเพิ่มอีกยี่สิบที” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่แยแส ทำให้ทุกคนหวาดกลัว
คนเฆี่ยนรีบก้มหน้าขานรับ “ขอรับ”
เสียงแผ่นไม้ที่กระทบกับเสียงลม ทำให้เกิดเพียงเสียง ปัง! และไม่มีเสียงอะไรแทรกเข้ามาอีกเลย
จู๋เซียงหันหลังกลับ เดินเข้าไปในห้องโถงด้วยท่าทีอกผายไหล่ผึ่ง จากนั้นก็รู้สึกได้ถึงเหงื่อที่ออกท่วมหลังของตัวเอง
สืออีเหนียงนั่งอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่างในเรือนหน่วนเก๋อ กำลังมองดูจิ่นเกอวาดไก่อยู่ข้างๆ ได้ยินเสียง แต่สายตาของนางก็ยังมองดูกระดาษเฉิงซินสีขาว ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมามองจู๋เซี่ยง
“หยุดร้องแล้วหรือ” นางพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
จู๋เซียงย่อเข่าคำนับแล้วขานรับ
จิ่นเกอได้ยินเช่นนี้ก็เงยหน้ามองมารดา สายตาของเขาเป็นประกายด้วยความสงสัย “ท่านแม่ขอรับ หากพวกเขายังร้องต่อ ท่านแม่จะเฆี่ยนพวกเขาเพิ่มหรือ”
“ใช่แล้ว!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วลูบหัวเขา “อย่าด่วนตัดสินใจ แต่หากตัดสินใจไปแล้ว ไม่ว่าจะเจอปัญหาอะไร ก็ต้องยืนหยัดต่อไป” นางก็ชี้ไปที่ภาพวาดของเขา “เหมือนเมื่อครู่เจ้าไม่รู้ว่าจะวาดอะไร แต่เมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะวาดไก่ เช่นนั้นก็ต้องวาดมันให้สำเร็จ จะวาดแค่ตัวและหัวของไก่ แต่กลับไม่วาดเท้าของมันเพราะเรื่องอื่นไม่ได้”
จิ่นเกอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพยักหน้า “เช่นนั้นข้าจะวาดไก่ให้เสร็จ” เขาก้มหน้าลงวาดไก่ทั้งตัว
มีสาวใช้เดินเข้ามารายงานด้วยความหวาดกลัว “ฮูหยินเจ้าคะ สี่เอ๋อร์ขอพบท่านเจ้าค่ะ!”
เพราะว่าสวีซื่ออวี้แต่งงาน อาจารย์จ้าวให้สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยหยุดเรียนสามวัน ยามเช้าสวีซื่อเจี้ยมาคารวะสืออีเหนียง สืออีเหนียงถามเขา เขาบอกว่าวันนี้ยามบ่ายจะไปฝึกเขียนหนังสือที่เรือนของสวีซื่อจุน
ตอนนี้ สี่เอ๋อร์ต้องอยู่รับใช้สวีซื่อเจี้ยไม่ใช่หรือ ไม่รู้ว่านางมาหาตัวเองทำไม
สืออีเหนียงครุ่นคิด จากนั้นก็พูดช้าๆ “ให้นางเข้ามา”
“ฮูหยินเจ้าคะ!” สี่เอ๋อร์หน้าซีด นางพูดตะกุกตะกัก “คุณชายน้อยห้า คุณชายน้อยห้าก่อเรื่องแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงตกใจ
ในบรรดาลูกๆ ทั้งหมด สวีซื่อเจี้ยไร้เดียงสามากที่สุด มีแค่อาหารเขาก็พอใจแล้ว ใครเย็นชาหรือว่าห่างเหินกับเขา เขาก็ไม่คิดเล็กคิดน้อย ไม่เหมือนสวีซื่ออวี้ที่ชอบคิดมาก และสวีซื่อจุนที่อ่อนไหวง่าย แล้วก็ไม่เหมือนจิ่นเกอที่ดื้อรั้น ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยขัดแย้งกับใคร
เขาก่อเรื่อง?
ก่อเรื่องอะไร…