ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 612 สงสัย (ต้น)
สวีลิ่งอี๋นึกถึงความอ่อนล้าเมื่อครู่นี้ของสืออีเหนียง กอดนางพลางหอมแก้มแล้วพูดเสียงเบาว่า “รีบนอนเถิด!”
มีบางอย่างติดอยู่ในใจของสืออีเหนียง เมื่อถูกปลุกให้ตื่นแล้ว ไหนเลยจะหลับต่อได้ นางซุกตัวเข้าไปในอ้อมแขนของสวีลิ่งอี๋ ลังเลว่าจะบอกสวีลิ่งอี๋เรื่องของสวีซื่อเจี้ยดีหรือไม่
เมื่อสวีลิ่งอี๋เห็นว่านางไม่ง่วงแล้ว คิดว่าเป็นเพราะนางเหนื่อยเกินไป จึงลูบหลังนางเบาๆ เหมือนตอนที่สุขภาพนางไม่ดีในช่วงหลายปีที่ผ่านมา กล่อมนางให้หลับ “ยุ่งอีกสองวันก็จะจบแล้ว เจ้าทนไปก่อน เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราค่อยพาจิ่นเกอไปพักที่เรือนซีซานสักระยะหนึ่ง เจ้าจะได้พักผ่อนเยอะๆ ”
เช่นนั้นใครจะเป็นดูแลเรื่องในจวน ใครจะเป็นคนปรนนิบัติไท่ฮูหยิน จะมอบหมายให้ลูกสะใภ้ที่พึ่งเข้าจวนมาอย่างนั้นหรือ อย่าลืมว่าภรรยาของสวีซื่ออวี้เป็นลูกสะใภ้คนโตของอนุ เมื่อถึงเวลานั้นยังไม่รู้ว่าผู้คนจะพูดกันไปทางไหน สืออีเหนียงไม่เคยตั้งหน้าตั้งตารอให้คุณหนูเก้าสกุลเจียงเข้าจวนมาเร็วๆ ขนาดนี้มาก่อน เมื่อถึงเวลานั้นนางก็จะได้มอบหมายเรื่องเหล่านี้ให้เป็นหน้าที่ของภรรยาของสวีซื่อจุน
นางหัวเราะเบาๆ “ข้าก็แค่นั่งขยับปากอยู่ในห้องโถงบุปผาเท่านั้น ไม่ลำบากเท่าท่านโหวหรอกกระมัง” แล้วพูดต่ออีกว่า “ครอบครัวเรานั้นเป็นครอบครัวใหญ่ ใช่ว่าท่านโหวพูดว่าจะไปพักผ่อนก็ไปได้” จากนั้นก็พูดอย่างลังเลว่า “ท่านโหว วันนี้มีเรื่องเกิดขึ้นเจ้าค่ะ…”
สวีลิ่งอี๋กำลังตกตะลึงว่าตัวเองเพิ่งพูดอะไรออกไปเมื่อครู่นี้
เหตุใดถึงได้พูดอะไรแบบนั้นออกมาได้
ลืมสนใจสืออีเหนียงโดยสิ้นเชิง…
เขารู้สึกระอายใจ
แต่ก็อดคิดอย่างละเอียดไม่ได้
สืออีเหนียงต้องการเงินเท่าไร อยากได้ของหายากแบบไหน สำหรับเขาแล้วนั่นไม่ใช่เรื่องยากเลย แค่จัดการแล้วก็ส่งไปให้อย่างเงียบๆ ก็ได้แล้ว แต่กลับมีความคิดที่จะพานางกับจิ่นเกอออกไปเที่ยวเล่นเช่นนี้ ยากกว่าปีนขึ้นสวรรค์เสียอีก
หรือว่าเป็นเพราะเหตุนี้ เวลาที่เห็นนางลำบาก เขาเลยได้พูดออกมา
ในใจสับสนวุ่นวาย สืออีเหนียงพยายามจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับสวีซื่อเจี้ยให้เขาฟังอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ
สวีลิ่งอี๋กังวลใจ
นับเป็นครั้งแรกที่สืออีเหนียงเป็นประธานในการจัดงานใหญ่เช่นนี้…
มือของเขาเลื่อนผ่านผมสีดำขลับไปลูบศีรษะนางเบาๆ “เกิดอะไรขึ้น” รอยยิ้มจางลง สีหน้าไม่มีความกังวล แสดงท่าทางเคร่งขรึมเล็กน้อย
สืออีเหนียงยิ่งลังเลกว่าเดิม
สวีลิ่งอี๋เป็นบิดาที่เคร่งครัด ถ้าหากเขารู้เรื่องของสวีซื่อเจี้ย เขาจะตำหนิสวีซื่อเจี้ยอย่างรุนแรงหรือไม่ เดิมทีสถานการณ์ของสวีซื่อเจี้ยก็ลำบากมากพอแล้ว ถ้าหากสูญเสียการปกป้องของสวีลิ่งอี๋ไปอีก…
สืออีเหนียงเป็นคนตรงไปตรงมาเสมอ ยากนักที่จะมีช่วงเวลาที่ดูลำบากใจเช่นนี้
สวีลิ่งอี๋เห็นดังนั้นก็แอบรู้สึกกังวล แต่ไม่กล้าแสดงสีหน้าออกมาแม้แต่นิดเดียว กลับยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร! ยังมีเวลาอีกสองชั่วยามก่อนรุ่งสาง ในสองชั่วยามนี้ ต่อให้เจ้าทุบหม้อทองแดงที่ตั้งอยู่ในห้องโถงใหญ่ของจวนเราแตก พ่อบ้านไป๋ก็สามารถหาวิธีที่จะหาหม้อทองแดงที่คล้ายคลึงกันมาทดแทนได้”
เขาคงเข้าใจผิดคิดว่านางทำอะไรผิดไปกระมัง
ใจของสืออีเหนียงพลันสงบลงทันที รู้สึกว่าก่อนหน้านี้นางกังวลจนเกินไป
“ข้าหมายถึงเจี้ยเกอเจ้าค่ะ!” นางพูดอย่างอ่อนโยนว่า “วันนี้เขาดูละครงิ้วเป็นเพื่อนท่านแม่ที่ห้องโถงบุปผา…” เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เขาฟังอย่างละเอียด
สวีลิ่งอี๋ได้ฟังดังนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
สืออีเหนียงเข้าจวนมาตั้งหลายปีกว่าจะตั้งครรภ์ เขาสงสัยมาตลอดว่านายหญิงใหญ่ได้เล่นตุกติกอะไรหรือไม่…แม้แต่ตอนนี้เขาก็ยังมีข้อสงสัยอยู่บ้าง เพราะหลายปีมานี้เขามุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่สืออีเหนียง แต่เหตุใดสืออีเหนียงกลับมีจิ่นเกอเพียงคนเดียว
ดังนั้นเวลาเห็นสืออีเหนียงปฏิบัติต่อสวีซื่อเจี้ยราวกับเป็นลูกของตัวเอง แม้ว่าเขาจะรู้สึกว่านี่จะไม่เป็นผลดีสำหรับสวีซื่อเจี้ยที่ถูกเลี้ยงดูภายใต้ชื่อของถงซื่อในฐานะบุตรชายของอนุ แต่เมื่อคิดได้ว่าสืออีเหนียงยังไม่มีบุตร ถ้าหาก…ใครเลี้ยงก็จะสนิทกับคนนั้น ต่อไปสืออีเหนียงก็จะได้มีที่พึ่ง จึงได้เอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ต่อมาพอมีจิ่นเกอ ก็เห็นว่าสืออีเหนียงยังคงปฏิบัติต่อสวีซื่อเจี้ยเหมือนเช่นเคย เห็นได้ชัดว่ามีความผูกพัน คิดว่าถ้าหากเด็กคนนี้ทำตัวไม่ดี หลังจากสิบปีแล้วก็จะให้ย้ายไปอยู่เรือนนอก แล้วค่อยคิดหาวิธีหาอาจารย์ที่เก่งกาจสักหนึ่งท่านมาค่อยๆ สอนเขาก็ยังไม่สาย นี่ก็เป็นเหตุผลที่ตั้งชื่อให้เด็กคนนั้นว่า ‘เจี้ย’ ในตอนนั้น เพราะหวังว่าเขาจะทำตามกฎเกณฑ์และรักษาจิตใจที่บริสุทธิ์ไว้ได้ แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะได้รับการสอนมาอย่างดี แต่ปัญหากลับอยู่ที่สืออีเหนียง
นางไม่เคยเลี้ยงดูเด็กคนนี้เหมือนเป็นบุตรอนุ
แต่ผู้คนมักจะยกย่องคนจากชาติกำเนิด ซึ่งข้อเรียกร้องที่มีต่อบุตรอนุมักโหดร้ายกว่าบุตรภรรยาเอกเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นชาติกำเนิดของสวีซื่อเจี้ยก็ไม่ชัดเจน ถ้าหากมีชื่อเสียงเสื่อมเสีย ก็คงยากที่จะลุกขึ้นยืนได้อีกครั้ง!
แต่ว่าสตรีก็มักจะเป็นเช่นนี้ อย่างเช่นพวกลูกหมาลูกแมว เลี้ยงไปเลี้ยงมาก็เกิดความผูกพัน นับประสาอะไรกับเด็กคนหนึ่ง!
เขาอดถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ กอดสืออีเหนียงไว้แน่นในอ้อมแขนของเขา
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร เรื่องนี้จัดการได้!” สวีลิ่งอี๋เอาคางเกยศีรษะสืออีเหนียง “ใกล้จะตรุษจีนแล้วไม่ใช่หรือ เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะให้เจี้ยเกอไปจุดธูป โขกศีรษะคำนับถงซื่อ บางเรื่องไม่ต้องพูดก็เข้าใจได้”
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย
ปกติไม่เคยเป็นเช่นนี้!
เมื่อสวีลิ่งอี๋เห็นว่านางไม่พูดอะไร ก็คิดว่านางเสียใจ พูดเสียงเบาว่า “เมื่อก่อนเป็นเพราะเจ้าตัวคนเดียว เขาก็อายุยังน้อย ไม่รู้ความ ในเมื่อตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ เจ้าก็ไม่สามารถเอาแต่ปกป้องเขาได้แล้ว ให้เขารู้เร็วหน่อยก็ดี!”
สืออีเหนียงคิดถึงงานเลี้ยงครั้งนั้นของสวีซื่อจุน
เด็กเหล่านั้นล้วนเป็นคนชั้นสูงในสังคม เขาเรียนรู้เรื่องมารยาทและความเป็นมิตรจากการแนะนำของบิดาและพี่ชาย แต่บางครั้งที่สวีซื่อเจี้ยทำให้พวกเขาขุ่นเคือง พวกเขากลับดูถูกอย่างไม่เห็นแก่ความรู้สึกของเจี้ยเกอ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนธรรมดาทั่วไป!
สืออีเหนียงรู้สึกเสียใจ น่าจะบอกให้เขารู้เกี่ยวกับความโหดเหี้ยมของสังคมนี้เสียตั้งนานแล้ว
เด็กย่อมต้องเติบโตขึ้น ไปในที่ที่นางไม่มีวันไปถึง ในตอนที่เขายังเล็ก ตอนที่นางยังปกป้องเขาได้ ก็จะพยายามทำให้เขารู้สึกอบอุ่นให้มากที่สุด ในระหว่างทางของเขา หากต้องเจอกับลมพายุหิมะ จะทำให้เขายิ่งเข้มแข็งขึ้นหรือไม่
แต่นางก็รู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดอะไร
ในขณะที่กำลังสับสนวุ่นวาย เสียงอันอ่อนโยนของสวีลิ่งอี๋ก็ดังขึ้นข้างหูสืออีเหนียง “เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว เจ้ากังวลใจไปก็ไม่มีประโยชน์ โชคดีที่ทุกคนรู้ว่าเขาเป็นบุตรชายของข้า ต่อให้เหมือนเจ้าห้า เจ้าห้าก็เป็นอาของเขา ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร สตรีอย่างพวกเจ้าชอบคิดมาก กังวลโดยไม่จำเป็น!”
ถูกบิดาแท้ๆ อุ้มกลับมาเลี้ยง ก็เหมือนกับได้รับการยอมรับจากครอบครัว ด้วยเหตุผลแบบนี้ แม้เด็กจะเกิดนอกจวน แต่ในสายตาคนทั้งโลกก็คงนับว่าเป็นความโชคดี
สืออีเหนียงหัวเราะขึ้นมา
บางทีตนอาจจะคิดมากไปจริงๆ
ในเรือนก็ไม่ได้มีละครงิ้วทุกวัน และสวีซื่อเจี้ยก็ไม่ได้รู้สึกเบื่อหน่ายแบบนี้ทุกวันเสียหน่อย…
นางถอนหายใจ สีหน้าดูผ่อนคลายมากขึ้น
สวีลิ่งอี๋หัวเราะ “รีบนอนเถิด! พรุ่งนี้ยังต้องรับน้ำชาจากลูกสะใภ้คนใหม่ จวนอื่นแต่งลูกสะใภ้เจ้ากลับแต่งตัวงดงามยิ่งกว่าสะใภ้ที่แต่งเข้าจวนเสียอีก ไม่ใช่ว่าพอถึงตาตัวเองแต่งลูกสะใภ้แต่กลับหน้าดำคร่ำเครียด”
อาจเป็นสวีลิ่งอี๋ที่ช่วยนางแก้ปัญหาใหญ่ ในใจจึงรู้สึกปิติจนไม่อยากนอนแล้ว สืออีเหนียงพูดออดอ้อนว่า “ข้าเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับสะใภ้จวนอื่นตั้งแต่เมื่อไร” แล้วถามต่ออีกว่า “ท่านโหวไปฟังใครพูดจาเหลวไหลมากันเจ้าคะ”
“ซื่อเจิงเป็นคนบอกข้า” เมื่อสวีลิ่งอี๋เห็นว่าสืออีเหนียงร่าเริงขึ้น สีหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม จึงรู้สึกมีความสุขขึ้นมาด้วย พูดติดตลกว่า “บอกว่าเป็นโจวฮูหยินที่กลับไปบอกเขาว่าสะใภ้จวนอื่นสวมชุดเจ้าสาวสีแดง เจ้าก็ใส่สีแดงด้วย ซ้ำยังปักลายสีเขียวแมลงทับไว้ด้านใน ทุกคนในงานต่างก็ไม่มองเจ้าสาว พากันมองเจ้ากันหมด ปรากฏว่าพอถึงวันตรุษจีน นายหญิงสี่สกุลถังก็ทำชุดเหมือนกับเจ้า”
“อะไรกันเจ้าคะ!” สืออีเหนียงพูดเสียงเบาว่า “นั่นเป็นเพราะว่าข้าผอมเกินไป ทำให้ใส่สีแดงเข้มไม่สวย จึงคิดหาวิธีปักลายเถาวัลย์สีเขียวแมลงทับเป็นแนวนอนสองสามแถว…”
“เช่นนั้นพรุ่งนี้เตรียมจะใส่ชุดอะไร” สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางถามนาง จากนั้นก็ลูบที่ใบหูของนาง “สวมต่างหูทองคำคู่นั้นที่ข้าให้สิ”
ติ่งหูของสืออีเหนียงเป็นรูปหยดน้ำ เมื่อสวมต่างหูทองคำเล็กๆ จะทำให้ดูเรียบร้อยอ่อนช้อยมากยิ่งขึ้น คนเฒ่าคนแก่บอกว่านี่นับเป็นโชคดี ตอนวันไหว้พระจันทร์ เขาจึงได้ให้คนช่วยทำต่างหูลูกท้อทองคำเล็กๆ คู่หนึ่งโดยเฉพาะ
ต่างหูมีขนาดเล็กเท่าเม็ดข้าวสาร มีการแกะสลักเป็นคำมงคล และรูปลูกท้อเล็กๆ ห้าลูก แค่เห็นก็รู้ว่าฝีมือของช่างประณีตเพียงใด สืออีเหนียงชื่นชอบเป็นอย่างมาก คิดว่าเวลารับน้ำชาจากลูกสะใภ้ต้องสวมชุดมงคลสีแดงเข้ม ดังนั้นจึงเก็บไว้เสมอมา เตรียมจะใส่ในวันแต่งงานของสวีซื่ออวี้อยู่แล้ว คำขอของสวีลิ่งอี๋ตรงกับสิ่งที่นางคิดเอาไว้พอดี จึงยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าค่ะ” ร่างกายของนางสั่นเล็กน้อยจากการลูบไล้ของสวีลิ่งอี๋
นางรีบหันหน้าหนีหลบมือของสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ประหลาดใจ
ทันใดนั้นเขาก็เข้าใจอย่างรวดเร็ว
เขาหัวเราะที่ข้างหูนาง แล้วดูดเบาๆ ลงบนคอระหงของนาง นึกขึ้นได้ว่าอีกสักครู่นางต้องรับน้ำชาจากลูกสะใภ้ จึงเลื่อนริมฝีปากลงมาหยุดอยู่ที่กระดูกไหปลาร้าอันบอบบางแทน
“ท่านโหว!” สืออีเหนียงทั้งกังวลทั้งโกรธ เตือนเขาว่า “ฟ้าใกล้จะสางแล้ว!” รู้สึกว่ามีเหตุผลไม่พอเลยพูดต่ออีกว่า “ระดูข้าก็มาแล้วเจ้าค่ะ!”
“ข้ารู้!” มือใหญ่ที่อ่อนโยนของสวีลิ่งอี๋ลูบไล้ร่างกายของนาง กระซิบเบาๆ ว่า “เจ้านอนเถิด ข้าแค่อยากกอดเจ้า”
แบบนี้นางจะนอนหลับหรือ
สืออีเหนียงรู้สึกว่าร่างกายของนางเริ่มสั่นเล็กน้อย จึงลุกขึ้นนั่งด้วยความโกรธเคือง “ข้าจะไปนอนบนเตียงเตา!” พูดพลางหอบผ้าห่มจะลงจากเตียง
สวีลิ่งอี๋กอดนางจากด้านหลัง “เช่นนั้นพวกเราไปนอนที่เตียงเตาด้วยกัน!”
เช่นนั้นมันต่างกันตรงไหน!
สืออีเหนียงพลันรู้สึกจนปัญญา
สวีลิ่งอี๋ใช้โอกาสนี้กอดนางไว้ในผ้าห่ม
ทั้งสองคนนอนลงอีกครั้ง เขาไม่ได้แกล้งนางอีก ถามนางเสียงเบาว่า “ตอนนี้ดีขึ้นหรือยัง” เอามือปิดที่ตากลมโตของนาง หัวเราะแล้วพูดเบาๆ ว่า “รีบนอนเถิด! ระวังพรุ่งนี้จะถูกลูกสะใภ้หัวเราะเอา!”
เขาคิดจะทำให้ตัวเองเหนื่อยจนหลับไปเองหรือ
สืออีเหนียงจับมือใหญ่ของเขาที่กำลังปิดตาของนาง เงียบไปนานก่อนจะพูดเบาๆ ว่า “เจ้าค่ะ” หลับตาลง จากนั้นไม่นานก็ผล็อยหลับไป
******
เช้าวันรุ่งขึ้น เมื่อตื่นขึ้นสืออีเหนียงก็ลุกขึ้นไปนั่งหน้ากระจกเพื่อสำรวจดูตัวเอง บนใบหน้าไม่ได้หลงเหลือร่องรอยอะไร
นางถอนหายใจ จากนั้นจู๋เซียงก็เข้ามาช่วยปรนนิบัตินางเปลี่ยนเสื้อผ้า
จิ่นเกอกับเซินเกอพากันวิ่งพรวดเข้ามา
“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านดูสิขอรับ!” ในมือของเขาถือก้อนเงินขนาดเล็กสองสามก้อน มีน้ำหนักประมาณสี่ห้าชั่ง “ข้ายกน้ำชาให้พี่สะใภ้สอง พี่สะใภ้สองจึงมอบให้ข้า”
เมื่อวานนางกลับมาดึก จิ่นเกอยังไม่ทันได้พบนางก็หลับไปเสียแล้ว
เซินเกอเองก็หยิบก้อนเงินสองสามก้อนออกมาราวกับจะบริจาคสมบัติ “ท่านป้าสี่ ท่านป้าสี่ อันนี้ของข้า!”
สืออีเหนียงหอมแก้มนุ่มๆ ของจิ่นเกอ แล้วลูบศีรษะของเซินเกอ “ไอ๊หยา พวกเจ้าร่ำรวยเป็นเศรษฐีกันหมดแล้ว!”
จิ่นเกอยิ้มอย่างมีความสุข เซินเกอกลับบุ้ยปากแล้วพูดว่า “ท่านป้าสี่ เหตุใดท่านหอมแต่พี่หก ไม่หอมข้าเล่าขอรับ” ท่าทางน้อยใจเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงประหลาดใจ จากนั้นก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
“ป้าสี่ผิดเอง!” นางหอมแก้มเซินเกอซ้ายขวาเสียงดังเหมือนที่หอมแก้มจิ่นเกอ “ลืมหอมแก้มเซินเกอของพวกเราไปเสียได้!” เซินเกอฉีกยิ้ม พูดกับจิ่นเกอว่า “ท่านป้าสี่ก็หอมแก้มข้าเหมือนกัน!” ท่าทางภูมิอกภูมิใจเป็นอย่างมาก
ตื่นขึ้นมาตอนเช้า ใครได้เจอเรื่องเช่นนี้ก็คงอารมณ์ดีกันทั้งนั้นกระมัง!
คนในห้องต่างพากันหัวเราะ
สืออีเหนียงมือขวาจูงมือจิ่นเกอ มือซ้ายจูงมือเซินเกอ หัวเราะอย่างร่าเริงพลางเดินไปที่ห้องโถงเล็ก