ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 611 วุ่นวาย (ปลาย)
สืออีเหนียงรีบไปที่เรือนหลัก
ป้าตู้อยู่ที่นั่น “เดิมทีบ่าวยังต้องไปดูแลบรรดาผู้ดูแลที่ติดตามฮูหยินมา ไท่ฮูหยินต้องการให้บ่าวนำคนมาส่งแล้วกลับไปทันที แต่บ่าวคิดว่าฮูหยินสี่จะต้องมีเรื่องอยากถามแน่นอน ดังนั้นจึงได้หน้าด้านอยู่ต่อเจ้าค่ะ”
“ป้าตู้พูดอะไรอย่างนั้น” สืออีเหนียงเชิญป้าตู้เข้ามาคุยที่ห้องด้านใน “ป้าตู้ก็แค่เห็นใจ รู้ว่าการที่ข้าต้องดูแลเด็กๆ นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างน้อยข้าก็ควรรู้เรื่องนี้” พูดพลางนั่งลงบนเตียงเตาริมหน้าต่างกับป้าตู้
ชิวอวี่นำชามาวาง ช่วยพวกนางปิดประตูอย่างเบามือ
ป้าตู้โน้มตัวมาข้างหน้าเล็กน้อย พูดเสียงเบาว่า “เมื่อวานและวันนี้คุณชายน้อยห้าไปชมละครงิ้วที่ห้องโถงเตี่ยนชุน โดยเฉพาะวันนี้ ฟังไปพลางปรบมือไปด้วย บรรดาฮูหยินพากันพูดติดตลก โดยเฉพาะฮูหยินของเหลียงเก๋อเหล่าที่พูดหยอกล้อว่าทำไมเด็กคนนี้ไม่เหมือนท่านโหว แต่กลับเหมือนคุณชายห้า”
สืออีเหนียงใจเต้นระส่ำ
แม้ว่าเรื่องราวในปีนั้นจะถูกเก็บเป็นความลับแล้ว แต่สวีซื่อเจี้ยได้รับการเลี้ยงดูในสกุลหลิ่วจนถึงสามขวบกว่าจะพาเข้าจวน ด้วยคนอย่างหลิ่วฮุ่ยฟังแล้ว ในสังคมแวดวงของสกุลหลิ่วจะต้องมีใครที่รู้หรือเคยได้ยินเกี่ยวกับชาติกำเนิดของสวีซื่อเจี้ยอย่างแน่นอน ที่นางห้ามไม่ให้สวีซื่อเจี้ยเรียนรู้การขับร้องเพลงงิ้ว ก็เพราะนางไม่ต้องการให้เขาถลำลึกเกินไปในโลกของการแสดงงิ้ว แล้วอาจจะทำให้ได้รู้เรื่องราวในตอนนั้นโดยบังเอิญ มารดาผู้ให้กำเนิดเสียชีวิตก่อนกำหนด บิดาผู้ให้กำเนิดไม่ยอมรับ ส่วนลุงทางฝั่งมารดาของเขาก็ใช้เขาเป็นเครื่องมือต่อรองกับบิดาผู้ให้กำเนิด มีท่านลุงฝั่งบิดาเป็นคนเลี้ยงดู…ไม่ว่าเรื่องไหนก็ทำให้คนรู้สึกปวดใจ ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องโชคร้ายทั้งหมดนี้ก็มาอยู่ปะปนกัน ทำร้ายชีวิตเด็กน้อยอย่างสวีซื่อเจี้ยรุนแรงเกินไปแล้ว
บางครั้งการไม่รู้ก็ถือเป็นความสุขอย่างหนึ่ง
นางอดถามเสียงเบาไม่ได้ว่า “ฮูหยินท่านอื่นว่าอย่างไรบ้าง”
“แน่นอนว่าหวงฮูหยินและคนอื่นๆ ไม่ได้พูดอะไร ส่วนโต้วเก๋อเหล่าฮูหยินก็ถามคุณชายน้อยห้าว่าฟังรู้เรื่องหรือไม่ แล้วถามอีกว่ารู้หรือไม่ว่าร้องเกี่ยวกับอะไร คุณชายน้อยห้าพยักหน้าด้วยสีหน้าแดงก่ำ อธิบายถึงเนื้อร้องบนเวทีให้โต้วเก๋อเหล่าฮูหยินฟังอย่างละเอียด โต้วเก๋อเหล่าฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกประหลาดใจ ชมว่าคุณชายน้อยห้าเฉลียวฉลาด คุณชายน้อยห้ายิ้มอย่างเขินอาย ท่าทางน่ารักเป็นอย่างมากเจ้าค่ะ” ป้าตู้พูดพลางถอนหายใจยาว “ฮูหยินของรองเจ้ากรมเฉินเอ็นดูเป็นอย่างมาก เรียกคุณชายน้อยห้าไปหา จับมือคุณชายน้อยห้าแล้วถามว่าปกติอ่านหนังสืออะไร เวลาอยู่เรือนทำอะไร มักจะฟังละครงิ้วเป็นเพื่อนท่านย่าใช่หรือไม่ คุณชายน้อยห้าจึงตอบไปว่าตัวเองพึ่งจะเรียนตำราปฐมวัยจบ กำลังเตรียมตัวเรียนคัมภีร์วิจารณ์พจน์ เวลาอยู่เรือนปกติจะฝึกเขียนตัวอักษร เป่าขลุ่ย เล่นฉิน ปั้นหม้อดิน ไม่ได้ดูละครงิ้วเป็นเพื่อนไท่ฮูหยินบ่อยนัก ฮูหยินของรองเจ้ากรมเฉินได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งรู้สึกประหลาดใจ ถามเขาว่าทำไมถึงได้ฟังเข้าใจว่าร้องเกี่ยวกับอะไร คุณชายน้อยห้าบอกว่าเขาเองก็ไม่รู้ เพียงแค่ฟังก็เข้าใจแล้ว ฮูหยินของรองเจ้ากรมเฉินได้ฟังแล้วก็หัวเราะ พูดกับไท่ฮูหยินว่า ‘สกุลท่านจะมีผู้ที่มีชื่อเสียงแล้ว’ แล้วถามคุณชายน้อยห้าว่าขับร้องได้หรือไม่ คุณชายน้อยห้าก็เลยลองขับร้องเลียนแบบสองประโยคที่เขาพึ่งได้ยินเจ้าค่ะ”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ป้าตู้ก็ยิ้มให้สืออีเหนียงด้วยความลำบากใจ
“แม้ว่าบ่าวจะไม่ใช่คนเรียนงิ้ว แต่ก็ฟังเข้าใจ แม้ว่าคุณชายน้อยห้าจะร้องได้ไม่แข็งแรงเท่าเสี่ยวเหลียนจูที่อยู่บนเวที แต่น้ำเสียงของเขาช่างไพเราะ สง่างาม และมีคารมคมคาย ดูเหมือนเป็นมืออาชีพ ดูเก่งกว่าเสี่ยวเหลียนจูผู้นั้นหนึ่งขั้น อย่าว่าแต่บรรดาฮูหยินในห้องเลย แม้แต่คนอื่นๆ ที่รอชมเสี่ยวเหลียนจูอยู่นอกห้องโถงต่างก็พากันตกตะลึงเจ้าค่ะ”
นี่นับว่ามีชื่อเสียงในชั่วข้ามคืน!
สืออีเหนียงยิ้มอย่างลำบากใจ “ดังนั้นไท่ฮูหยินจึงให้ป้าตู้นำเขามาส่ง!?”
“เพราะว่ากลางคืนเป็นช่วงของคณะเต๋ออินปานไม่ใช่หรือเจ้าคะ!” ป้าตู้พยักหน้า ลดเสียงให้เบาลงราวกับเสียงยุงก็มิปาน “หลิ่วฮุ่ยฟังผู้นั้นร้องสำเนียงเกอหยาง ซ้ำยังเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงในเยี่ยนจิงด้วย”
เช่นนั้นก็ต้องยิ่งหลบเลี่ยง!
สืออีเหนียงพยักหน้า “ข้ารู้แล้ว!”
ป้าตู้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก “ไท่ฮูหยินก็รู้ว่าฮูหยินสี่ลำบากใจ แต่ว่าแขกทางด้านของไท่ฮูหยินมีมากเกินไป หลีกเลี่ยงได้ก็ควรจะหลีกเลี่ยงดีกว่าเจ้าค่ะ” พูดจบก็ลุกขึ้น “เช่นนั้นบ่าวขอตัวก่อน หากฮูหยินสี่มีเรื่องอันใดก็ส่งคนไปกำชับได้เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้า ไปส่งป้าตู้ที่ประตู
เรื่องราวยุ่งยากกว่าที่นางคิด
ถ้าหากบอกสวีซื่อเจี้ยถึงเหตุผลที่ไท่ฮูหยินส่งเขากลับมา ก็ต้องบอกชาติกำเนิดแก่เขา การทำเช่นนี้ในเวลานี้ไม่ใช่เรื่องที่ฉลาดเอาเสียเลย
ไม่มีใครที่ไม่เศร้าใจหลังจากได้รู้ว่าตัวเองมีชาติกำเนิดเช่นนี้ ในช่วงเวลาที่แขกมารวมตัวกัน การกระทำการโดยไม่ระวัง เกรงว่าอาจนำไปสู่เรื่องอื้อฉาวมากมาย เมื่อถึงเวลานั้นหากพวกเขาอยากจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับเกรงว่าจะเป็นไปไม่ได้แล้ว นั่นจะทำให้จิตใจของสวีซื่อเจี้ยถูกกระทบกระเทือนมากเกินไป
แต่หากไม่บอกเขา ก็ต้องหาเหตุผลบางอย่างมาแทน
คำโกหกแค่คำเดียวมักจะต้องใช้คำโกหกอีกหลายคำมาปกปิด
เมื่อคิดได้เช่นนี้ สืออีเหนียงก็รู้สึกกลุ้มใจเล็กน้อย
นางเดินไปเดินมาในห้องโถงที่กว้างขวางเป็นเวลานาน เมื่ออารมณ์ค่อยๆ สงบลงแล้วจึงได้ถามชิวอวี่ว่า “คุณชายน้อยห้าเล่า”
แม้ว่าชิวอวี่จะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเห็นท่าทางวิตกกังวลของสืออีเหนียง นางก็รู้สึกกังวลใจเล็กน้อย
ชี้ไปที่ห้องปลายสุดทางทิศตะวันออก พูดเสียงเบาว่า “บ่าวให้คุณชายน้อยห้าไปอยู่ที่นั่นเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงไปที่ห้องปลายสุดทางทิศตะวันออก
สวีซื่อเจี้ยนั่งกอดอกก้มหน้าอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือหน้าโต๊ะใหญ่ริมหน้าต่าง ปลายเท้าของเขาเขี่ยอิฐหินสีเขียวเป็นรูปวงกลม
เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว เขาก็เงยหน้าขึ้นมาทันที แววตาของเขาเผยให้เห็นความหวาดกลัวและตื่นตระหนกราวกับลูกสัตว์อยู่ครู่หนึ่ง
“ท่านแม่!” เมื่อเห็นสืออีเหนียงเขาก็รู้สึกผ่อนคลายทันที กระโดดลงจากเก้าอี้ไท่ซือแล้ววิ่งมาหา แต่เขากลับหยุดกะทันหันในขณะที่อยู่ห่างจากสืออีเหนียงเพียงห้าก้าว
“ท่านแม่” สวีซื่อเจี้ยมองสืออีเหนียงด้วยสายตาที่สับสน “ข้า ข้า ข้า…”
พูดคำว่า ‘ข้า’ เป็นเวลานาน ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาแม้แต่ประโยคเดียว สีหน้าเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด
การที่ถูกป้าตู้ส่งกลับมาเช่นนี้ แน่นอนว่าต้องไปทำอะไรผิดมา แต่ว่าทำผิดเรื่องอะไรนั้น เกรงว่าเขาคงจะไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย
สืออีเหนียงเห็นดังนั้นก็รู้สึกปวดใจเล็กน้อย เดินเข้าไปโอบตัวสวีซื่อเจี้ย “ต่อไปห้ามทำเช่นนี้อีก เอาแต่ไปฟังละครงิ้ว ไม่สนใจว่าน้องชายน้องสาวทำอะไรอยู่”
นี่คือข้ออ้างที่ดีที่สุดที่นางนึกขึ้นได้!
สวีซื่อเจี้ยหน้าแดงก่ำ “ข้า…” แสดงสีหน้าหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง ถามอย่างลังเลว่า “ท่านย่าจะโทษท่านแม่หรือไม่ขอรับ”
เขาคิดว่าตัวเองทำผิดไป กลัวว่านางจะเดือดร้อน ดังนั้นจึงได้รู้สึกผิดเช่นนี้อย่างนั้นหรือ
สืออีเหนียงพลันรู้สึกว่ามีน้ำตารื้นอยู่ตรงขอบตา
“คงไม่หรอก!” นางยิ้มแล้วพูดว่า “รู้ผิดแล้วแก้ไขเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง ต่อไปเราจะไม่ทำเช่นนี้อีก ท่านย่าย่อมไม่โทษพวกเราอยู่แล้ว!”
สวีซื่อเจี้ยรีบพยักหน้า “บรรดาพี่ใหญ่พากันไปรับเจ้าสาวกันหมดแล้ว น้องหญิงสอง น้องหก และน้องเจ็ดอยู่ที่เรือนหอ มีพี่สะใภ้ใหญ่กับพี่สะใภ้สามคอยดูแลอยู่ที่นั่น แล้วยังมีหงเหวิน อาจิน หวงเสี่ยวเหมา หลิวเอ้อร์อู่ และป้าอู๋คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกาย…น้องหญิงสองกับพี่สะใภ้สามเล่นกระโดดเชือก น้องหกกับน้องเจ็ดกำลังเล่นต่อสู้กันอยู่ที่ลาน…” เขาพูดพลางก้มหน้า “ดังนั้นข้าจึง ข้าจึง…”
“บรรดาพี่ใหญ่ออกไปกันหมดแล้ว ตอนนี้ที่เรือนเจ้าเป็นพี่ใหญ่สุด ยิ่งต้องดูแลน้องชายน้องหญิงจึงจะถูก จะวิ่งไปดูละครงิ้วคนเดียวเพราะเหตุนี้ได้อย่างไร! ไม่แปลกหากท่านย่าจะโกรธ” สืออีเหนียงพูดอย่างอ่อนโยนว่า “เจี้ยเกอโตแล้ว ย้ายไปอยู่เรือนนอก ไม่ใช่เด็กอีกต่อไปแล้ว จะต้องแบกรับหน้าที่ความรับผิดชอบของพี่ชาย อีกสักครู่พอเกี้ยวของพี่สะใภ้สองเข้าจวนมา จะมีคนไปดูเจ้าสาว ขออั่งเปา สกุลเซี่ยงส่งมอบตัวเจ้าสาว…ไม่รู้ว่าจะครึกครื้นแค่ไหน ข้า ท่านย่า และอาสะใภ้ห้าของเจ้าคงจะไม่มีเวลามาดูแล เจ้ายิ่งต้องช่วยพวกเราดูแลน้องชายและน้องหญิงถึงจะถูก!”
“ข้ารู้แล้วขอรับ!” สวีซื่อเจี้ยพูดด้วยรอยยิ้ม “อีกสักครู่ข้าจะไม่ไปดูละครงิ้วแล้ว ข้าจะไปดูแลน้องหญิงสอง น้องหกกับน้องเจ็ด”
สืออีเหนียงยิ้มพลางพยักหน้า พูดอย่างอ่อนโยนว่า “ยังไม่ได้ทานข้าวใช่หรือไม่ เช่นนั้นก็ไปทานข้าวกับแม่เถิด!”
สวีซื่อเจี้ยไปที่ลานเล็กๆ ข้างห้องโถงเตี่ยนชุนกับสืออีเหนียงอย่างมีความสุข หลังจากทานอาหารแล้วก็ไปที่เรือนหอด้วยกัน
จิ่นเกอกับเซินเกอกำลังจุดดอกไม้ไฟอยู่ที่นั่น
เมื่อเห็นสืออีเหนียง จิ่นเกอก็ถือธูปพลางวิ่งมาหา “ท่านแม่ วันนี้ลูกชิ้นอร่อยมากเลย พรุ่งนี้จะกินลูกชิ้นอีกขอรับ!”
เซินเกอเห็นดังนั้นก็วิ่งตามมาด้วย “ท่านป้าสี่ ข้าก็จะกินลูกชิ้นเหมือนกันขอรับ”
สืออีเหนียงรีบจับธูปในมือเด็กน้อยทั้งสองคน “ระวังจะทำเสื้อผ้าของข้าไหม้ วันนี้ข้าไม่มีเวลาไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว”
จิ่นเกอหัวเราะ ส่งธูปให้หวงเสี่ยวเหมาที่อยู่ข้างๆ เซินเกอเห็นดังนั้นก็ทำตาม ส่งธูปให้หวงเสี่ยวเหมาด้วยเช่นกัน
มีสาวใช้น้อยมารายงานว่า “ฮูหยิน สะใภ้หลิวจี้ได้นำปลาและกุ้งเป็นๆ สำหรับงานเลี้ยงในวันพรุ่งนี้มาส่งแล้วเจ้าค่ะ ป้าหลีกับสะใภ้หลิวจี้ได้ชั่งน้ำหนักแล้ว ต้องขอให้ฮูหยินช่วยประทับตรารายการให้เจ้าค่ะ”
สวีซื่อเจี้ยได้ยินดังนั้นก็รีบพูดขึ้นมาว่า “ท่านแม่ ท่านรีบไปเถิด! ข้าจะดูแลน้องหกกับน้องเจ็ดให้เองขอรับ”
สืออีเหนียงตอบตกลงด้วยรอยยิ้ม พูดกับบุตรชายสองสามประโยคแล้วจึงได้ไปที่ห้องโถงเล็กข้างห้องโถงเตี่ยนชุน
เมื่อถึงต้นยามซวี เกี้ยวของเจ้าสาวก็เข้าจวนมาแล้ว โขกศีรษะคำนับสวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงแล้วส่งเข้าเรือนหอ ทุกคนเข้าไปห้อมล้อมเพื่อดูเจ้าสาว สกุลสวีเปิดงานเลี้ยง สวีซื่ออวี้ออกมาจุดธูปสักการะ คุณนายน้อยใหญ่และคนอื่นๆ พาเจ้าสาวไปนั่งบนเตียง ฮูหยินห้าพาคุณนายใหญ่สกุลหลิน โจวฮูหยินและคนอื่นๆ ไปเล่นไพ่นกกระจอกที่ห้องปีกทิศตะวันออกของเรือนไท่ฮูหยิน ส่วนไท่ฮูหยิน หวงฮูหยินและคนอื่นๆ นั่งดูละครงิ้วที่ห้องโถงเตี่ยนชุน ส่วนสืออีเหนียงก็ปรึกษาหารือเรื่องต่างๆ กับผู้ดูแลทั้งหลาย จวนสวีเต็มไปด้วยเสียงบรรเลงดนตรี เสียงร้องเฮฮา เสียงคนเล่นไพ่นกกระจอก เสียงคนคำนับสุรา เสียงคนพูดคุยกัน เสียงร้องงิ้ว เสียงหัวเราะ และเสียงประทัดที่ยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งถึงต้นยามอิ๋นในวันรุ่งขึ้นจึงค่อยๆ หยุดลง
เมื่อสวีลิ่งอี๋กลับมาที่ห้องก็เห็นสืออีเหนียงกำลังนอนอยู่บนเตียงโดยไม่ได้เปลี่ยนชุด เขารีบช่วยห่มผ้าห่มให้นาง โน้มตัวเข้าไปเรียกนางเบาๆ “สืออีเหนียง สืออีเหนียง เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วค่อยนอน”
สืออีเหนียงลุกขึ้นนั่งด้วยความสะลึมละลือ สวีลิ่งอี๋ช่วยนางเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นนางก็ล้มตัวลงนอนอีกครั้ง
สวีลิ่งอี๋เห็นดังนั้นก็ส่ายหน้า เรียกชิวอวี่เข้ามาสอบถาม “ฮูหยินกลับเรือนมาตั้งแต่เมื่อไร เหตุใดถึงยังไม่ทันเปลี่ยนชุดก็นอนเสียแล้ว”
ชิวอวี่รีบพูดว่า “ฮูหยินพึ่งกลับมาเจ้าค่ะ บอกว่าอยากอยู่คนเดียวสักพัก พวกบ่าวก็เลยไม่กล้าเข้ามา”
สวีลิ่งอี๋ไปดูจิ่นเกอ
เขากับเซินเกอนอนข้างกันบนเตียงใหญ่ในห้องหน่วนเก๋อ กำลังหลับสบาย
แม่นมของเซินเกอรีบอธิบายขึ้นว่า “คุณชายน้อยเจ็ดจะนอนกับคุณชายน้อยหกให้ได้เจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋โบกมือให้นางแล้วกลับไปที่ห้องด้านใน
จู่ๆ ก็มีคนเพิ่มมาในห้องหนึ่งคน สืออีเหนียงหันไปกอดเอวคนผู้นั้นด้วยความงัวเงีย ได้กลิ่นสุราจางๆ
“ท่านดื่มให้น้อยลงเสียหน่อย” นางพูดพึมพำ “ตอนกลางคืนดื่มมากไปจะไม่ดี ระวังสุขภาพด้วย”
“รู้แล้ว!” สวีลิ่งอี๋ตอบอย่างไม่ใส่ใจ เห็นว่านางดิ้นไปดิ้นมาในอ้อมแขนของเขาเพื่อหาตำแหน่งที่สบาย ใจก็พลันเต้นแรง ก่อนจะสอดมือเข้าไปใต้เสื้อของนาง
สืออีเหนียงลืมตาโพลงทันที
นางจับข้อมือของสวีลิ่งอี๋เอาไว้ “ระดูของข้ามาแล้วเจ้าค่ะ!” น้ำเสียงฟังดูเศร้าสร้อยเล็กน้อย คิ้วขมวดแน่น
สวีลิ่งอี๋ประหลาดใจ
ยังไม่ตั้งครรภ์อีก…
เขาลูบหลังสืออีเหนียงราวกับจะปลอบโยนนาง กระซิบหยอกล้อข้างหูนางเสียงเบาว่า “ดูแล้วข้าคงต้องพยายามต่อไป!” น้ำเสียจริงจังเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงตีไหล่เขาด้วยท่าทางทั้งโกรธทั้งขวยเขิน