ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 607 งุนงง (กลาง)
จิ่นเกอได้ฟังดังนั้น ก็รู้สึกว่าเสียงหัวเราะนั้นแฝงไว้ด้วยความดูถูก เลยจ้องทุกคนด้วยสายตายืนกรานพลางพูดว่า “ท่านแม่ของข้าเตะลูกหนังเป็นแล้วจริงๆ นะ!”
เมื่อสืออีเหนียงเห็นว่าจิ่นเกอทำหน้าจริงจังขึ้นมา ก็ยิ้มแล้วรีบพูดกับชีเหนียงว่า “จิ่นเกอเตะลูกหนังเก่งมาก เซินเกอเองก็เรียนรู้จากเขา ในเมื่อจี้เกอเตะลูกหนังไม่เป็น ไม่สู้ให้จิ่นเกอสอนเขา ญาติพี่น้องนานๆ ทีจะได้เจอกัน เล่นไปเล่นมาประเดี๋ยวก็สนิทกันเอง อีกทั้งข้างกายยังมีบ่าวรับใช้และสาวใช้คอยดูแล ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่นอน”
ชีเหนียงยิ้มพลางพูดโน้มน้าวจี้เกอ “ให้พี่ชายสอนเจ้าเตะลูกหนังดีหรือไม่”
จี้เกอลังเลเล็กน้อย
ชีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ให้แม่นมคอยดูอยู่ข้างๆ เจ้า!”
จี้เกอจึงได้พยักหน้า เดินออกมาจากด้านหลังชีเหนียง จะไปจับมือสตรีรูปร่างอวบที่อยู่ข้างๆ
แต่จิ่นเกอกลับคว้ามือเขาไว้อย่างทนรอไม่ไหว “เหตุใดเจ้าถึงได้เชื่องช้าเช่นนี้ หวงเสี่ยวเหมากับหลิวเอ้อร์อู่กำลังรออยู่ข้างนอกนะ!” พูดจบก็ลากตัวเขาออกไป
สตรีร่างอวบผู้นั้นรีบเดินตามออกไปทันที
ชีเหนียงพูดคุยกับสวีซื่ออวี้ สวีซื่อจุน และสวีซื่อเจี้ยสองสามประโยค จู่ๆ เป่าเกอก็ร้องขึ้นมา
ซินเจี่ยเอ๋อร์กับเฉิงเกอห้อมล้อมเขาอยู่ ฮูหยินห้ารีบพูดขึ้นมาว่า “เป็นอะไร เกิดอะไรขึ้น” กลัวว่าบุตรสาวกับบุตรชายของตัวเองจะทำให้เป่าเกอตกใจ
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร!” ชีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เขางอแงเพราะว่าง่วงนอนแล้ว”
สืออีเหนียงเลยพาชีเหนียงไปยังห้องหน่วนเกอของจิ่นเกอ
ชีเหนียงป้อนนมเป่าเกอด้วยตัวเอง เป่าเกอผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นก็ส่งมอบบุตรให้ป้ารับใช้คนสนิทข้างกาย ชีเหนียงกับสืออีเหนียงกลับไปที่ห้องปีกทิศตะวันตก
สืออีเหนียงให้สวีซื่ออวี้พาเด็กๆ ไปเล่นที่สวนดอกไม้หลังจวน พวกนางจึงได้มีเวลานั่งรำลึกความหลังกัน
“เป่าเกอยังเล็ก เดิมทีกะว่าเพียงแค่ให้จูอานผิงมาดื่มสุรามงคลของคุณชายน้อยสองที่เยี่ยนจิงเท่านั้น” ชีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “ปรากฏว่าพอแม่สามีข้ารู้เข้าก็จะให้พวกเราพาเป่าเกอมาด้วยให้ได้ บอกว่ากลัวว่าพอต่อไปได้เจอกับบรรดาลูกพี่ลูกน้องแล้วจะไม่รู้จักกัน จูอานผิงรู้สึกว่าสมเหตุสมผล ข้าเองก็อยากจะเห็นหลานชายหลานสาวก็เลยตามมาด้วย”
“เช่นนั้นเหตุใดถึงได้พาจี้เกอมาด้วยเล่า” ฮูหยินห้าถามอย่างมีนัยยะว่า “นายหญิงผู้เฒ่าสกุลเจ้าเต็มใจหรือ”
“ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว!” ชีเหนียงถอนหายใจ “ตอนที่จี้เกอพึ่งจะถูกพาเข้าจวนมา แม่สามีข้าก็เลี้ยงเขาไว้ที่เรือนตัวเอง ไม่ให้ข้าเข้าใกล้ เหมือนกับกลัวว่าข้าจะคิดร้ายกับเด็กคนนี้ เดิมทีข้าก็ไม่ได้ใส่ใจ จึงวางมือไม่ไปสนใจ ต่อมาพอมีเป่าเกอ จู่ๆ แม่สามีข้าก็เปลี่ยนไปในทันที นางไม่เพียงมอบจี้เกอให้ข้าเป็นคนดูแล ซ้ำยังไล่คนที่เคยดูแลจี้เกอทั้งหมดออกไปด้วย เปลี่ยนเป็นป้ารับใช้สูงวัยสองสามคนที่แม้แต่ตอนเดินยังตัวสั่นงกๆ…”
ฮูหยินห้าอุทานขึ้นมา “ไอ๊หยา” ขัดบทสนทนาของชีเหนียง “เจ้าจะรับเรื่องนี้ต่อไม่ได้เด็ดขาด แม่สามีเจ้ารู้ทั้งรู้ว่าเจ้าไม่ชอบจี้เกอ นางก็ยังให้เด็กไปอยู่ที่เรือนเจ้า ซ้ำยังไล่คนที่คัดเลือกมาอย่างดีเพื่อให้มาดูแลจี้เกอออกไปหมด เห็นได้ชัดว่าอยากจะยืมมือเจ้ามาจัดการเด็กคนนี้ เจ้าจะหลงกลไม่ได้เด็ดขาด เรื่องดีๆ ให้นางเป็นคนทำ เรื่องร้ายๆ ให้เจ้าเป็นคนแบกรับ ตอนนี้เจ้าควรจะอาศัยโอกาสนี้ใช้ข้ออ้างว่าเจ้าพึ่งคลอดบุตร ไม่ค่อยมีแรง บอกให้ทุกคนในสกุลจูได้รู้ จะได้คืนจี้เกอให้แม่สามีของเจ้าเป็นคนดูแล” ขณะที่พูดคิ้วเรียวยาวก็ขมวดเล็กน้อย
“ข้าเองก็รู้!” ชีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “ดังนั้นข้าจึงขอให้จูอานผิงส่งเด็กคืนให้แม่สามี” ขณะที่พูดรอยยิ้มก็จางลง ก่อนจะถอนหายใจ “ใครจะไปรู้ว่าแม่สามีของข้าผู้นี้…” นางหยุดไปครู่หนึ่ง “จี้เกอต้องหิวโหยถึงขนาดต้องเข้าไปขโมยของกินที่ห้องครัว จนเกือบจะทำเตาไฟร้อนๆ คว่ำ หากไม่ใช่เพราะสาวใช้ข้างกายข้าไปเอาน้ำร้อนที่ห้องครัวให้ข้าพอดี เกรงว่าเด็กคนนั้นคงจะโดนน้ำร้อนลวกไปแล้ว”
สืออีเหนียงกับฮูหยินห้าพากันตกตะลึง
“ก่อนที่พ่อสามีจะเสีย แม่สามีข้ากลัวว่าคนในตระกูลจะรังแกจูอานผิงเพราะเขายังเล็ก กลัวจะถูกแย่งทรัพย์สิน จึงได้เชิญท่านอาของจูอานผิงมาโดยเฉพาะ และเชิญผู้อาวุโสสกุลจูกับนายอำเภอให้มาเป็นพยานชอบธรรม” ชีเหนียงพูดต่อไปว่า “ดังนั้นหลังจากที่พ่อสามีข้าเสียชีวิต นางก็อาศัยอยู่ที่เรือนเล็กทางด้านทิศตะวันตก คนที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายล้วนเป็นคนสนิทของนาง เด็กคนนั้นอาศัยอยู่ที่นั่นเป็นอย่างไรบ้าง อย่าว่าแต่คนนอกเลย ต่อให้ข้าอยากจะไปสืบดูมากแค่ไหนก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ตอนที่สาวใช้พาจี้เกอมาหาข้า เด็กคนนั้นผ่ายผอมจนเหลือแต่กระดูก เห็นอะไรที่ทานได้ก็เอาเข้าปากหมด ตอนที่ข้าส่งเด็กกลับคืนไป แม่สามีข้ายังบอกว่าเด็กคนนี้เลือกทาน ขนาดเป็นของดีก็ยังไม่ทาน ช่างน่ารำคาญเสียจริง!”
“คิดไม่ถึงว่าแม่สามีของท่านจะเป็นคนแบบนี้…” สืออีเหนียงถอนหายใจ ไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดี พูดขึ้นมาเพียงว่า “ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ”
ฮูหยินห้ากลับพูดขึ้นมาว่า “เจ้ากับจูอานผิงทะเลาะกันเช่นนี้ยังไม่ถูกปลดภรรยา เจ้าก็ควรจะพอใจแล้ว ต่อไปก็ควรจะดีกับจูอานผิงสักหน่อย!”
ชีเหนียงหน้าแดง พูดขึ้นมาว่า “ข้ารู้ แต่ก่อนเป็นข้าที่ผิดเอง ข้าไม่ควรทำให้จูอานผิงเสียหน้า ทำให้ตัวเองไม่เป็นผู้เป็นคน”
การยอมรับอย่างตรงไปตรงมา ทำให้สืออีเหนียงกับฮูหยินห้าประหลาดใจเล็กน้อย
ชีเหนียงทำหน้าบึ้งใส่ทั้งสองคน “รู้ผิดแล้วแก้ไข ถือเป็นความดียิ่งนัก ก็ถือเสียว่าข้าหลงผิดแล้วรู้จักกลับใจ ดังนั้นพวกเจ้าก็ไม่ต้องมาว่าข้าแล้ว”
สืออีเหนียงนึกถึงตอนที่อยู่อวี๋หัง นางถูกนายหญิงสองตำหนิ ก็หันหลังแล้วทำหน้าบึ้งตึงเช่นนี้
ฮูหยินห้ากลับหัวเราะ
“อาจเป็นเพราะว่าข้าให้โจ๊กหนึ่งชามแก่เด็กคนนั้น มีอยู่วันหนึ่งจี้เกอก็เดินมาที่เรือนข้า ดึงแขนเสื้อของสาวใช้ที่กำลังกวาดพื้นแล้วตะโกนเรียกว่าพี่สาว ข้าใจอ่อนก็เลยให้เขาอยู่ต่อ หาสาวใช้และป้ารับใช้คนใหม่ไว้คอยปรนนิบัติเขา ครั้งนี้มาเยี่ยนจิง ข้ากลัวว่าหากให้เขาอยู่ที่เรือนแล้วจะถูกแม่สามีข้าคิดทำร้ายขึ้นมาอีกก็เลยพาเขามาด้วย”
“เจ้าโง่หรืออย่างไร!” ฮูหยินห้าตำหนิชีเหนียง แต่น้ำเสียงกลับไม่ได้แน่วแน่เหมือนเมื่อครู่ “แค่ไม่เห็น เจ้าก็จะไม่รู้สึกอะไรแล้ว”
“ตอนแรกข้าก็คิดเช่นนั้น” ชีเหนียงยิ้ม สายตามองไปที่ห้องหน่วนเก๋อของจิ่นเกอ ที่นั่นมีบุตรชายของนาง เป่าเกอกำลังพักผ่อนอยู่ “แต่ตั้งแต่ที่ข้าเป็นแม่คน พอเห็นลูกคนอื่นร่างกายผอมแห้งอย่างกับไม้เสียบผี ไม่มีเสื้อผ้าจะใส่ ในใจพลันรู้สึกเจ็บปวดเป็นอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้นหากไม่ใช่เพราะจี้เกอเข้าจวนมา ข้าก็อาจจะไม่มีเป่าเกอ ไม่แน่จี้เกออาจจะเป็นดาวนำโชคของข้ากับเป่าเกอก็ได้ พอมีเขา ข้ากับเป่าเกอจึงได้สงบสุข!”
สืออีเหนียงกับฮูหยินห้าเงียบไปนานไม่ได้พูดอะไร
“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องของข้าแล้ว!” ชีเหนียงหัวเราะทำลายความเงียบ “คุยเรื่องงานแต่งของคุณชายน้อยสองดีกว่า ข้าเดินทางมาไกลขนาดนี้ ก็เพื่อที่จะมาดื่มสุรามงคลของเขา อย่าเรียงลำดับความสำคัญผิดสิ”
“เมื่อถึงเวลานั้นเจ้ามาแต่เช้าก็พอแล้ว” ฮูหยินห้ายิ้มแล้วพูดว่า “ครั้งนี้ข้าต้องช่วยพี่สะใภ้สี่ต้อนรับแขกที่เป็นสตรี เจ้าอย่าทำให้ข้าต้องวุ่นวายก็พอ!”
พวกนางคุยไปหัวเราะไป พอเป่าเกอตื่น ก็ไปคารวะไท่ฮูหยิน
เมื่อไท่ฮูหยินเห็นเป่าเกอก็เอ็นดูเป็นอย่างมาก “เป็นชื่อที่ดีมาก สมกับเป็นสมบัติของพวกเจ้า!”
“ข้าคิดว่าเป็นชื่อที่เรียบง่ายไปหน่อย” ชีเหนียงยิ้มหวาน “แต่ว่าสามีข้ายืนยันที่จะใช้ชื่อนี้ ก็เลยต้องยอมให้ตั้งชื่อนี้เจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ฟังแล้วก็หัวเราะ ให้ชีเหนียงอยู่ทานอาหารเย็น พอถึงเวลาจุดโคมไฟชีเหนียงจึงได้ลุกขึ้นกล่าวลา
สืออีเหนียงมาส่งชีเหนียง
ก่อนขึ้นรถม้า ชีเหนียงจับมือนาง “เรื่องของข้า ทำให้เจ้าที่เป็นน้องสาวต้องเป็นกังวล ในใจข้ารู้สึกผิดเป็นอย่างมาก!” จากนั้นก็ไม่รอให้นางพูดอะไร รีบก้าวขึ้นรถม้าทันที
ชีเหนียงคงรู้สึกไม่ดีกระมัง!
ยืนอยู่หน้าประตูฉุยฮวามองดูรถม้าของนางค่อยๆ ไกลออกไป ใบหน้าสืออีเหนียงเผยให้เห็นรอยยิ้ม
******
เมื่อกลับมาถึงเรือน หงเหวินก็มาต้อนรับ “ฮูหยินสี่ นี่คือของขวัญต้อนรับที่คุณหนูเจ็ดมอบให้คุณชายน้อยหกเจ้าค่ะ” พูดพลางยื่นถุงเงินปักลายดอกบ๊วยแดงให้สืออีเหนียง
เมื่อครู่ตอนที่ชีเหนียงให้ของขวัญต้อนรับ มันถูกใส่ด้วยถุงเงินหลากสีหลายใบ จากรสนิยมของชีเหนียงแล้ว สืออีเหนียงคาดเดาว่าด้านในอาจจะเป็นทองคำก้อนหรือไม่ก็ทองคำที่ขนาดเล็กเท่าเม็ดถั่ว
นางยิ้มพลางรับถุงเงินมา ถุงเงินกลับเบามาก พอเปิดดู ข้างในใส่ตั๋วเงินไว้เต็มถุง ลองนับดู มีจำนวนทั้งหมดห้าพันกว่าตำลึง
“เหตุใดถึงให้เยอะขนาดนี้” สืออีเหนียงยิ้มเจื่อน
ของขวัญต้อนรับที่ตนให้จี้เกอกับเป่าเกอล้วนเป็นกุญแจห้อยคอทองคำหนึ่งคู่
สืออีเหนียงเก็บถุงเงินไว้ ให้ชิวอวี่ไปถามสวีซื่ออวี้และคนอื่นๆ ว่าเขาได้ของขวัญต้อนรับอะไรจากชีเหนียง นี่เป็นธรรมเนียม คนที่ยังไม่ได้แต่งงานก็นับว่าเป็นเด็กทั้งหมด แม้ว่าทุกคนจะได้รับของขวัญต้อนรับของใครของมัน แต่ว่าเป็นของอะไรนั้นก็ต้องบอกบิดากับมารดา เมื่อถึงเวลานั้นบิดามารดาจะได้คืนของขวัญที่มีมูลค่าเท่ากัน
ชิวอวี่กลับมารายงาน สวีซื่ออวี้และคนอื่นๆ แต่ละคนได้ตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึง
จำนวนมากเกินไปแล้ว
สืออีเหนียงบอกเรื่องนี้กับสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดอยู่นาน “ข้าก็ไม่ได้ช่วยพวกเขาสองสามีภรรยาทำอะไรเลย!”
สืออีเหนียงนึกถึงคำพูดก่อนไปของชีเหนียง
หรือว่าเป็นการขอบคุณที่นางช่วยเหลือในตอนนั้น
แต่สืออีเหนียงไม่ทันได้คิดเรื่องนี้ต่อไป ประการแรกชีเหนียงอยู่เยี่ยนจิงอยู่ช่วงหนึ่งเพื่อไปเยี่ยมญาติแต่ก็ไม่ได้มาหานางอีก ประการที่สองเรื่องในเรือนมีมากขึ้นเรื่อยๆ
นางจึงค่อนข้างยุ่งมากเลยไม่ได้สนใจเรื่องนี้
เมื่อถึงวันที่หนึ่งเดือนสิบ สืออีเหนียงตื่นแต่เช้าตรู่ ล้างหน้าแต่งตัวแล้วไปหาไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินแต่งตัวเสร็จแล้ว สืออีเหนียงยกถ้วยชาคำนับไท่ฮูหยิน ฮูหยินห้าเดินเข้ามาพร้อมเครื่องประดับเต็มตัว ทุกคนพูดคุยกันสองสามประโยค จากนั้นทั้งสองคนก็ไปที่ห้องโถงเล็กที่อยู่ด้านหลังห้องโถงหลักของสกุลสวี เมื่อแขกที่เป็นบุรุษมาถึงก็จะเชิญไปที่ห้องโถงรองที่อยู่ข้างห้องโถงหลัก พอแขกที่เป็นสตรีมาก็ให้ไปพักผ่อนที่ห้องโถงเล็กแห่งนี้
เวทีที่เรือนนอกได้ตั้งเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลังจากแขกที่มาในตอนเช้านั่งรับประทานอาหารกันแล้ว สวีซื่อฉินก็ได้นำสวีซื่อจุน พาพ่อสื่อแม่สื่ออย่างอวี๋อี๋ชิงกับคุณนายสามสกุลหวงไปเร่งเจ้าสาวกับรับสินเดิมของเจ้าสาวที่สกุลเซี่ยง สืออีเหนียงขอให้คุณนายใหญ่สกุลหลินรอจนบิดามารดาฝ่ายเจ้าบ่าวเจ้าสาวมาครบ ให้บุตรชายบุตรสาวของผู้มียศถาบรรดาศักดิ์มาช่วยจัดห้องหอ ติดคำมงคล
สวีซื่อเจี้ยวิ่งเข้ามา
“ท่านแม่ ท่านแม่ พรุ่งนี้รับตัวเจ้าสาว ข้าไปกับพี่สี่ได้หรือไม่ขอรับ”
“ไม่ได้!” สืออีเหนียงปฏิเสธทันที “พรุ่งนี้จะจุดประทัดตลอดทาง หากไปโดนเจ้าจะทำอย่างไร อีกอย่างพี่สี่ของเจ้าต้องไปรับตัวเจ้าสาวที่สกุลเซี่ยง เมื่อถึงเวลานั้นจะมีคนขวักไขว่ไปมา ผู้คนตะโกนโห่ร้อง พี่สี่ของเจ้าจะเอาเวลาที่ไหนมาดูแลเจ้า เจ้ารออยู่ที่นี่ พอพี่สะใภ้คนใหม่มาถึง เจ้าค่อยไปขออั่งเปากับจุนเกอก็พอ”
สวีซื่อเจี้ยผิดหวังเล็กน้อย
เมื่อก่อนเขาอายุยังน้อย ไม่ว่ามีเรื่องอันใดก็จะไม่อนุญาตให้เขาไป แต่ตอนนี้เขาย้ายออกไปอยู่เรือนนอกแล้ว เหตุใดทุกคนยังทำเหมือนว่าเขายังเป็นเด็กอยู่
สืออีเหนียงเห็นดังนั้นก็รีบเกลี้ยกล่อมเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หากไม่มีเจ้าช่วยข้ากับอาสะใภ้ห้าดูแลจิ่นเกอกับเซินเกอ แล้วพวกเราจะวางใจช่วยจัดงานแต่งให้พี่สองได้อย่างไร เจ้าทำเช่นนี้ก็เหมือนกับเป็นการช่วยพี่สองเช่นกัน!”
แต่สวีซื่อเจี้ยอยากจะไปดูความครึกครื้น
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าบรรดาผู้ดูแลหญิงเดินมาขอคำชี้แนะจากสืออีเหนียงทีละคนอยู่เรื่อยๆ เขาก็ระงับความปรารถนาในใจแล้วไปที่เรือนหลัก
จิ่นเกอกับเซินเกอกำลังถือธูปจะจุดประทัด บรรดาบ่าวรับใช้ของจิ่นเกอพากันเฝ้าดูพลางหัวเราะอย่างสนุกสนาน
สวีซื่อเจี้ยตกใจอย่างมาก ให้คนเก็บของพวกนั้นออกไปพลางตำหนิบ่าวรับใช้เหล่านั้น “นี่เป็นความคิดของใครกัน”