ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 603 ทำอย่างไรดี (ต้น)
จิ่นเกออยู่ในห้องเก็บของกับไท่ฮูหยิน
“อันนี้งดงามมากขอรับ!” เขาชี้ไปที่ทับทิมจากกล่องผ้าที่วางเรียงเป็นแถวยาว
ทับทิมเม็ดนั้นขนาดเท่ากำปั้น ผิวแกะสลักจากหยก เนื้อเป็นทับทิม ด้านบนมีผีเสื้อตัวน้อยสีขาวที่แกะสลักจากงาช้าง ดูสวยงามอยู่ไม่น้อย
ไท่ฮูหยินหัวเราะ กำชับอวี้ป่าน “เอาอันนี้ไปห่อ!” จากนั้นก็ก้มหน้าถามจิ่นเกอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “มีอันไหนดูดีอีก”
จิ่นเกอมองดูแล้วชี้ไปที่พระสังกัจจายน์สูงสามนิ้ว
พระสังกัจจายน์รูปนั้นสีดำสนิท ดูไม่ออกว่าเป็นวัสดุชนิดใด เปลือยช่วงอก ใบหน้าเปื้อนยิ้มดูเบิกบาน
ไท่ฮูหยินกำชับอวี้ป่าน “เอาอันนั้นไปห่อด้วย!”
อวี้ป่านยิ้มพลางขานรับ “เจ้าค่ะ”
ฮูหยินสองอดพูดไม่ได้ว่า “ท่านแม่ จิ่นเกออายุยังน้อย ของสิ่งนี้มีค่ามาก หากท่านมีเจตนาเช่นนี้ ก็รอให้เขาโตอีกสักหน่อยแล้วค่อยมอบให้ดีกว่าเจ้าค่ะ”
“ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” ไท่ฮูหยินโบกมืออย่างไม่เห็นด้วย “จิ่นเกอของพวกเราไม่ใช่คนที่จะไม่รู้ขอบเขต!” ขณะที่พูดก็โอบจิ่นเกอพลางหอมแก้มหนึ่งที ยิ้มพลางมองจิ่นเกอ “ใช่หรือไม่ จิ่นเกอ!”
จิ่นเกอรีบพยักหน้า
ไท่ฮูหยินถามเขาอย่างอ่อนโยนว่า “เจ้าดูสิว่ายังมีอะไรที่ชอบอีก”
สายตาของจิ่นเกอมองไปมาระหว่างกล่องผ้าเหล่านั้น
ฮูหยินสองมองไปที่ย่าหลานคู่นั้นด้วยความสนใจ ยิ้มอย่างหมดปัญญาพลางส่ายหน้า
******
ตอนที่สวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงไปถึง ไท่ฮูหยินกำลังเอนหลังนั่งอยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่างทิศตะวันออกในห้องปีกทิศตะวันตก ซินเจี่ยเอ๋อร์นั่งอยู่ข้างไท่ฮูหยินอย่างเชื่อฟัง ส่วนฮูหยินสองก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือข้างเตียงเตา โต๊ะไม้สีดำลายวิหคชมบุปผาที่เดิมทีวางอยู่กลางเตียงเตาได้ถูกย้ายออกแล้ว เฉิงเกอที่อายุเกือบแปดเดือนนั่งอยู่ตรงนั้น จิ่นเกอกับเซินเกอ คนหนึ่งกำลังเล่นกลองป๋องแป๋งยืนอยู่ที่มุมตะวันตกของเตียงเตา อีกคนหนึ่งยืนปรบมือน้อยๆ อยู่ข้างๆ
“เจ้ามาหาข้าสิ เจ้ามาหาข้าสิ” ทั้งสองคนผลัดกันพูดหยอกล้อเฉิงเกอ
เฉิงเกอเบิกตากว้าง ดวงตาสีดำขลับมองพี่ชายที่หน้าตาคุ้นเคย แล้วมองกลองป๋องแป๋งที่อยู่ในมือจิ่นเกอ ท่าทางเหมือนไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี ไท่ฮูหยินเห็นดังนั้นก็หัวเราะ
ฮูหยินห้าที่ยืนอยู่ข้างเตียงเตาลูบผมสีดำขลับของบุตรชายคนรองด้วยความเห็นใจ “เจ้าเด็กโง่!”
เฉิงเกออาศัยโอกาสนี้ปีนเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของมารดา จากนั้นก็ชี้ไปที่จิ่นเกอก่อนจะร้อง “อา อา อา” อยู่นาน ราวกับว่าจะให้ฮูหยินห้าช่วยแย่งกลองป๋องแป๋งมาให้เขา
สวีลิ่งควนยิ้มพลางทักทายสวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียง “พี่สี่ พี่สะใภ้สี่”
สวีลิ่งอี๋มองน้องชายด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ไม่ต้องเข้าเวรหรือ!”
“ใช่ขอรับ!” สวีลิ่งควนคำนับสวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียง “ฝ่าบาทเสด็จไปพักผ่อนช่วงฤดูร้อนที่ตำหนักซีซานยังไม่กลับมา พวกเราอยู่ที่เยี่ยนจิงไม่มีอะไรทำ อากาศก็ร้อน ผู้บัญชาการหลิวจึงได้เปลี่ยนลำดับเวร ทุกคนต่างก็ดีใจกันทั้งนั้น”
ฮ่องเต้ทรงพาฮองเฮา ไท่จื่อและคนอื่นๆ ไปที่ตำหนักซีซานในช่วงกลางเดือนหก ขุนนางหลวงและขุนนางหกกรมต่างก็ติดตามไปด้วย ซีซานที่เดิมทีเงียบสงัดและไม่แออัด จู่ๆ ก็เต็มไปด้วยขบวนรถม้า ผู้คนขวักไขว่ไปมาจนเดินชนไหล่กัน
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน ผู้ใหญ่และเด็กๆ ที่อยู่บนเตียงเตาก็จ้องมองมาทางนี้กันหมด พอสวีลิ่งควนพูดจบ จิ่นเกอก็รีบตะโกนขึ้นมาทันที “ท่านพ่อ ท่านแม่!”
ไท่ฮูหยินมองพวกเขาด้วยรอยยิ้ม “พวกเจ้ามากันแล้วหรือ!”
สวีลิ่งอี๋กับสืออีเหนียงขานรับอย่างนอบน้อม “ขอรับ/เจ้าค่ะ” เข้าไปคำนับไท่ฮูหยินและทักทายบรรดาสะใภ้ จื่อหงพาสาวใช้น้อยมาเทน้ำชา จิ่นเกอจะลงจากเตียงเตา อวี้ป่านเลยรีบมาช่วยใส่รองเท้า พอเซินเกอเห็นดังนั้นก็งอแงจะลงจากเตียงเตาด้วยเช่นกัน อวี้ป่านจึงช่วยเซินเกอใส่รองเท้าด้วย มีทั้งผู้ใหญ่และเด็กน้อย ทำให้ในห้องวุ่นวายแต่กลับเต็มไปด้วยความอบอุ่นและมีชีวิตชีวา
ไท่ฮูหยินมองไปรอบๆ พลางยิ้มตาหยี
วุ่นวายอยู่พักหนึ่งกว่าทุกคนจะนั่งลงตามลำดับ
ไท่ฮูหยินถามสวีลิ่งควนเรื่องการเปลี่ยนเวร “ฮ่องเต้ไม่ได้ให้เหลียงเก๋อเหล่าอยู่ที่เมืองหลวงหรือ ทำไม พวกเจ้าสับเปลี่ยนเวรกันแล้วเหลียงเก๋อเหล่าไม่ว่าอะไรหรือ”
“ผู้บัญชาการหลิวถามเหลียงเก๋อเหล่าแล้วขอรับ” สวีลิ่งควนยิ้มแล้วพูดต่อว่า “เหลียงเก๋อเหล่าบอกว่าเรื่องของกองทัพอวี้หลินเขาไม่ค่อยเข้าใจ เขารู้เพียงแต่ว่าไม่ควรปล่อยให้ตำแหน่งว่าง และไม่ควรให้เกิดเรื่อง”
ฮูหยินสองหัวเราะ “มิน่าเล่า คนอื่นถึงได้บอกว่าเหลียงเก๋อเหล่าเข้าได้กับทุกฝ่าย ไม่ว่าจะทำอะไรก็ย่อมได้เปรียบ เพียงแต่เกรงว่าจะถูกผู้อื่นจับจุดอ่อนได้ ”
เพราะมันเกี่ยวข้องกับตัวของสวีลิ่งควนเอง เมื่อสวีลิ่งควนได้ยินดังนั้นก็มีสีหน้ากังวล รีบพูดขึ้นมาว่า “จับจุดอ่อนอะไรกัน ข้าก็เพียงแค่ไหลไปตามคลื่น ทั้งไม่ได้ออกหน้า แล้วก็ไม่ได้ไปขัดขวางคนอื่น”
เมื่อเห็นสีหน้าเป็นกังวลของสวีลิ่งควน ฮูหยินสองก็หัวเราะ “ข้าไม่ได้ว่าเจ้า ข้าหมายถึงเหลียงเก๋อเหล่า” แล้วพูดต่อไปว่า “เมื่อก่อนบรรดาเก๋อเหล่าที่อายุมากแล้ว พอถึงกำหนดที่ต้องเกษียณอายุ หากอยากจะรักษาความสัมพันธ์ไว้ ก็ต้องเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ แต่ตอนนี้คนที่พึ่งเข้ามาใหม่อย่างโต้วเก๋อเหล่ากับเว่ยเก๋อเหล่ากำลังอยู่ในวัยที่แข็งแกร่ง เป็นช่วงเวลาที่เหมาะจะวางแผนพัฒนา หากไม่มีอะไรก็ดีไป แต่หากมีเรื่องเกิดขึ้น เกรงว่าเหลียงเก๋อเหล่าจะไม่สามารถอธิบายได้”
สวีลิ่งควนเข้าใจในทันที อดขมวดคิ้วไม่ได้ “ตอนนี้แว่นแคว้นสงบสุขแล้วพวกเขาจะสร้างเรื่องให้มันน้อยลงไม่ได้หรืออย่างไร”
“แว่นแคว้นสงบสุข?” ไท่ฮูหยินยิ้มอย่างไม่เห็นด้วย “ได้ยินมาว่าตั้งแต่เข้าเดือนหกมาก็มีเหตุการณ์ที่โจรสลัดญี่ปุ่นขึ้นฝั่งเพื่อเผา ฆ่า และปล้นอยู่บ่อยครั้ง พวกเราอยู่ที่เยี่ยนจิง ภายใต้บารมีของฮ่องเต้ ย่อมไม่ได้รับผลกระทบ แต่ราษฎรในเขตเจียงหนานกำลังประสบปัญหาอย่างหนัก เพียงแค่ได้ยินภาษาญี่ปุ่นก็ตกใจกลัวแล้ว…”
ฮูหยินห้าเห็นว่ายิ่งฮูหยินสองพูดก็ยิ่งจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ หัวข้อนั้นยิ่งถูกลากออกไปไกล และก็เกิดขึ้นเพราะสามีของนาง จึงรีบพูดขึ้นมาว่า “ไอ๊หยา เรื่องเหล่านี้ย่อมมีฝ่าบาทและบรรดาใต้เท้าคอยกังวลอยู่แล้ว คนอย่างพวกเราเพียงแค่ดูแลตัวเองไม่ให้เกิดเรื่องก็พอแล้วกระมัง” จากนั้นก็ยิ้มพลางถามสืออีเหนียง “เหตุใดถึงไม่เห็นอวี้เกอกับจุนเกอเล่า” เห็นได้ชัดว่าตั้งใจเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
ฮูหยินสองสีหน้าขรึมขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ก้มหน้าจิบชาเหมือนจะปิดบังอะไรบางอย่าง พอเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้งสีหน้าก็สดใสขึ้น
ทุกคนไม่ได้สังเกตเห็นความโดดเดี่ยวของนาง
สายตาของไท่ฮูหยินและคนอื่นๆ ต่างก็ไปหยุดอยู่ที่สืออีเหนียง สืออีเหนียงกำลังก้มหน้าจัดชายเสื้อให้จิ่นเกอ เมื่อได้ยินดังนั้นก็ยิ้มพลางเงยหน้าขึ้น “ข้าให้พวกเขาทานอาหารเย็นก่อนแล้วค่อยมา ดูเวลาคาดว่าคงใกล้จะถึงแล้ว!”
ไท่ฮูหยินถามถึงการสอบของสวีซื่ออวี้ “…เกรงว่าคงจะต้องเลือกวันมงคลที่จะจุดธูปบูชาเทพเหวินฉวี่ซิงจวิน[1]!” พูดพลางหันไปมองสวีลิ่งอี๋
“ข้าดูปฏิทินมาแล้ว” เห็นได้ชัดว่าสวีลิ่งอี๋เตรียมการไว้นานแล้ว “อีกสองวันจะเป็นวันมงคล กำลังเตรียมพร้อมว่าจะพาอวี้เกอไปสักการะสักหน่อย”
“ข้าว่างอยู่ที่เรือน” สวีลิ่งควนยิ้มแล้วพูดต่อว่า “เมื่อถึงเวลานั้นข้าก็จะไปเป็นเพื่อนอวี้เกอด้วย!”
“เอาสิ!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ทิวทัศน์ที่นั่นไม่เลวเลย”
ขณะที่กำลังพูดคุยกัน สวีซื่ออวี้และคนอื่นๆ ก็มาถึง
ฮูหยินห้าถามด้วยความสงสัยว่า “พวกเจ้ามาด้วยกันได้อย่างไร”
ปกติแล้วสวีซื่ออวี้จะมาคนเดียวเสมอ ส่วนสวีซื่อจุนกับสวีซื่อเจี้ยก็เหมือนเงาที่แยกจากกันไม่ได้
สวีซื่อจุนเหลือบมองสวีซื่ออวี้แล้วพูดว่า “พี่สองเป็นคนชวนพวกเรามาขอรับ”
“ทุกคนต่างก็อาศัยอยู่เรือนนอก” สวีซื่ออวี้ยิ้มแล้วพูดต่ออีกว่า “ก็แค่เดินอ้อมไปเล็กน้อยขอรับ” ยอมรับคำพูดของสวีซื่อจุนอย่างนอบน้อม
สวีลิ่งอี๋พยักหน้าเล็กน้อย
ไท่ฮูหยินเรียกสามพี่น้องมานั่ง ซักถามสวีซื่อจุน “เรียนหนักหรือไม่ น้ำแข็งพอใช้หรือไม่ คุณชายสกุลโต้วผู้นั้นได้มาหาเจ้าอีกหรือไม่”
“เรียนไม่หนักขอรับ” สวีซื่อจุนตอบทีละคำถาม “น้ำแข็งมีพอใช้ เมื่อวานท่านแม่ก็ส่งพี่จู๋เซียงมาถาม คุณชายสกุลโต้วตามโต้วเก๋อเหล่าไปที่ซีซานแล้ว ช่วงนี้จึงไม่ได้มาหาขอรับ”
ไท่ฮูหยินถอนหายใจ หันไปพูดกับสวีลิ่งอี๋ “คิดไม่ถึงว่าโต้วเก๋อเหล่าไปซีซานยังพาบุตรชายไปด้วย!”
ในคำพูดแฝงไปด้วยความรู้สึกราวกับจะบอกว่า ‘เจ้าดูวิธีที่ผู้อื่นเลี้ยงลูกสิ’
สวีลิ่งอี๋ยิ้มเจื่อนๆ
สืออีเหนียงเห็นสวีซื่อเจี้ยที่ยืนอยู่เงียบๆ ตั้งแต่เข้าประตูมา จ้องมองสวีซื่อจุนด้วยท่าทางประหลาดใจ
นางมองสวีซื่อจุนที่สีหน้าสงบนิ่งพลางครุ่นคิด
ทุกคนนั่งคุยกันมานานกว่าครึ่งชั่วยาม ฮูหยินสองลุกขึ้นกล่าวลา ทุกคนเลยแยกย้ายกันไปเช่นกัน
ระหว่างทางสืออีเหนียงถามสวีลิ่งอี๋ด้วยความสงสัยว่า “เหตุใดพี่สะใภ้สองถึงรู้เหตุการณ์ต่างๆ ในราชสำนักเจ้าคะ”
“ตอนข้าอยู่ที่บ้านเกิด มีข่าวไม่ดีส่งตรงไปถึงไท่จื่อองค์ก่อน” สวีลิ่งอี๋พูดเสียงเบา “โดยที่เซียงอี้ใช้ข้ออ้างว่ามาเอาเสื้อผ้าให้ข้านำข่าวมาบอกพี่สะใภ้สอง แล้วพี่สะใภ้สองก็ใช้ข้ออ้างว่าจะไปคารวะฮองเฮาเพื่อส่งข่าวไปที่ไท่จื่อองค์ก่อน ต่อมามีเรื่องราวเกิดขึ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ในบางสถานการณ์พี่สะใภ้สองก็ไม่สามารถออกหน้าได้ พี่สะใภ้สองจึงให้ผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ต่อตัวเองคอยอยู่ช่วยที่แผนกรายงาน แม้ว่าตอนนี้ผู้ติดตามผู้นี้จะไม่ได้อยู่ที่แผนกรายงานแล้ว แต่กลับเป็นคนที่รู้ข่าวสารกว้างขวางมากกว่าคนทั่วไป บางครั้งเวลานำกำไรของกิจการมาส่งให้พี่สะใภ้สอง ก็จะพูดเรื่องภายนอกให้พี่สะใภ้สองฟัง”
“มิน่าเล่า พี่สะใภ้สองถึงได้รู้ไปเสียทุกอย่าง…” สืออีเหนียงยิ้ม แต่จู่ๆ ก็มีเสียงเรียกเบาๆ อย่างเหนื่อยหอบของสตรีดังมาจากด้านหลัง “ท่านโหว ฮูหยินสี่!”
ทั้งสองคนหันกลับไป เห็นอวี้ป่านกำลังเดินมาอย่างรวดเร็ว
“ท่านโหว ฮูหยินสี่!” นางควบคุมลมหายใจพลางย่อเข่าคำนับ ส่งถุงสีม่วงอมแดงปักลายดอกโบตั๋นด้วยด้ายสีทองให้ “นี่คือของที่คุณชายน้อยหกลืมไว้ที่เรือนไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินให้บ่าวนำมาส่งโดยเฉพาะเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย
ตอนไปจิ่นเกอไม่ได้เอาอะไรติดตัวไปด้วย…
อวี้ป่านพูดขึ้นมาว่า “ไท่ฮูหยินยังรอให้บ่าวกลับไปปรนนิบัติท่านล้างหน้า…”
หมายความว่าต้องรับของไปก่อนนางถึงจะไปได้
สืออีเหนียงให้จู๋เซียงรับถุงมาด้วยความสงสัย
ถุงใบนั้นดูเหมือนว่าจะหนักกว่าที่จู๋เซียงคาดไว้ ตอนที่นางรับมาก็เกือบจะทำมันร่วง
สืออีเหนียงแอบรู้สึกประหลาดใจ กลับไปจึงเปิดถุงดู
แสงแวววับเปล่งประกายพุ่งกระทบหน้า ทำให้ห้องสว่างขึ้นเล็กน้อย
สวีลิ่งอี๋ตกตะลึง “นี่คือ…”
สืออีเหนียงยิ้มเจื่อนๆ “ท่านแม่บอกว่านี่คือของที่จิ่นเกอลืมไว้!”
สวีลิ่งอี๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เหตุใดจู่ๆ ท่านแม่ถึงได้ให้ของจิ่นเกอมากมายขนาดนี้ ซ้ำแต่ละอันก็มีมูลค่ามาก! หรือว่าร่างกายของท่านแม่…” ขณะที่พูดน้ำเสียงของเขาก็สั่นเครือ
“ตอนเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิข้าได้เชิญหมอหลวงหลิวมาตรวจชีพจรทุกคนในจวนเป็นพิเศษ” สืออีเหนียงพูดพึมพำว่า “ถ้าหากท่านแม่ไม่สบาย ด้วยนิสัยของหมอหลวงหลิวแล้ว หากไม่บอกข้าก็ต้องบอกท่านโหวสิเจ้าคะ!” ทันใดนั้นนางก็นึกถึงตอนที่อู่เหนียงมาเยี่ยม เล่าเหตุการณ์ในตอนนั้นให้ฟัง “…จะเป็นเพราะเหตุผลนี้กระมัง”
สวีลิ่งอี๋ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน “ก็เป็นไปได้!” เขาหัวเราะขึ้นเสียงดัง “เจ้าเด็กคนนี้ ปกติตระหนี่ถี่เหนียว คิดไม่ถึงว่าในเวลาสำคัญจะยังรู้จักกตัญญูต่อผู้อาวุโส! ไม่เลว ไม่เลว” พอพูดจบรอยยิ้มก็ค่อยๆ จางหายไป “สืออีเหนียง” เขาโอบไหล่สืออีเหนียง “เป็นเจ้าที่สอนได้ดี!” มองนางด้วยสายตาที่ลึกซึ้ง ดูจริงจังและจริงใจอย่างเห็นได้ชัด ทำให้สืออีเหนียงรู้สึกเขินอายเล็กน้อย
นางกระแอมเบาๆ พูดขึ้นมาว่า “ท่านโหวยังจะมาพูดอีก ข้ากำลังปวดหัวอยู่เลยว่าจะให้ใครพาจิ่นเกอไปเก็บส้ม”
สวีลิ่งอี๋ประหลาดใจเล็กน้อย รอยยิ้มจางๆ พลันปรากฏในดวงตาของเขา “มีตัวเลือกที่ดียืนอยู่ตรงหน้าเจ้า เจ้าก็ไม่รู้จักลองพิจารณาดู!”
[1]เทพเหวินฉวี่ซิงจวิน หรือ ดาวเหวินฉวี่ เป็นดาวมงคลส่งผลในเรื่องการศึกษา