ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 6 อนุภรรยา
อี๋เหนียงสองรับแบบร่างเหล่านั้นมาดูอย่างตั้งใจ จากนั้นก็เลือกออกมาหนึ่งแผ่นส่งให้นายหญิงใหญ่ “อันนี้ดีที่สุดเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่ชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ตัวที่เขียนคำว่า ‘อายุ’ ตัวใหญ่เอาไว้ตรงกลางไม่ดีหรือ”
อี๋เหนียงสองพูดอย่างใจเย็นว่า “คุณหนูห้าอายุยังน้อย ยังขาดทักษะในด้านการเขียน ตอนเขียนตัวอักษรเล็กลงบนปิ่นปักผมก็คิดว่ามันเล็กไป หากใช้ตัวอักษรใหญ่จะทำให้โดดเด่นมากเกินไป”
ใบหน้าของอู่เหนียงเดี๋ยวก็แดงเดี๋ยวก็ซีด
อาจารย์ที่สอนหนังสือคุณหนูก็เคยพูดเช่นนี้
นางไม่อยากยอมรับจึงหาตัวอักษรมาฝึกเขียนเอง
เมื่อนายหญิงใหญ่ได้ยินก็ถอนหายใจ ยื่นรูปที่อี๋เหนียงสองเลือกออกมาส่งให้อู่เหนียง “เช่นนั้นก็เลือกรูปนี้ก็แล้วกัน”
ขณะที่นายหญิงใหญ่ส่งรูปภาพมา สืออีเหนียงมองดูลักษณะรูปภาพ เป็นรูปตัวอักษร ‘ร้อยปี’ ที่ถูกเขียนเป็นทรงกลม
“ผู้อาวุโสชอบอะไรที่อ้วนท้วนสมบูรณ์…เช่นนั้นก็เลือกรูปนี้เถิด” น้ำเสียงของนายหญิงใหญ่ดูมีความอ่อนล้าเล็กน้อย “อู่เหนียงรีบร่างออกมาให้เร็วที่สุด สืออีเหนียงจะได้นำไปปักเย็บ”
อู่เหนียงไม่กล้าคัดค้าน รับแบบร่างมา คุกเข่าน้อมรับคำสั่ง “เจ้าค่ะ”
อี๋เหนียงสองมองมาที่สืออีเหนียง “เช่นนั้นช่วงนี้ก็ต้องปักตัวอักษร ‘ร้อยปี’ ใช่หรือไม่”
สืออีเหนียงตอบด้วยความเคารพ “เจ้าค่ะ”
อี๋เหนียงสองพยักหน้าไม่ได้ถามอะไรต่อ แต่กลับทำให้นายหญิงใหญ่อยากรู้
“เดิมทีพวกเราอยากจะให้สืออีหนียงช่วยเรื่องงานถักสักสองสามอย่าง” อี๋เหนียงใหญ่ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “แต่ดูแล้วสืออีเหนียงคงจะไม่มีเวลาเสียแล้ว”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วชำเลืองมองนายหญิงใหญ่ เหมือนกับว่านางกำลังดูสีหน้าของนายหญิงใหญ่อยู่ เห็นว่านายหญิงใหญ่ไม่ได้แสดงท่าทีไม่พอใจจึงยิ้มแล้วพูดว่า “พี่หญิงห้าต้องใช้เวลาสองวันในการเขียนตัวอักษร ท่านต้องการจะถักสิ่งใด หากต้องการเยอะ เกรงว่าคงจะต้องรอนะเจ้าคะ”
หมายความว่าหากงานไม่เยอะก็สามารถช่วยถักให้ได้
“ข้าจะทำเสื้อคลุมกันลมให้ซิวเกอสักสองตัว” อี๋เหนียงใหญ่ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “จึงอยากจะให้สืออีเหนียงช่วยถักค้างคาวห้าตัวสองชุด”
การใช้ด้ายหนึ่งเส้นถักค้างคาวออกมาห้าตัวเป็นหนึ่งในทักษะของอาจารย์เจี่ยน และต่อมาได้สอนให้แก่สืออีเหนียง
คำว่าค้างคาวอ่านว่า ‘เปียนฝู’ ซึ่งออกเสียงเหมือนกับคำว่าความสุขที่อ่านว่า ‘ฝู’ ค้างคาวห้าตัวจึงแปลว่าอายุยืนยาว มั่งคั่งร่ำรวย สุขภาพดีแข็งแรง มีคุณธรรม มีบั้นปลายชีวิตที่ดี ไม่มีอะไรเป็นมงคลไปกว่าการถักค้างคาวห้าตัวด้วยด้ายเส้นเดียวอีกแล้ว
ซิวเกอเด็กชายวัยสามขวบเป็นบุตรชายคนโตของคุณชายใหญ่ และเป็นดวงใจของนายหญิงใหญ่
ใบหน้าของนายหญิงใหญ่ดูอ่อนโยนขึ้นเป็นอย่างมาก “ไม่รู้ว่าบรรดาสาวใช้เหล่านั้นจะดูแลเขาดีหรือไม่”
เมื่อสามปีก่อนนายท่านใหญ่สกุลหลัวคนก่อนได้เสียชีวิตลง สามพี่น้องสกุลหลัวก็ได้ลางานในตำแหน่งขุนนางแล้วกลับบ้านเกิดเพื่อจัดงานศพ ปีนี้เดือนสิบวันที่ยี่สิบสี่ก็จะครบสามปีที่สามพี่น้องต้องกลับไปรายงานตัวกับทางราชการ นายท่านสองและนายท่านสามพาสมาชิกในครอบครัวไปด้วย นายหญิงใหญ่ไม่สามารถปล่อยวางเรื่องในบ้านได้ จึงให้บุตรชายและลูกสะใภ้พาหลานชายกับลู่อี๋เหนียงไปเยี่ยนจิงกับนายท่านใหญ่คนก่อน ประการแรกเพื่อที่จะได้มีคนดูแลอยู่ข้างกายนายท่านใหญ่คนก่อน ประการที่สองเพื่อที่จะให้บุตรชายและสมาชิกในครอบครัวไปเยี่ยมพี่สาวและพี่เขย อาศัยอำนาจของสกุลหย่งผิงโหวเรียนหนังสือในเมืองเยี่ยนจิง เพื่อเข้าร่วมการทดสอบในปีหน้า เมื่อสองปีก่อนฮ่องเต้องค์ใหม่ได้เสด็จขึ้นครองบัลลังก์ หลัวเจิ้นซิ่งต้องแสดงความกตัญญูไว้อาลัยให้บิดาที่จากไปจึงไม่ได้ไปเข้าร่วมการทดสอบ
“ซิวเกอมีคุณนายใหญ่คอยอยู่ด้วย” อู๋เซี่ยวเฉวียนยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ท่านไม่ต้องเป็นกังวลหรอกเจ้าค่ะ”
ตอนนี้สืออีเหนียงได้รู้แล้วว่างานถักเหล่านี้มีไว้เพื่อทำอะไร จึงออกความคิดเห็นในทันที “อย่างอื่นข้าไม่กล้ารับปาก แต่เวลาในการถักด้ายสองม้วนยังพอมีอยู่บ้าง”
“เช่นนั้นก็ดีเลย” อี๋เหนียงใหญ่ยิ้มแล้วพูดต่อว่า “ห้องปักเย็บของข้าได้เตรียมด้ายสีสันสดใสสวยงามไว้เรียบร้อยแล้ว” ดูเหมือนว่านางจะรอไม่ไหวแล้ว
“เช่นนั้นเจ้าก็ไปช่วยอี๋เหนียงทำงานถักเถิด” นายหญิงใหญ่ยิ้มพร้อมกับกำชับสืออีเหนียง “ให้อู๋เซี่ยวเฉวียนเป็นคนอยู่พูดคุยกับข้าก็พอแล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อี๋เหนียงทั้งสอง อู่เหนียงและสืออีเหนียงก็ยืนขึ้นแล้วเดินออกไป
อี๋เหนียงใหญ่จูงมือสืออีเหนียง “ไปกันเถิด มาที่เรือนข้าแล้วข้าจะให้ไฉ่สยาทำขนมดอกบัวกุหลาบให้เจ้ากิน” ผ่านไปสักครู่ก็ยิ้มแล้วพูดกับอู่เหนียงว่า “คุณหนูห้าก็ไปนั่งเล่นที่เรือนข้าสักครู่เถิด”
เมื่อเห็นอี๋เหนียงใหญ่พูดอย่างไม่จริงใจ อู่เหนียงก็รู้สึกไม่พอใจ คิดขึ้นมาได้ว่าตอนนี้อี๋เหนียงทั้งสองก็เหมือนคนแก่ที่กำลังรอความตาย ไม่แม้แต่จะมีกระจิตกระใจเข้าสังคม
“ข้าไม่ไปเจ้าค่ะ” นางแสดงท่าทางใจเย็น “เรื่องที่นายหญิงใหญ่มอบหมายให้ ข้าจะทำผิดพลาดไม่ได้”
อี๋เหนียงใหญ่เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง อี๋เหนียงสองจึงดึงอี๋เหนียงใหญ่และสืออีเหนียงเดินไป “หากเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ขอตัวก่อน คุณหนูห้ารีบไปจัดการงานให้เสร็จเถิด”
สืออีเหนียงถูกอี๋เหนียงสองดึงไป หันกลับไปหาอู่เหนียงแล้วพูดว่า “พี่หญิงค่อยๆ เดินนะเจ้าคะ”จากนั้นก็รีบเดินไปพร้อมกับอี๋เหนียงสอง
อู่เหนียงมองสามคนนั้นจากด้านหลังแล้วเบ้ปาก จากนั้นก็กลับไปที่เรือนเจียวหยวน
อี๋เหนียงใหญ่อดบ่นไม่ได้ “ไม่เห็นต้องทำเช่นนี้ นางก็เป็นคนน่าสงสารเช่นกัน”
“เหอะ” อี๋เหนียงสองพูดด้วยความเย็นชาว่า “ในตระกูลนี้มีผู้ใดบ้างที่ไม่น่าสงสาร ไม่เพียงแต่เจ้าที่น่าสงสาร แต่ยังมีคนที่น่าสงสารมากกว่าเจ้าเสียอีก ยิ่งไปกว่านั้นพวกเราก็อายุปูนนี้แล้ว อย่างมากก็แค่รอความตาย ไม่เห็นมีอะไรน่ากลัว”
อี๋เหนียงใหญ่มองดูสืออีเหนียงที่ยืนทำตัวไม่ถูกอยู่ข้างๆ และอดกลั้นสิ่งที่ต้องการจะพูดไว้ จึงยิ้มแล้วพูดกับสืออีเหนียงว่า “เจ้านั่งรอก่อน ข้าจะไปหยิบด้าย”
อนุภรรยาทั้งสองอาศัยอยู่ติดกัน แต่นอกจากอี๋เหนียงใหญ่จะชอบการสวดมนต์ไหว้พระแล้ว ก็ยังชอบเย็บผ้าให้กับเด็กๆ ในจวนสกุลหลัวเหล่านั้น สืออีเหนียงกับอนุทั้งสองมีความสัมพันธ์ต่อกันเล็กน้อย เป็นเพราะว่าอี๋เหนียงใหญ่ได้ยินสาวใช้บอกว่าคุณหนูสิบเอ็ดเชี่ยวชาญด้านการเย็บปักถักร้อย เป็นลูกศิษย์ที่ภาคภูมิใจของอาจารย์เจี่ยน จึงคิดอยากจะให้สืออีเหนียงมาช่วยปักพระไตรปิฎก ต่อมาได้ติดต่อกันมากขึ้นจึงค้นพบว่าสืออีเหนียงเป็นคนอ่อนโยน แม้จะเป็นคนไม่พูดมาก แต่การกระทำสุขุมรอบคอบ ปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างใจดีและเอื้อเฟื้อ จึงได้ถูกชะตากับนาง มักจะเชิญให้นางมานั่งเล่นที่เรือนของตัวเอง หรือบางครั้งตัวเองก็ออกไปเดินเล่นกับคุณหนูสิบเอ็ดที่เรือนของนาง คุยกันเรื่องทั่วไปและทำงานเย็บปักถักร้อยด้วยกัน แต่ว่าอี๋เหนียงสองไม่สนใจสิ่งอื่นใดนอกจากการสวดมนต์ เวลาที่พบเจอกันโดยบังเอิญสองสามครั้งก็เพียงแต่กล่าวทักทายด้วยความเคารพ อี๋เหนียงสองก็จะพยักหน้าตอบกลับนางอย่างเรียบเฉยและไม่ได้พูดอะไร
แต่วันนี้สถานการณ์ค่อนข้างแปลกนิดหน่อย
อี๋เหนียงใหญ่ไปเอาด้าย อี๋เหนียงสองไม่เพียงแต่ไม่กลับห้องตัวเองตามปกติ ซ้ำยังกำชับสาวใช้ของอี๋เหนียงใหญ่อย่างไฉ่สยาว่า “อี๋เหนียงของพวกเจ้าบอกแล้วว่าจะให้พวกเจ้าทำขนมดอกบัวกุหลาบให้คุณหนูสิบเอ็ด ยังไม่รีบไปกันอีก”
คาดว่าอี๋เหนียงสองคงจะเป็นคนที่มีสีหน้าเคร่งขรึมมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว ไฉ่สยารับปากแล้วรีบเดินออกไปทันที
แล้วนางก็บ่นสาวใช้ของตัวเอง “ไปยืนทำอะไรตรงนั้น มีแขกมาก็ไม่รู้จักชงชาต้อนรับแขก เจ้าทำอะไรเป็นบ้าง”
ทำเอาไฉ่อวิ๋นหน้าแดงไปหมด ยกมือคำนับสืออีเหนียงจากนั้นก็หันไปชงชา
สืออีเหนียงยกชาขึ้นมาดื่ม “นี่เป็นชาชั้นเยี่ยม เป็นชาหลงจิ่งชั้นดีจากทะเลสาบซีหู”
ยากที่จะได้เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของอี๋เหนียงสอง “ใช่แล้วนี่คือชาหลงจิ่งชั้นดีจากทะเลสาบซีหู แต่ว่าข้ายังมีชาอวี้ซีที่ได้มาจากฝูเจี้ยน เจ้าลองชิมดูสิ!”
สืออีเหนียงประหลาดใจเล็กน้อย
ตอนนี้บิดาของนางก็คือหลัวหวาจงนายท่านใหญ่สกุลหลัวที่ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าทูตในฝูเจี้ยนสามสมัยและไม่สามารถย้ายไปที่อื่นได้ คิดว่านี่เป็นเรื่องเศร้าในชีวิต และด้วยเหตุนี้เขาจึงมีรากฐานที่มั่นคงในฝูเจี้ยน แม้ว่าเขาจะกังวลเรื่องในบ้าน แต่ว่าลูกน้องที่เมื่อก่อนเคยได้รับความเมตตาจากเขาก็มักจะส่งผลผลิตพิเศษของฝูเจี้ยนมาให้เขา ชาอวี้ซีก็เป็นหนึ่งในนั้น
แน่นอนว่าการที่คนอย่างหลัวหวาจงถูกแต่งตั้งให้เป็นราชทูต ไม่ว่าจะเป็นในสายตาของราชสำนักหรือในสายตาของฮ่องเต้เขาก็มีอำนาจอยู่พอสมควร ขอเพียงแค่ไม่ข้องเกี่ยวกับการกบฏ ไม่ช้าก็เร็วก็จะได้เลื่อนตำแหน่งใหม่ ยิ่งไปกว่านั้นเขายังจะได้เกี่ยวดองกับสกุลหย่งผิงโหว คนเหล่านั้นจะประมาทเขาไม่ได้
นางว้าวุ่นใจอยู่ชั่วครู่
นางรู้สึกว่าเหมือนมีบางอย่างผ่านเข้ามาในหัว อยากจะจับมันแต่ก็จับไม่ได้!
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองอี๋เหนียงสอง และทันใดนั้นนางก็พบว่าอี๋เหนียงสองมีดวงตาที่สดใสเหมือนน้ำ เมื่อมีแสงสาดเข้ามาก็มีประกายระยิบระยับ จู่ๆ คนธรรมดาคนหนึ่งก็เปิดเผยธาตุแท้เฉพาะตัวต่อหน้าตัวนาง สืออีเหนียงได้กลายเป็นหน่วยสืบสวน พยายามนึกว่าวันนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นบ้าง
ถึงแม้ว่าอี๋เหนียงใหญ่จะชอบเย็บผ้าให้กับเด็กๆ แต่ว่าเด็กๆ เหล่านี้ไม่ได้รวมคุณชายใหญ่เข้าไปด้วย เพราะว่าในจวนสกุลหลัวเขาไม่ใช่เด็กธรรมดา หากจะให้นางปักค้างคาวห้าตัวให้ งานเช่นนี้นอกจากอาจารย์เจี่ยนแล้วก็มีแต่สืออีเหนียงที่ทำได้…
“หยิบจี้หยกขึ้นมาแล้วแกว่งไว้ข้างหน้า ดวงตาจ้องไปตามการเคลื่อนไหวของมัน เมื่อทำเป็นเวลานาน เจ้าเองก็จะมีดวงตาเช่นนี้” อี๋เหนียงสองยิ้มให้นาง ดวงตาเป็นประกาย “เจ้าเริ่มฝึกฝนนับจากวันนี้ก็ยังไม่สายจนเกินไป”
สืออีเหนียงแกล้งทำเป็นไม่รู้เรื่อง หน้าตาดูมึนงง
อี๋เหนียงสองยิ้ม “คนที่ซื่อสัตย์อย่างชิงถงกลับมีบุตรสาวอย่างเจ้า ช่างน่าสนใจจริงๆ”
ชิงถงเป็นชื่อของหลู่อี๋เหนียง
“อี๋เหนียงสองพูดเรื่องอะไร ข้าไม่เข้าใจเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงสีหน้าเรียบเฉย
“จะฟังเข้าใจหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ขอแค่เจ้าไม่หูหนวกก็พอ” อี๋เหนียงสองสีหน้าดูผ่อนคลาย ดูเหมือนว่าไม่ได้โกรธที่สืออีเหนียงแกล้งทำเป็นหูหนวก ซ้ำยังชื่นชม “นับวันดูแล้ว นายท่านใหญ่กับคุณชายใหญ่คงจะถึงเยี่ยนจิงแล้ว ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น นายท่านใหญ่กับคุณชายใหญ่ต่างพากันให้คนของตัวเองนำจดหมายมาส่งให้นายหญิงใหญ่ เมื่อนายหญิงใหญ่ได้รับจดหมายจากนายท่านใหญ่ก็ให้คนไปเรียกเจ้ามาทำม่านกันลม เมื่อได้รับจดหมายจากคุณชายใหญ่ก็ได้ส่งป้าสวี่ไปส่งเงินค่าน้ำมันตะเกียงให้วัดฉืออานแล้วยังให้หู่พั่วที่เป็นคนรับใช้ของนางเป็นรางวัลแก่เจ้า จู่ๆ ก็เรียกข้าและอี๋เหนียงใหญ่ไปถามเรื่องว่าจะตีพิมพ์พระสูตรหนึ่งพันเล่มอย่างไรดี…เจ้าคิดว่ามันแปลกหรือไม่”
ว่าแต่ว่าไปหยิบด้ายที่ข้างเรือนต้องใช้เวลานานถึงเพียงนี้เลยหรือ
สืออีเหนียงมีความรู้สึกว่าอี๋เหนียงทั้งสองคนกำลังวางกับดักนาง
ภรรยาหลวงหนึ่งคน อนุภรรยาอีกหกคน และบุตรต่างมารดาอีกหลายคนที่กำลังทะเลาะกัน ต่อให้คนโง่แค่ไหนก็ไม่มีวันเชื่อว่าครอบครัวนี้จะมีความสามัคคี พี่น้องให้ความเคารพซึ่งกันและกัน
แต่ว่าไม่ว่าปัจจัยสำคัญของเรื่องนี้จะเป็นอะไร สืออีเหนียงก็จะไม่เข้าไปแทรกแซง ไม่เพียงแค่ไม่เต็มใจ ซ้ำยังไม่มีอำนาจพอที่จะเข้าไปยุ่งเรื่องนี้
“นายหญิงใหญ่นับถือในพระพุทธศาสนา การที่ให้ป้าสวี่ไปส่งค่าน้ำมันตะเกียงให้วัดฉืออาน การที่ถามอี๋เหนียงว่าจะตีพิมพ์พระสูตรอย่างไรดี ข้าคิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ” นางยิ้มแล้วมองไปที่อี๋เหนียงสอง “ส่วนเรื่องที่ให้คนรับใช้เป็นรางวัลแก่ข้า ความจริงแล้วตงชิงกับปินจวี๋ที่คอยรับใช้ข้าก็เป็นคนที่นายหญิงใหญ่ให้มาเป็นรางวัล แต่ละคนซื่อสัตย์และจิตใจดี ข้าไม่รู้จริงๆ ว่าคำว่าแปลกที่ท่านบอกนั้นมาจากตรงไหนกัน”
“ความจริงก็ไม่มีอะไรน่าแปลก” อี๋เหนียงสองยิ้มอย่างมีความสุขภายใต้การจับจ้องของนาง “ข้าก็แค่พูดขึ้นมาเฉยๆ บางคนก็ฟังเข้าใจบางคนก็ฟังไม่เข้าใจ”
สืออีเหนียงเพียงแต่ยิ้มไม่ได้ตอบอะไร ก้มหน้าเป่าฟองในถ้วยชาแล้วจิบเบาๆ
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบสงบ
“ไฉ่สยาเอาด้ายไปไว้ใต้หมอนของข้า เพื่อที่ข้าจะได้หาได้ง่าย” เมื่อหายไปพักใหญ่อี๋เหนียงใหญ่ก็ยิ้มแล้วเดินออกมา “ข้าทำให้เจ้าต้องรอนานแล้ว”
“ไม่นานหรอกเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้มอย่างอ่อนโยน “มีอี๋เหนียงสองคอยอยู่เป็นเพื่อนข้า”
อี๋เหนียงใหญ่ยิ้มแล้วพยักหน้า เอาเส้นด้ายส่งให้สืออีเหนียง “เจ้าดูสิว่าด้ายนี้ใช้ได้หรือไม่”