ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 598 รัก (กลาง)
ก่อนงานเลี้ยงของสวีซื่อจุนหนึ่งวัน ฝนได้ตกลงมาตอนกลางคืน
พอถึงกลางดึกฝนก็หยุดตก เมื่อตื่นขึ้นในเช้าวันต่อมา ใบไม้ที่ถูกชะล้างด้วยน้ำฝนนั้นดูเป็นประกายมีชีวิตชีวา สีเขียวขจีและอากาศก็สดชื่นกว่าปกติ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นดอกบัวก็จะเบ่งบาน นำพากลิ่นหอมโชยไปทั่วทั้งจวน พลอยทำให้คนที่ได้กลิ่นรู้สึกสดชื่นแจ่มใส
“เลือกวันได้ดีจริงๆ” ไท่ฮูหยินมองออกไปนอกหน้าต่าง ยิ้มพลางหันมาถามสืออีเหนียง “แขกที่จุนเกอเชิญมา ถึงครบหมดแล้วหรือยัง”
“มาถึงครบแล้วเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงรับถ้วยชาจากสาวใช้น้อยมาให้ไท่ฮูหยิน “คุณชายสกุลหวังบุตรชายของใต้เท้าหวังลี่นามว่าหวังอวิ่น คุณชายสกุลโต้วบุตรชายโต้วเก๋อเหล่านามว่าโต้วจิ้ง...” นางเล่ารายละเอียดให้ไท่ฮูหยินฟัง “จัดที่ศาลาริมน้ำฉุยหลุน ที่นั่นอากาศเย็นสบาย เหมาะสำหรับชมดอกบัวและตกปลา จุนเกอได้ชวนเจี้ยเกอมาดูแลแขกด้วยกัน ข้าให้ห้องครัวเตรียมเครื่องเคียงแปดอย่างและอาหารสิบสองจาน นอกจากเนื้อไก่ เป็ด และปลาแล้ว ยังให้คนส่งม้าเร็วไปนำพืชแปดเซียนสดๆ มาจากหนานจิงอีกด้วย ทานคู่กับน้ำแข็งเป็นของล้างปากได้อย่างดี”
ไท่ฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็เงียบไปครู่หนึ่งแล้วพูดขึ้นมาว่า “จุนเกอชวนเจี้ยเกอมาต้อนรับแขกด้วยกันหรือ” น้ำเสียงแฝงเอาไว้ด้วยความไม่เห็นด้วย
สืออีเหนียงรีบพูดขึ้นมาว่า “ทั้งสองคนสนิทกันมาตั้งแต่ยังเล็ก จุนเกอก็เอาแต่ขอร้องเรื่องนี้ ข้าคิดว่าพี่น้องสองคนได้อยู่ด้วยกัน ก็จะได้ช่วยดูแลซึ่งกันและกัน จึงได้ตอบตกลงเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินเพียงแต่ยิ้มเล็กน้อย โอบจิ่นเกอที่นั่งฟังผู้ใหญ่คุยกันอย่างว่าง่าย “ปีนี้พี่สี่จัดงานเลี้ยงที่สวนหลังจวน เจ้าอยากไปหรือไม่”
จิ่นเกอส่ายหน้า “ข้าจะปลูกแมลงขอรับ!”
“ปลูกแมลง?” ไท่ฮูหยินหันไปมองสืออีเหนียงด้วยความสงสัย
สืออีเหนียงรีบบอกไท่ฮูหยินเรื่องไส้เดือน
ไท่ฮูหยินคิดมาเสมอว่าเด็กผู้ชายไม่ควรเลี้ยงอย่างประคบประหงม เด็กที่โตมาเช่นนี้ไม่เพียงแต่จะแข็งแรง ซ้ำยังมีความกล้า เมื่อเจอลมพายุก็จะสามารถต้านทานได้ สวีลิ่งอี๋และบรรดาพี่น้องตอนเด็กๆ ก็ถูกเลี้ยงมาแบบนี้เช่นกัน
ไท่ฮูหยินยิ้มพลางพยักหน้า สีหน้าดูผ่อนคลายกว่าเดิมไม่น้อย หอมแก้มจิ่นเกอหนึ่งที แล้วพูดว่า “จิ่นเกอของพวกเราฉลาดมากจริงๆ รู้จักปลูกแมลงด้วย!”
จิ่นเกอยิ้มกว้าง
ไท่ฮูหยินกำชับสืออีเหนียงเบาๆ “จำไว้ว่าให้คนใช้จานผลึกแก้วใส่พืชแปดเซียน ความสดใสของผลึกแก้วจะยิ่งทำให้ดูสวยงามน่าทาน” แล้วพูดต่ออีกว่า “จานกระเบื้องที่ใส่อาหารอื่นๆ ก็ต้องประณีตเช่นกัน”
สืออีเหนียงรู้สึกว่าคำพูดของไท่ฮูหยินมีบางอย่างแอบแฝง คิดทบทวนบทสนทนาเมื่อครู่ในหัวอย่างรวดเร็ว อดแอบคาดเดาไม่ได้ว่า ‘หรือว่าจะหมายถึงเจี้ยเกอ คิดว่าไม่เหมาะสมที่เขาจะออกไปพบปะสังสรรค์กับจุนเกอ หรือกลัวว่าเจี้ยเกอยังไม่เคยมีประสบการณ์ในด้านนี้แล้วจะทำให้จุนเกอเสียหน้า’
แต่เรื่องนี้ไม่อาจถามได้อย่างชัดเจน นางเพียงแต่ยิ้มพลางรับปาก “เจ้าค่ะ” ถ่ายทอดคำสั่งของไท่ฮูหยินลงไป หลังจากที่กล่าวลาไท่ฮูหยินแล้ว ก็รีบให้จู๋เซียงไปสืบดูที่ศาลาริมน้ำฉุยหลุน “…ดูสิว่าด้านนั้นขาดเหลืออะไรหรือไม่ มีคนคอยปรนนิบัติเพียบพร้อมหรือไม่ คุณชายน้อยห้ากำลังทำอะไร”
จู๋เซียงรีบไปที่ศาลาน้ำฉุยหลุนทันที
สืออีเหนียงอุ้มจิ่นเกอกลับเรือน แก้ไขให้เขาพูดคำว่า ‘เลี้ยงแมลง’ ให้ถูกต้อง จากนั้นก็กำชับชิวอวี่หากะละมังที่ใช้ไม่ได้แล้วหรือมีรูเอาไปให้หวงเสี่ยวเหมา ให้หวงเสี่ยวเหมากับหลิวเอ้อร์อู่ไปขุดดินหาไส้เดือนที่สวนกับจิ่นเกอ
จิ่นเกอวิ่งไปกับบ่าวรับใช้ทั้งสองคนอย่างมีความสุข
จู๋เซียงยิ้มพลางรายงานว่า “เก๋อจินพาปี้หลัว อวี่ฮวาและคนอื่นๆ ที่รับใช้อยู่ในเรือนคุณชายน้อยสี่ไปปรนนิบัติที่ศาลาริมน้ำ ตอนที่ทุกคนกำลังเล่นกันอย่างสนุกสนาน คุณชายน้อยสกุลหวังได้วาดภาพหนึ่งภาพ ส่วนคุณชายน้อยสกุลหลี่ก็ประพันธ์กลอนห้าประกอบด้วย ตอนที่บ่าวไปถึง คุณชายน้อยห้ากำลังถือกระดาษให้ทุกคนดูเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงพูดขึ้นมาว่า “เช่นนั้นคุณชายน้อยห้าดูท่าทางเป็นอย่างไร”
จู๋เซียงนึกไปพลางพูดไปว่า “ดูมั่นใจมากเจ้าค่ะ ซ้ำยังคอยพูดคุยอยู่ข้างๆ คุณชายน้อยสกุลโต้วอย่างสนุกสนาน!”
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “เจ้าส่งสาวใช้น้อยไปดูคุณชายน้อยห้าเป็นพักๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาออกมาพบปะสังสรรค์กับแขก แม้ว่าจะมีคุณชายน้อยสี่อยู่ด้วย แต่ข้าก็ยังไม่ค่อยวางใจ”
จู๋เซียงยิ้มพลางรับคำ หันไปชี้สาวใช้น้อยที่ดูมีไหวพริบคนหนึ่ง
มีสาวใช้น้อยยิ้มพลางเข้ามารายงานว่า “ฮูหยิน สกุลจูที่เกาชิงได้ส่งผู้ดูแลให้ส่งเทียบเชิญมาให้ท่านโหว นายหญิงจูได้ส่งป้ารับใช้คนสนิทให้ตามรถม้ามาด้วยโดยเฉพาะ อยากจะเข้ามาคารวะไท่ฮูหยิน ท่าน และฮูหยินห้าเจ้าค่ะ”
ใบหน้าของสืออีเหนียงปรากฏรอยยิ้มแห่งความสุข นับวันดูแล้ว ชีเหนียงก็คงจะคลอดแล้ว “เชิญคนเหล่านั้นเข้ามาเถิด”
สาวใช้น้อยตอบรับอย่างนอบน้อม “เจ้าค่ะ” แล้วพาป้ารับใช้คนสนิทของชีเหนียงเข้ามา
ป้ารับใช้ผู้นั้นแต่งตัวเรียบร้อย เห็นได้ชัดว่านางถูกพาไปล้างหน้าล้างตาก่อนจะมาที่นี่
“ยินดีกับฮูหยินด้วย ยินดีกับฮูหยินด้วยเจ้าค่ะ” นางคุกเข่าต่อหน้าสืออีเหนียง ใบหน้าแดงก่ำ สีหน้าเผยให้เห็นความตื่นเต้นที่ปิดไม่อยู่ครู่หนึ่ง “นายหญิงของพวกเราได้รับคำอวยพรของท่านและฮูหยินห้า จึงได้ให้กำเนิดบุตรชายตัวอ้วนท้วมเจ้าค่ะ”
ให้กำเนิดบุตรชาย ในที่สุดชีเหนียงก็จะยืนอยู่ในสกุลจูได้อย่างมั่นคงแล้ว
สืออีเหนียงดีใจกับชีเหนียงอย่างมาก ให้รางวัลป้ารับใช้ผู้นั้น ถามสถานการณ์ของชีเหนียงอย่างละเอียด รู้ว่าแม้ว่าตอนคลอดจะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น แต่ว่าทั้งแม่และเด็กก็ปลอดภัยทั้งคู่ นางพาป้ารับใช้ผู้นั้นไปพบไท่ฮูหยินก่อน แล้วจากนั้นก็พาไปหาฮูหยินห้า
ฮูหยินห้าได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะออกมาทันที ให้เงินเป็นรางวัลแก่ป้ารับใช้ผู้นั้น แล้วให้คนพานางไปพักผ่อน จากนั้นก็อดยิ้มไม่ได้ “เสียดายที่ไม่ได้ถามสถานการณ์จากป้ารับใช้ผู้นั้นอย่างละเอียด ข้าเดาว่าท่าทางของจูอานผิงและมารดาของเขาคงจะต้องน่าดูมากแน่ๆ โดยเฉพาะมารดาของเขา ข้าจะรอดูว่าครั้งนี้นางจะทำอย่างไรต่อ” พูดจบก็ตะโกนเรียกเหอเซียงให้ช่วยนางเตรียมหมึกและพู่กัน “ข้าจะเขียนจดหมายถามไถ่สถานการณ์ทางนั้นแล้วให้ป้ารับใช้ผู้นั้นนำกลับไปด้วย” ท่าทางตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงกับฮูหยินห้ารู้จักกันมาหลายปีแล้วก็พอเข้าใจนิสัยของนางไม่มากก็น้อย นางเองก็นึกอยากรู้เช่นกัน ดังนั้นจึงอดยิ้มไม่ได้ ทั้งสองคนปรึกษากันพลางเขียนจดหมายส่งไปเกาชิง
เมื่อกลับมาถึงเรือน จิ่นเกอก็กลับมาแล้ว นั่งเหงื่อท่วมตัวกรอกดินอยู่ใต้ชายคาเรือน นำไส้เดือนใส่ในกะละมังที่เต็มไปด้วยดิน ดูยุ่งเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นสืออีเหนียง เขาก็เงยหน้าขึ้นมาแล้วตะโกนเรียก “ท่านแม่!” จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองต่อ
สืออีเหนียงยิ้มพลางเข้าไปในเรือน
ไม่นานนางก็ได้ยินเสียงอันไพเราะของจิ่นเกอตะโกนเรียก “ท่านพ่อ” จึงรู้ว่าสวีลิ่งอี๋กลับมาแล้ว กำชับสาวใช้ให้จัดอาหารกลางวันแล้วออกไปต้อนรับสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋นั่งคุกเข่าอยู่ข้างๆ จิ่นเกอ กำลังมองจิ่นเกอด้วยท่าทางอ่อนโยน ตั้งใจฟังเสียงใสๆ ของจิ่นเกอที่กำลังพูดถึงวิธีการเลี้ยงแมลง หวงเสี่ยวเหมากับหลิวเอ้อร์อู่ยืนกุมมืออยู่ไกลๆ ติดกำแพง
เมื่อเห็นพ่อลูกอยู่ด้วยกัน สืออีเหนียงก็หยุดฝีเท้า มุมปากยกขึ้นอย่างไม่รู้ตัว สีหน้าอันอบอุ่นและอ่อนโยนได้เผยออกมา
สวีลิ่งอี๋เข้าใจอย่างรวดเร็วว่าบุตรชายของเขาจะทำอะไร เขาหัวเราะเสียงดัง สายตาเผยให้เห็นความสนใจของผู้ใหญ่ที่กำลังมองเด็กไร้เดียงสา
จิ่นเกอกำพลั่วเล็กๆ ไว้ในมือแน่น จ้องสวีลิ่งอี๋ตาโต ดูเหมือนว่าจะไม่พอใจที่เขาหัวเราะเช่นนี้
สวีลิ่งอี๋กลับรู้สึกสนุก เข้าไปอุ้มจิ่นเกอ
จิ่นเกอกลับถอยหลังไปสองสามก้าวเพื่อหลบเลี่ยงอ้อมกอดของเขา มองสวีลิ่งอี๋ด้วยสีหน้าไม่พอใจ
สืออีเหนียงรู้สึกไม่ดี
บางครั้งสิ่งที่ผู้ใหญ่เห็นว่าเป็นเรื่องตลกกลับเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับเด็ก
นางรีบเดินเข้าไป คิดจะคลี่คลายสถานการณ์ให้ทั้งสองคน
สวีลิ่งอี๋คิดว่าเวลาที่เด็กน้อยทำท่าทางเหมือนผู้ใหญ่นั้นน่าสนใจเป็นอย่างมาก แต่เมื่อเห็นสีหน้าของบุตรชาย เขาก็รู้ทันทีว่าท่าทางของตัวเองได้ทำร้ายจิ่นเกอเข้าแล้ว จึงรีบหุบยิ้มแล้วพูดว่า “เจ้าเลี้ยงไว้ในกะละมังเช่นนี้ไม่ได้หรอก หากมันปีนหนีจะทำอย่างไร”
สืออีเหนียงถอนหายใจอย่างโล่งอก หยุดฝีเท้าลง
จิ่นเกอไม่ใช่เด็กที่โมโหรุนแรง ถูกคำพูดของสวีลิ่งอี๋ดึงดูดไปทันที คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะวิ่งเข้าไปในเรือน
สวีลิ่งอี๋พึ่งจะสังเกตเห็นสืออีเหนียง เขายิ้มพลางยืนขึ้น ถามนางอย่างอ่อนโยนว่า “ร้อนหรือไม่”
“ข้าอยู่ในเรือนตลอด ไม่ร้อนเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงย่อเข่าคำนับ “ท่านโหวเข้าไปพักในห้องเถิด! ประเดี๋ยวข้าจะไปตักน้ำมาให้ท่านโหวล้างหน้า”
ขณะที่กำลังพูด จิ่นเกอก็วิ่งออกมาจากในห้อง
เขาอาจานรองผลไม้ทรงสูงไปปิดไว้บนกะละมังเลี้ยงไส้เดือน จากนั้นก็ปรบมือ มองสวีลิ่งอี๋ด้วยความภาคภูมิใจ “เช่นนี้มันก็หนีไม่ได้แล้ว!”
สวีลิ่งอี๋อดยิ้มไม่ได้ “แม้ว่ามันจะหนีไม่ได้แล้ว แต่ว่ามันจะหายใจไม่ออกจนตายเอาได้!”
จิ่นเกอจ้องมองกาละมัง แล้วมองสวีลิ่งอี๋ สุดท้ายสายตาก็ไปหยุดอยู่ที่สืออีเหนียง
สืออีเหนียงก็ไม่รู้ว่าไส้เดือนจะขาดอากาศหายใจตายหรือไม่ แต่ก็คิดว่าเป็นไปได้ แล้วสวีลิ่งอี๋ก็เป็นคนพูดออกมาเอง จึงพยักหน้าให้จิ่นเกอเบาๆ
จิ่นเกอจึงเบะปากด้วยความเสียใจ
สวีลิ่งอี๋เข้าไปอุ้มบุตรชายทันที “เอาเถิด พวกเราให้แม่ของเจ้าหาตาข่ายถี่ๆ มาคลุมไว้ด้านบนก็ได้แล้ว!”
จิ่นเกอตาเป็นประกายทันที หันไปมองสืออีเหนียง “ท่านแม่ ท่านรีบช่วยข้าหาตาข่ายหน่อยขอรับ ไม่เช่นนั้นไส้เดือนของข้าก็จะหนีไปหมด!”
สืออีเหนียงใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดเหงื่อที่หน้าผากของบุตรชายด้วยความเอ็นดู เดินตามหลังสวีลิ่งอี๋ไปที่ห้องโถง ยิ้มแล้วพูดว่า “ได้สิ ข้าจะช่วยหาตาข่ายให้เจ้าประเดี๋ยวนี้”
จิ่นเกอดิ้นไปมาจะลงจากอ้อมแขนของสวีลิ่งอี๋พลางพูดกับหวงเสี่ยวเหมากับหลิวเอ้อร์อู่ว่า “พวกเจ้าคอยเฝ้าไว้ อย่าให้ไส้เดือนของข้าหนีออกไป!”
สวีลิ่งอี๋หยุดฝีเท้าลง
บ่าวรับใช้ทั้งสองเหลือบมองสวีลิ่งอี๋ด้วยความกลัว รีบตอบพร้อมกันว่า “ขอรับ”
จิ่นเกอหยุดดิ้นไปมา สวีลิ่งอี๋จึงได้อุ้มจิ่นเกอเข้าห้องไป
สืออีเหนียงเรียกสาวใช้น้อยเข้ามาปรนนิบัติคุณชายทั้งสองล้างหน้าและเปลี่ยนชุด แล้วไปหาตาข่าย จากนั้นก็ไปที่ใต้ชายคาเรือนกับจิ่นเกอที่ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้ว
หวงเสี่ยวเหมากับหลิวเอ้อร์อู่ยืนเฝ้าอยู่ตรงนั้นตลอด
จิ่นเกอกับบ่าวรับใช้ทั้งสองคนช่วยกันเอาตาข่ายปิดกะละมัง จากนั้นก็กลับไปทานอาหารกลางวัน
พอทานอาหารกลางวันแล้ว เขาก็วิ่งกลับไปดูไส้เดือนอีก “เสี่ยวเหมา เอ้อร์อู่ พวกเจ้าลองนับดูสิว่ามีไส้เดือนหนีไปหรือไม่!”
เด็กทั้งสองคนนั้นกำลังจะเทดินในกระถางออกมานับไส้เดือน
สืออีเหนียงรีบห้ามไว้ “เจ้าดูวิธีการปลูกดอกไม้ของสะใภ้หลี่ถิงสิ นำเมล็ดไปปลูกไว้ในดินแล้วก็เพียงแค่รดน้ำ จากนั้นผ่านไปไม่กี่วันต้นกล้าก็จะงอกขึ้นมาเอง หากเจ้าเทดินออกมาแล้วเอาใส่เข้าไปใหม่ซ้ำๆ เช่นนี้ ไส้เดือนจะเติบโตได้อย่างไร! ”
จิ่นเกอพยักหน้า แม้ว่าเขาจะล้มเลิกความคิดที่จะเทดินออกมานับไส้เดือน แต่กลับกำชับหวงเสี่ยวเหมากับหลิวเอ้อร์อู่ว่า “พวกเจ้าจำไว้ว่าทุกวันตอนเช้าต้องมารดน้ำไส้เดือนด้วย”
บุตรชายข้าช่างน่ารักเกินไปแล้ว!
สืออีเหนียงยิ้มพลางหอมแก้มบุตรชายหนึ่งที จากนั้นก็พาจิ่นเกอไปนอนกลางวัน
******
เมื่อถึงยามบ่าย สืออีเหนียงก็เล่านิทานให้จิ่นเกอฟัง
พอเล่าจบแล้วจิ่นเกอก็วิ่งออกไปดูไส้เดือนที่เขาเลี้ยงไว้ใต้ชายคา แล้วยังถามหวงเสี่ยวเหมากับหลิวเอ้อร์อู่ที่ยืนเฝ้าอยู่ว่า “มันโตขึ้นหรือยัง”
หวงเสี่ยวเหมากับหลิวเอ้อร์อู่ส่ายหน้า หวงเสี่ยวเหมาพูดขึ้นมาว่า “จะโตเร็วขนาดนั้นได้อย่างไร! อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสี่ถึงห้าวันขอรับ”
จิ่นเกอผิดหวังเล็กน้อย นั่งฟังนิทานอยู่ในอ้อมแขนของสืออีเหนียงเงียบๆ
จู๋เซียงเดินเข้ามา นางส่งสายตาให้สืออีเหนียง “ฮูหยิน เมื่อครู่คุณชายน้อยห้าพึ่งจะกลับเรือนของตัวเองเจ้าค่ะ!”