ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 592 พิธีครบเดือน (กลาง)
โจวเต๋อฮุ่ยคุกเข่าลงบนพื้น จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่คมชัด แต่แฝงเอาไว้ด้วยความไม่สบายใจ “…เดิมที่รับปากใต้เท้าหลี่เอาไว้ แต่กลับได้รับเทียบเชิญของคุณชายห้า เถ้าแก่น้อยของคณะเราเลยพาลูกศิษย์สองสามคนที่ไปจวนของใต้เท้าหลี่ ส่วนข้าพาลูกศิษย์สองสามคนมาที่นี่ขอรับ แต่เพราะว่าคนไม่พอ จึงยืมคนคณะอื่นมาช่วยงานสองคน คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเจอกับท่านซื่อจื่อและคุณชายน้อยห้า ข้าน้อยสมควรตายจริงๆ ขอรับ!” พูดจบ เขาก็โขกศรีษะให้สืออีเหนียงเสียงดังสามครั้ง “ข้าจับพวกเขามัดไว้แล้ว คุกเข่าอยู่หน้าประตู รอฟังฮูหยินขอรับ”
สืออีเหนียงไม่ได้ตอบกลับเขาในทันที นางถือถ้วยชาขึ้นมา ใช้ฝาถ้วยชาปัดใบชาที่ลอยอยู่ข้างบนเบาๆ
เสียงถ้วยชากระทบกันทำให้เกิดเสียงดังก้องกังวาลในห้องที่เงียบสงัด พลอยทำให้ผู้คนรู้สึกว่าหากหายใจเข้า ถ้วยชานั้นก็จะแตกสลาย ราวกับสถานการณ์ของเขาในตอนนี้ หากคนที่ถือถ้วยชาโมโห ร่างของเขาก็จะแตกสลายเป็นชิ้นๆ…
ราวกับมีก้อนหินก้อนใหญ่กดทับอยู่ในใจ โจวเต๋อฮุ่ยยิ่งก้มหน้าลงต่ำกว่าเดิม
“ที่จริงแล้ว สอนคุณชายน้อยห้าร้องเพลงงิ้วสองสามท่อนไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร คุณชายห้าของเราก็ชอบเรื่องพวกนี้” สืออีเหนียงเห็นโจวเต๋อฮุ่ยตัวสั่นเทา นางจึงพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “แต่การที่ให้คุณชายน้อยห้าของเราไปเทียบกับนักแสดงงิ้วพวกนั้น แล้วยังหัวเราะเยาะเขา ช่างไร้มารยาทเสียจริง” บนโลกใบนี้นิสัยคนเรามักชอบสอดรู้สอดเห็น หากจงใจหลีกเลี่ยงปัญหานี้ เกรงว่าคงจะยิ่งดึงดูดความสนใจของคนอื่นมากขึ้น ไม่สู้เผชิญหน้ากับมันด้วยท่าทีที่ปกติยังจะดีเสียกว่า “ยิ่งไปกว่านั้นพวกเจ้าเป็นคนเลี้ยงชีพด้วยศิลปะ ฝึกฝนอะไรแค่ผิวเผิน คุณชายน้อยออกมาร่วมงานเลี้ยง คนหนึ่งสวมเสื้อผ้าไหมทอลาย อีกคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าไหมสู่จิ่น เขายังกล้าทำเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนกล้าหาญไม่น้อย หากวันนี้ข้าไม่ลงโทษเขา เกรงว่าต่อไปเขาคงจะก่อเรื่องให้คณะงิ้วของเจ้า แต่หากข้าลงโทษเขา หัวหน้าคณะบอกว่า เขาคือคนที่เจ้ายืมมาจากคณะอื่น เกรงว่าข้าคงจะทำให้หัวหน้าคณะเสียหน้าแล้ว” พูดจบ นางก็พูดต่ออย่างลังเล “ช่างน่าลำบากใจจริงๆ”
ก่อนที่โจวเต๋อฮุ่ยจะมาเขาได้คิดจุดจบที่เลวร้ายที่สุดไว้แล้ว ตอนนี้ได้ยินน้ำเสียงที่ผ่อนคลายของสืออีเหนียงก็ราวกับได้ยินเสียงของสรวงสวรรค์ เขารีบพูด “ล้วนแต่เป็นความผิดของข้าเองขอรับ ฮูหยินเป็นคนใจกว้าง ข้าไม่มีทางให้เขาทำให้ท่านซื่อจื่อ คุณชายน้อยและหลานชายของท่านแปดเปื้อนแน่นอน แสดงงิ้วเสร็จแล้ว ข้าจะจัดการเขา ไล่เขาออกไปจากเยี่ยนจิงทันทีขอรับ” พูดจบ เขาก็โขกหัวให้สืออีเหนียงอย่างแรงอีกครั้ง
“หัวหน้าโจวรีบลุกขึ้นมาเถิด” ถึงแม้ว่านางจะแต่งเข้ามาอยู่ในสกุลสวีนานแล้ว แต่สืออีเหนียงก็ยังไม่ค่อยคุ้นชินกับการที่มีคนก้มหัวให้ตัวเอง “ข้าก็เป็นแขก ไม่อยากทำให้คุณชายสามไม่สบายใจ ในเมื่อหัวหน้าโจวตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นกลับไป ข้าก็ไม่จำเป็นต้องเล่าเรื่องนี้ให้ท่านโหวและคุณชายห้าฟังแล้ว!”
โจวเต๋อฮุ่ยขอตัวออกไปด้วยสีหน้าที่ซาบซึ้ง
สวีซื่อจุนลังเลที่จะพูดบางอย่าง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วถามว่า “มีอะไรหรือ”
สวีซื่อจุนพูดตะกุกตะกัก “คนคนนั้นไม่ใช่คนของคณะเต๋ออินปาน เช่นนั้นหัวหน้าโจวจะจัดการเขาได้เช่นไรขอรับ…” เขาพูดด้วยท่าทีที่ไม่พอใจ
สืออีเหนียงรู้สึกตกใจ จากนั้นนางก็หัวเราะ เดินเข้าไปจับไหล่ของสวีซื่อจุนแล้วหอมหน้าผากเขา
สวีซื่อจุนหน้าแดง “ท่านแม่ขอรับ … “ เขาพูดด้วยท่าทีทำอะไรไม่ถูก
ครั้งล่าสุดที่สืออีเหนียงหอมเขาก็ผ่านมาหลายปีแล้ว
“จุนเกอของเราโตขึ้นแล้ว!” สืออีเหนียงมองเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความพอใจ “รู้จักใช้สมองแยกแยะเรื่องผิดถูกแล้ว!” จากนั้นก็จับไหล่เขามานั่งบนเตียงเตา “เจ้าพูดถูก โจวเต๋อฮุ่ยคนนั้น ตั้งแต่เดินเข้าประตูมาก็ไม่ได้พูดความจริง เจ้าลองคิดดูสิ ในเมื่อท่านอาห้าของเจ้าเป็นคนส่งเทียบเชิญไปให้เขา แล้วยังเป็นงานเลี้ยงของท่านลุงสาม ถึงแม้ว่าจะเทียบกับที่จวนเราไม่ได้ แต่พวกเขาก็ไม่มีทางกล้าพาใครเข้ามาตามอำเภอใจ ต้องรู้ว่า งานเลี้ยงเช่นนี้มักจะวุ่นวาย ลานนอกและลานในก็แบ่งแยกไม่ชัดเจน หากคนที่ติดตามมาแอบขโมยของหรือว่าบังเอิญเจอและล่วงเกินญาติผู้หญิงคนไหน เช่นนั้นคงมีโทษถึงตาย ดังนั้น เขาไม่ใช่คนที่ยืมมาจากคณะอื่น แล้วถึงแม้ว่าจะเป็นคนที่ยืมมาจากคณะอื่น เช่นนั้นก็ต้องสนิทสนมกับคณะของพวกเขาเป็นอย่างดี หัวหน้าโจวไม่เพียงแต่รู้จักพวกเขาดี แล้วพวกเขาก็มักจะติดตามมาจัดแสดงงิ้วให้หัวหน้าโจวตอนที่คนไม่พอ เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นคนในคณะเดียวกัน ไม่อย่างนั้น หัวหน้าโจวไม่มีทางบอกว่าจะจัดการเขาตามกฎเกณฑ์ของคณะแน่นอน”
สวีซื่อจุนพยักหน้า
“เขามาถึงก็บอกว่าท่านอาห้าเป็นคนเชิญ แล้วก็บอกว่ารับปากคนอื่นไปแล้ว ความหมายก็คือเห็นแก่หน้าท่านอาห้าของเจ้า เขาจึงหาวิธีมาจัดแสดงที่จวนท่านลุงสามของเจ้าให้ได้ พอเราได้ยินเช่นนี้ ก็ต้องใจอ่อนเป็นธรรมดา แล้วเขาก็บอกว่าจับคนคนนั้นไว้แล้ว รอให้ข้าจัดการอยู่ข้างนอก เมื่อเราได้ยินเช่นนี้ ก็ต้องหายโมโหไม่น้อย แล้วก็บอกว่าวันนี้คือพิธีครบเดือนของหลานชายข้า เห็นแก่หน้าญาติๆ ของเรา เราคงจะไม่กล้าทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ เช่นนี้ มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรแล้ว “
“ในเมื่อท่านแม่รู้…แล้วทำไมยัง…” สวีซื่อจุนมองสืออีเหนียงด้วยความสับสน
สืออีเหนียงยิ้ม “ก็เพราะว่าข้าพอใจกับการจัดการของหัวหน้าโจว!”
สวีซื่อจุนไม่เข้าใจ
สืออีเหนียงพูดเบาๆ “คนทำกิจการมีสังคม มีกฎเกณฑ์ของคนทำกิจการ จัดการตามกฎเกณฑ์ของคณะ คือต้องเปิดห้องโถงบรรพชนต่อหน้าบรรพบุรุษ เชิญญาติผู้ใหญ่ที่เป็นที่เคารพนับถือมาลงโทษลูกศิษย์ต่อหน้าทุกคน คณะเต๋ออินปานคือคณะงิ้วที่มีชื่อเสียงในเยี่ยนจิง มีอิทธิพลในสกุลหลีหยวน เขาคนนั้นหัวเราะเยาะพวกเจ้า หัวหน้าโจวจัดการเขาตามกฎเกณฑ์ของคณะ ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้วหัวหน้าโจวไม่ได้ไล่เขาออกไปจากเยี่ยนจิง แต่หากคณะอื่นรู้เรื่องนี้ ก็ไม่มีทางรับเขาเข้าไปอยู่ในคณะ ต่อไปเขาก็ไม่มีทางได้ร้องงิ้วอีก เช่นนี้ก็พอแล้ว คำโบราณว่าเอาไว้ อย่ารังแกกันเกินไป คนที่ดีแค่ไหน หากถูกรังแกจนทนไม่ได้ เขาก็อาจจะทำเรื่องที่คนอื่นคิดไม่ถึง พวกเราล้วนแต่ถูกบังคับ ถึงแม้ว่าเขาจะร้องงิ้วไม่ได้ แต่ก็ยังสามารถทำอย่างอื่นได้ ยังสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไป เขาก็ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้อีก เหตุใดเราถึงต้องหาเรื่องให้ตัวเองเล่า”
ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่สืออีเหนียงไม่ได้บอกสวีซื่อจุน
หากนางจัดการคนคนนั้นเองจริงๆ ก็จะทำให้ไท่ฮูหยิน สวีลิ่งอี๋ สวีลิ่งควนและฮูหยินห้าตกใจ ทำให้สวีซื่อเจี้ยกลายเป็นจุดสนใจอีกครั้ง
เรื่องในอดีตนั้นเป็นภัยต่อสวีซื่อเจี้ย
แต่กระดาษห่อไฟไม่ได้
นางอยากให้สวีซื่อเจี้ยโตกว่านี้อีกสักหน่อย ค่อยหาโอกาสที่เหมาะสม ให้นางได้เล่าเรื่องราวที่เกี่ยวกับเขาให้เขาฟังด้วยตัวเอง ไม่ใช้ให้เขาไปได้ยินมาจากปากของคนอื่น แล้วพยายามหาหลักฐานพยานให้ตัวเองด้วยความเสียใจ…ถึงแม้ว่าสวีซื่อเจี้ยจะไม่ใช่ลูกของนาง แต่เขาโตมากับนาง นางไม่ยอมให้ลูกของตัวเองต้องทำอะไรน่าอนาถเช่นนั้น นี้คือเห็นผลที่ทำไมตอนนั้นนางถึงต้องเลือกสาวใช้และป้ารับใช้ของสวีซื่อเจี้ยอย่างพิถีพิถัน พิถีพิถันมากกว่าตอนที่เลือกสาวใช้และป้ารับใช้ที่ดูแลจิ่นเกอเสียอีก แล้วก็คือเหตุผลที่ทำไมไม่ว่านางจะไปที่ไหนก็ต้องพาเขาไปด้วย เพราะตราบใดที่เขาอยู่เคียงข้างนาง คนพวกนั้นก็จะไม่มีทางทำอะไรบุ่มบ่าม ลดโอกาสที่จะทำให้สวีซื่อเจี้ยได้ยินข่าวลือพวกนั้น
ดังนั้นตอนสุดท้ายที่นางพูดถึงสวีลิ่งอี๋และสวีลิ่งควน ความจริงแล้วนางกำลังเตือนโจวเต๋อฮุ่ย ว่าหากไม่ไล่คนคนนั้นออกไปจากเยี่ยนจิงตามที่พูดไว้ สกุลสวีไม่มีทางยอมแน่นอน
สวีซื่อจุนจะรู้ความคิดในใจของสืออีเหนียงได้เช่นไร นางมองสืออีเหนียงด้วยสายตาที่เป็นประกาย “ท่านแม่เก่งมากเลยขอรับ แม้แต่กฎเกณฑ์ของคณะพวกเขาท่านก็รู้”
สืออีเหนียงเหงื่อตก
นางรีบพูด “ข้าได้ยินมาจากคนอื่น ไม่เหมือนเจ้า ที่ได้ไปไหนมาไหนกับท่านพ่อ ได้เห็นเองกับตาว่าเรื่องพวกนี้ถูกต้องหรือไม่” จากนั้นนางก็ยิ้ม “เข้าใจเรื่องราวเป็นความรู้อย่างหนึ่ง เข้าใจผู้คนก็เป็นความรู้อย่างหนึ่งเช่นกัน เช่นนั้นเจ้าต้องเรียนรู้เรื่องพวกนั้นกับท่านพ่อให้ดี เจอกับคนเจ้าเล่ห์ พวกเขาจะได้หลอกเจ้าไม่ได้ ต่อไปหากน้องๆ ตกอยู่ในอันตราย เจ้าจะได้ปกป้องพวกเขา อย่าปล่อยให้คนอื่นรังแกพวกเขา! “
“ข้ารู้แล้วขอรับ!” สวีซื่อจุนรับปากเสียงดัง “ข้าจะตั้งใจเรียน ตั้งใจเรียนรู้การจัดการเรื่องต่างๆ กับท่านพ่อ ถึงตอนนั้นข้าไม่มีทางปล่อยให้ใครมารังแกน้องๆ แน่นอนขอรับ”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้าให้เขา
สวีซื่อจุนเองก็ยิ้มหน้าบาน
สืออีเหนียงถือโอกาสนี้สั่งสอน “เจ้าเป็นพี่ชาย หากต่อไปเจอเรื่องเช่นนี้อีก เจ้าต้องลากเจี้ยเกอออกมา รู้หรือไม่”
ใครจะรู้ว่าสวีซื่อจุนได้ยินเช่นนี้ก็ละอายใจอย่างมาก เขาก้มหน้าลงด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ
สืออีเหนียงตกใจ นางครุ่นคิดแล้วพูดอย่างอ่อนโยน “ไม่เป็นไร จุนเกอของเราพึ่งจะเคยเจอเรื่องเช่นนี้เป็นครั้งแรก ไม่แปลกที่เจ้าจะไม่รู้ ต่อไปเจ้าก็รู้แล้ว!”
แต่สวีซื่อจุนกลับส่ายหน้า เขามองหน้าสืออีเหนียงแล้วพูดเบาๆ “ข้า…ข้ากลัวขอรับ!”
สืออีเหนียงแปลกใจ
สวีซื่อจุนพูด “…พวกเขามีเยอะขนาดนั้น…หากป้าหนานออกไปรายงาน...ข้ากลัว…ข้าจึงจับมือป้าหนานเอาไว้แน่น…”
สืออีเหนียงหัวเราะ
สวีซื่อจุนเงยหน้าขึ้นด้วยความงุนงง
สายตาของสืออีเหนียงเป็นประกายด้วยความเจ้าเล่ห์ “เจ้ากลัวพวกเขา แล้วเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าพวกเขาเองก็กลัวเจ้าเช่นกัน!”
“พวกเขากลัวข้าหรือขอรับ” สวีซื่อจุนมองสืออีเหนียงด้วยความฉงน “พวกเขามีกันตั้งเยอะแยะ จะกลัวข้าได้เช่นไร”
“บนในโลกใบนี้ ใช่ว่าใครมีคนเยอะกว่าก็จะน่ากลัวกว่า!” สืออีเหนียงพูดช้าๆ “เจ้าลองคิดดู ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีเยอะ แต่สถานะของเจ้าสูงกว่าพวกเขา แค่ไปฟ้องหัวหน้าโจว ก็สามารถทำให้พวกเขาถูกลงโทษได้ แล้ว ยังถูกไล่ออกไปจากเยี่ยนจิง แต่ทั้งๆ ที่พวกเขารู้ แล้วทำไมพวกเขายังหัวเราะเยาะพวกเจ้า”
สวีซื่อจุนไม่เข้าใจ
สืออีเหนียงให้กำลังใจเขา “เจ้าลองนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้น!”
“เราไปหลังเวที…” สวีซื่อจุนระลึกความหลัง “พวกเขาเห็นพวกเรา พวกเขาก็ยืนกุมมืออยู่ข้างๆ…ได้ยินข้าถามว่ามีดาบใหญ่หรือไม่ พวกเขาก็เดินเข้ามาล้อมรอบพวกเรา…แล้วยังมีคนยกชามาให้พวกเรา มีคนสอนข้ารำดาบ…มีแค่คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไท่ซือที่ไม่ขยับไปไหน…เขาร้องงิ้วให้เราฟัง แล้วยังถามว่าเราชอบฟังหรือไม่ หากชอบฟัง ต่อไปก็เชิญคณะพวกเขาไปร้อง หากอยากเรียนร้องงิ้ว เขายังสามารถสอนเราร้องได้…เขาทาแป้งที่หน้า แต่กลับไม่เหมือนอวี่ฮวา กลิ่นมันหอมๆ แต่ก็แปลกๆ ข้าไม่ค่อยชอบสักเท่าไหร่…ข้าจับมือน้องห้าออกมา แต่เขากลับห้ามข้า จะสอนข้าร้องงิ้วให้ได้ ป้าหนานเดินเข้ามา จะพาข้าออกไป แต่เขากลับขอร้อง…” พูดจบ เขาก็มองหน้าสืออีเหนียงด้วยสายตาที่ขี้ขลาด “ข้าจึงฟังเขาร้องสองสามท่อน…น้องห้าคิดว่ามันไพเราะ จึงร้องตามเขาขอรับ… “
สืออีเหนียงไม่ฟังก็เดาออกว่าต่อมาเกิดอะไรขึ้น
ราวกับคนที่พึ่งออกมาเจอสังคมภายนอก ทั้งๆ ที่ไม่อยากทำ แต่กลับปฏิเสธไม่ได้ สุดท้ายพวกนั้นได้คืบจะเอาศอก…
นางถามเบาๆ “เจ้าดูสิ ตอนที่พวกเจ้าเดินเข้าไป พวกเขาถามว่าเจ้าต้องการอะไร แล้วยังยกชามาให้พวกเจ้าดื่ม เหมือนบ่าวรับใช้ในจวนของเรา เช่นนั้นพวกเขาเริ่มหัวเราะเยาะพวกเจ้าตั้งแต่เมื่อไร”
สวีซื่อจุนไม่ได้ตอบกลับมาทันที เขาค่อยๆ ได้สติกลับมา “ตอนที่ป้าหนานตำหนิพวกเขา ข้ากอดแขนป้าหนานแน่น น้องห้าร้องงิ้วให้พวกเขาฟังขอรับ…”
สืออีเหนียงพูดเป็นนัย “เจ้าดูสิ ตอนที่เจ้าไม่กลัวพวกเขา พวกเขาล้วนแต่ต้องทำตามใจเจ้า แต่เมื่อเจ้าทำท่าทีหวาดกลัว พวกเขาไม่เพียงแต่ไม่กลัวเจ้า แล้วยังหัวเราะเยาะเจ้า ดังนั้น มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนคน แต่มันขึ้นอยู่กับว่าใครกล้าหาญมากกว่ากัน!”
สวีซื่อจุนก้มหน้าลง แล้วกำหมัดแน่น