ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 579 สับสนวุ่นวาย (ต้น)
“ข้าไม่รักษาคำพูดตอนไหนกัน!” สวีซื่ออวี้ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้น “ข้ารับปากจะพาจิ่นเกอไปพายเรือ ก็จะต้องพาจิ่นเกอไปพายเรืออย่างแน่นอน อีกอย่างการเข้าร่วมการสอบระดับราชสำนักก็ไม่สามารถหวังพึ่งแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างเดียวเท่านั้น!”
ฟังซื่อที่ยืนอยู่ข้างๆ สวีซื่อฉินได้ยินแล้วก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าเบาๆ
ฮูหยินสองได้ยินแล้วก็เดินเข้ามา “ที่ผ่านมาเจ้าร่ำเรียนอย่างหนัก การที่เจ้าคิดได้เช่นนี้ ก็แสดงว่าความรู้ที่เจ้าฝึกฝนร่ำเรียนมาอย่างลำบากนั้นหนักแน่นเพียงพอแล้ว!”
สีหน้าของสวีซื่ออวี้เปลี่ยนเป็นเก้อเขินทันที
สวีซื่อฉินเองก็ทำตัวไม่ถูกขึ้นมา
ป้าสะใภ้สองพูดออกมาเช่นนี้ ราวกับว่าการศึกษาของเขายังไม่ดีพออย่างไรอย่างนั้น
สวีซื่อเจี่ยนก็รีบเข้าไปช่วยพี่ชายแก้สถานการณ์ทันที เขาชี้ไปยังจิ่นเกอที่หยุดร้องไห้แล้ว “พวกท่านดูสิ จิ่นเกอไม่ร้องไห้แล้ว” จากนั้นก็จับไหล่ของสวีซื่ออวี้พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านคงถูกจิ่นเกอต้มเข้าแล้วกระมัง! พรุ่งนี้อย่าลืมพาจิ่นเกอไปพายเรือด้วยเล่า” จากนั้นก็ได้พูดต่อไปว่า “ให้พวกข้าไปเป็นเพื่อนท่านด้วยดีหรือไม่ เล่นคนเดียวย่อมไม่สนุกเท่าเล่นด้วยกันหลายๆ คนอยู่แล้ว!”
ทุกคนได้ยินแล้วก็พากันหัวเราะด้วยความขบขัน
สืออีเหนียงพูดกับจิ่นเกอด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มว่า “ยังไม่รีบขอบคุณพี่สองของเจ้าอีก!”
จิ่นเกอจึงรีบพูดตามสืออีเหนียงว่า “ขอบคุณพี่สองขอรับ”
สวีซื่ออวี้ยิ้มพลางหยิกแก้มของเขาเบาๆ “พรุ่งนี้พวกเราไปพายเรือเล่นกัน!”
สวีซื่อจุนได้ยินแล้วก็แสดงสีหน้าสงสัยขึ้นมาทันที “ท่านแม่ ข้าไปเป็นเพื่อนด้วยได้หรือไม่ขอรับ”
สวีซื่อเจี้ยที่คอยตามสวีซื่อจุนมาโดยตลอดได้ยินแล้วก็รีบพูดขึ้นว่า “ท่านแม่ ข้าด้วย ข้าก็ไปเป็นเพื่อนด้วยขอรับ!”
เขาพูดขึ้นด้วยความมั่นใจ น้ำเสียงจึงค่อนข้างก้องกังวาน คนที่อยู่ในเรือนล้วนได้ยินกันถ้วนหน้า
ต่างก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะขึ้นมา
ไท่ฮูหยินก็ชี้ไปยังสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ย “เด็กสองคนนี้นี่…” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเอ็นดู
สวีซื่อจุนก็รู้สึกใจกล้าขึ้นมาทันที เขารีบเข้าไปดึงแขนเสื้อของไท่ฮูหยินเบาๆ “ท่านย่า พรุ่งนี้เรามาพายเรือนเล่นอีกนะขอรับ!” เขาอยากจะให้เรื่องนี้ถูกตกลงเรียบร้อยก่อน จึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ได้พูดขึ้นว่า “ท่านป้าสะใภ้สองบอกแล้วว่าจะต้องตั้งใจร่ำเรียนและฝึกฝนอย่างหนัก ไม่หวังพึ่งแต่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่ผ่านมาข้าตั้งใจเล่าเรียนอย่างหนัก เล่นเพิ่มอีกสักวันก็คงจะไม่เป็นไรขอรับ!”
ไท่ฮูหยินเห็นเขาตื่นเต้นและกระตือรือร้นเช่นนี้เป็นครั้งแรก ก็รีบดึงเขามากอดไว้ด้วยความดีใจ “ได้สิ พรุ่งนี้พวกเราไปพายเรือด้วยกันอีกหนึ่งวัน” จากนั้นก็หันไปพูดกับสืออีเหนียงว่า “ทางฝั่งเจี้ยเกอก็ไปลากับอาจารย์จ้าวสักหนึ่งวัน อย่างไรเสียอาจารย์จ้าวก็จะต้องหยุดพักผ่อนทุกวันที่หนึ่งของทุกเดือนอยู่แล้ว หยุดเพิ่มอีกสักวันคงไม่เป็นไรกระมัง” จากนั้นก็หันไปพูดกับสวีซื่อฉินและสวีซื่อเจี่ยนว่า “ถึงเวลานั้นพวกเจ้าทั้งสองก็พาภรรยามาด้วย มาเล่นไพ่กันใหม่อีกรอบ!”
ทุกคนได้ยินแล้วก็พากันยิ้มพร้อมกับขานรับอย่างพร้อมเพรียง
สวีซื่อจุนผละออกจากอ้อมกอดของไท่ฮูหยิน
“พรุ่งนี้ข้าจะไปเรียกเจ้าแต่เช้า” เขาเดินเข้าไปจูงมือของสวีซื่อเจี้ย จากนั้นก็นึกขึ้นได้ว่าที่ทุกคนได้ไปพายเรือครั้งนี้เป็นเพราะจิ่นเกอ จึงหันไปจูงมือของจิ่นเกอด้วย “พรุ่งนี้พวกเราไปพายเรือด้วยกัน!”
จิ่นเกอได้ยินแล้วก็ยิ้มกว้างขึ้นมาทันที
เพล้ง! จู่ๆ ก็มีเสียงเครื่องเคลือบแตกดังขึ้น
ทุกคนต่างก็ตกใจ พากันหันไปมองยังทิศทางของต้นเสียง
โต๊ะน้ำชาที่ตั้งอยู่ข้างๆ ซินเจี่ยเอ๋อร์ว่างเปล่า รอบๆ เท้าของนางเต็มไปด้วยเศษเครื่องเคลือบที่กระจัดกระจายเต็มพื้น
“จิ่นเกอเป็นคนตีข้าก่อน!” ซินเจี่ยเอ๋อร์กระทืบเท้าพร้อมกับจ้องมองไปยังจิ่นเกอที่กำลังยิ้มกว้างด้วยความไม่พอใจ “เขาเป็นคนตีข้าก่อน!”
“พอได้แล้ว!” ฮูหยินห้าโมโหจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด นางหันไปสั่งกับแม่นมของซินเจี่ยเอ๋อร์ว่า “อุ้มนางกลับไปสั่งสอนเดี๋ยวนี้!” จากนั้นก็หันไปยิ้มให้กับสืออีเหนียงด้วยความรู้สึกผิด แล้วจึงหันไปย่อตัวทำความเคารพให้กับไท่ฮูหยิน “ท่านแม่ อากาศค่อนข้างร้อน ข้าขอตัวกลับเรือนไปทานยาเสวี่ยจินสักเม็ดสองเม็ดก่อนแล้วค่อยกลับมาใหม่เจ้าค่ะ!” พูดจบนางก็หันไปเร่งแม่นมทั้งสองให้รีบกลับเรือน
ซินเจี่ยเอ๋อร์ไม่พอใจเป็นอย่างมาก นางพยายามดิ้นขัดขืนอยู่ในอ้อมแขนของแม่นมไม่หยุด
เซินเกอเห็นซินเจี่ยเอ๋อร์เป็นเช่นนี้ ก็ตกใจกลัวจนร้องไห้ขึ้นมา
แม่นมทั้งสองจึงไม่กล้าชักช้า คนหนึ่งอุ้มเซินเกอ ส่วนอีกคนอุ้มซินเจี่ยเอ๋อร์ หมุนตัวเตรียมจะเดินออกจากเรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน
“อุ้มเด็กมาให้ข้า!” จู่ๆ ไท่ฮูหยินก็ยื่นมือไปทางแม่นมทั้งสอง จากนั้นก็อุ้มเซินเกอมาไว้ในอ้อมกอด ป้อนลูกกวาดให้เขาทาน เซินเกอก็หยุดร้องไห้ทันที แล้วจึงหันไปลูบผมที่ยุ่งเหยิงของซินเจี่ยเอ๋อร์พร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าเป็นพี่สาว ต้องดูแลน้องชาย จะทำน้องชายตกใจเช่นนี้ไม่ได้ เข้าใจหรือไม่”
ซินเจี่ยเอ๋อร์เม้มปากพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ
“เด็กดี!” ไท่ฮูหยินยิ้มพร้อมกับลูบใบหน้าของนางอย่างเบามือ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปมองบนฟ้า “เจ้ายังจะเด็ดฝักบัวหรือไม่ ตอนนี้ไม่มีแดดแล้ว เหมาะแก่การพายเรือเป็นที่สุด…”
ไท่ฮูหยินเพิ่งจะพูดจบ ซินเจี่ยเอ๋อร์ก็รีบพูดขึ้นด้วยความดีใจว่า “เด็ดเจ้าค่ะ เด็ดเจ้าค่ะ ข้าจะไปเด็ดฝักบัวเจ้าค่ะ!”
“เจี่ยนเกอ!” ไท่ฮูหยินหันไปพูดกับเขา “เจ้ากับภรรยาของเจ้าไปเด็ดฝักบัวเป็นเพื่อนซินเจี่ยเอ๋อร์หน่อย!”
สวีซื่อเจี่ยนที่กำลังมองตาค้างอยู่นั้น เมื่อได้ยินไท่ฮูหยินเรียกชื่อของเขา เขาจึงเพิ่งได้สติกลับคืนมา จากนั้นก็ขานรับพลางเข้าไปจูงมือของซินเจี่ยเอ๋อร์ทันที
ซินเจี่ยเอ๋อร์ก็เหลือบไปมองจิ่นเกออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินออกจากเรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุนพร้อมกับสวีซื่อเจี่ยนและจินซื่อ
ดวงตากลมโตของจิ่นเกอเบิกกว้างขึ้นมาทันที
ไท่ฮูหยินก็หันไปพูดกับสวีซื่อจุนว่า “ตอนนี้ไม่มีแดดแล้ว บรรยากาศในลานสวนค่อนข้างเย็นสบาย เจ้ากับเจี้ยเกอพาจิ่นเกอไปเล่นเตะลูกหนังที่ลานสวนก็แล้วกัน!” จากนั้นก็หันไปพูดกับสืออีเหนียงว่า “ส่วนเจ้าก็ไปตรวจดูอาหารมื้อค่ำหน่อยว่าจัดเตรียมไปถึงไหนแล้ว!” แล้วจึงค่อยหันไปพูดกับฮูหยินห้าว่า “ถือโอกาสตอนที่เด็กๆ ไม่อยู่ เรามาเล่นด้วยกันอีกสักสองสามตาดีกว่า!”
ฟังซื่อรีบเข้าไปประคองแขนของฮูหยินห้าที่กำลังสั่นเทาด้วยความโมโห “ท่านอาสะใภ้ห้า วันนี้ข้าเล่นแพ้ทั้งวัน นี่ถือเป็นโอกาสแก้ตัวครั้งสุดท้ายของข้าแล้วเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินห้ารู้ว่าไท่ฮูหยินกำลังช่วยนางกู้สถานการณ์ จึงขานเรียกไท่ฮูหยินเสียงเบา “ท่านแม่” จากนั้นก็หย่อนตัวนั่งลงหน้าโต๊ะเล่นไพ่นกกระจอกพลางยิ้มขึ้นบางๆ
ไท่ฮูหยินก็อุ้มเซินเกอยื่นให้กับแม่นม พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ตั้งแต่เด็กจนโตเจ้ากับเจ้าห้ายังไม่เคยโดนดีดนิ้วเลยสักครั้ง ก็ไม่ควรที่จะอบรมสอนสั่งเลือดเนื้อเชื้อไขของตนด้วยวิธีเช่นนี้!”
ฮูหยินห้าก้มหน้าลงต่ำด้วยความละอายใจ
ฮูหยินสองก็ยิ้มขึ้นบางๆ จากนั้นก็เริ่มรวบรวมไพ่นกกระจอกที่อยู่บนโต๊ะ
เรือนทั้งเรือนกลับมาเต็มไปด้วยเสียงกระทบกันของไพ่นกกระจอกหยกดังขึ้น ติ๊ก ตั๊ก อีกครั้ง
*****
หลังจากทานอาหารค่ำที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุนเรียบร้อยแล้ว ทุกคนต่างพากันแยกย้ายกลับเรือนของตนเอง สืออีเหนียงก็ได้พาจิ่นเกอไปเข้านอน จากนั้นก็เรียกอาจินที่เป็นคนปากไวใจซื่อมาคุย “เหตุใดคุณหนูสองถึงได้ตีจิ่นเกอ!”
ใบหน้าของอาจินพลันปรากฏสีหน้าที่ลังเลขึ้นมา
สีหน้าของสืออีเหนียงเคร่งขรึมขึ้นมาทันที
อาจินรีบตอบกลับไปว่า “คุณหนูสองเห็นไพ่จีนที่อยู่ในมือของคุณชายน้อยหกเป็นรูปพระโพธิสัตว์กวนอิม ก็เลยจะเอาไพ่ราชาแห่งสวรรค์ทัวถ่าเทียนไปขอแลก คุณชายน้อยหกกลับเอาไพ่ราชาแห่งสวรรค์ทัวถ่าเทียนมาแต่ไม่ยอมให้ไพ่พระโพธิสัตว์กวนอิมกับคุณหนูสอง คุณหนูสองก็เลยเข้ามาแย่งไพ่เอง คุณชายน้อยหกก็เลยตีมือของคุณหนูสอง คุณหนูสองก็เลยตีคืน แต่ไปตบที่หน้าของคุณชายน้อยหกแทน คุณชายน้อยหกก็เลยดึงผมของคุณหนูสอง…คุณนายน้อยสามที่อยู่ข้างๆ ตกใจเป็นอย่างมาก คุณชายน้อยสองเป็นคนเข้าไปแยกทั้งสองออกจากกัน จากนั้นก็เอาแต่ปลอบคุณชายน้อยหกเจ้าค่ะ…”
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
แต่จู่ๆ ชิวอวี่ก็เดินเข้ามาหานางด้วยท่าทีที่รีบร้อน “ฮูหยิน ไท่ฮูหยินมาเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงอึ้งไปชั่วขณะ
“ดึกป่านนี้…”
พูดจบก็รีบเดินออกไปรับไท่ฮูหยินทันที
บ่าวรับใช้ที่ติดตามไท่ฮูหยินมีเพียงป้าตู้คนเดียวเท่านั้น
“จิ่นเกอเป็นอย่างไรบ้าง!” ไท่ฮูหยินถามสืออีเหนียงพลางเดินเข้าไปในเรือนหน่วนเก๋อที่จิ่นเกอพักอาศัยอยู่
“พึ่งหลับไปเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงเดินตามไท่ฮูหยินเข้าไปในเรือนหน่วนเก๋อ
บ่าวรับใช้ที่ปรนนิบัติรับใช้จิ่นเกอก็รีบพากันย่อตัวทำความเคารพทันที
“พวกเจ้าเบาเสียงหน่อย!” ไท่ฮูหยินพูดขึ้นพลางหันไปมองจิ่นเกอที่กำลังนอนหลับอยู่ “ระวังจะทำคุณชายน้อยหกตื่นเอา!” แล้วเดินไปนั่งที่เตียงเตาอย่างระมัดระวัง แล้วให้ป้ากู้ไปนำตะเกียงไฟมา หยิบแว่นตาออกมาสวม จากนั้นก็สังเกตใบหน้าของจิ่นเกออย่างละเอียดถี่ถ้วน ผ่านไปครู่หนึ่งจึงค่อยถอดแว่นตาออก “ยังดีที่ไม่บวม!” พูดจบก็หันไปส่งสายตาให้กับสืออีเหนียงเพื่อให้สืออีเหนียงช่วยประคองนางออกจากเรือนหน่วนเก๋อ “เด็กอายุไล่เลี่ยกัน ตีกันทะเลาะกันถือเป็นเรื่องธรรมดา เจ้าเองก็ไม่ต้องเก็บมาใส่ใจ นิสัยใจคอของซินเจี่ยเอ๋อร์ค่อนข้างโมโหร้าย ไว้ข้าจะพูดกับตานหยาง ให้นางขัดเกลานิสัยโมโหร้ายของซินเจี่ยเอ๋อร์ดีๆ”
ไท่ฮูหยินมาดูจิ่นเกอกลางดึกเช่นนี้ อีกทั้งยังโน้มน้าวให้นางไม่ต้องเก็บมาคิดมาก
สืออีเหนียงจึงพูดขึ้นด้วยความนอบน้อมและจริงใจว่า “ท่านแม่ จิ่นเกอเองก็ทำไม่ถูก…”
“ข้ามีแผนในใจแล้ว” ไท่ฮูหยินกลับโบกมือให้กับสืออีเหนียง เพื่อบอกเป็นนัยให้นางไม่ต้องพูดอะไรต่อ จากนั้นก็ถามถึงสวีลิ่งอี๋ขึ้นมา “…ยังไม่กลับมาอีกหรือ เหตุใดถึงได้ยุ่งเช่นนี้”
สืออีเหนียงเองกำลังเป็นห่วงสวีลิ่งอี๋อยู่พอดี แต่ก็ไม่กล้าพูดกับไท่ฮูหยิน
“ปกติก็กลับมาค่อนข้างเร็ว วันนี้คงจะมีธุระที่ทำให้กลับช้ากระมังเจ้าคะ!”
ไท่ฮูหยินถามไปตามเนื้อผ้าเท่านั้น นางกำชับกับสืออีเหนียงให้รีบพักผ่อนแต่เช้า จากนั้นก็เดินออกจากห้องไปพร้อมกับป้าตู้
สืออีเหนียงไปนั่งปักผ้าบนเตียงเตาด้วยอาการใจลอย
สวีลิ่งอี๋กลับมาถึงก็ปาเข้าไปยามไฮ่แล้ว
สืออีเหนียงเข้าไปช่วยเขาผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า
“สกุลหวังไม่ไหวแล้ว!” หลังจากที่ขึ้นเตียงไปแล้ว ก็ได้พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา “ยังดีที่หวังจิ่วเป่าไหวตัวทัน รีบส่งหลานชายไปก่อน…”
สืออีเหนียงพลันใจเต้นรัว “เช่นนั้น แล้วสกุลหวัง…?”
สวีลิ่งอี๋กุมมือของสืออีเหนียงไว้ ดูเหมือนว่าหากเขาทำเช่นนี้ นางจะสงบลงอย่างเห็นได้ชัด
“บทสรุปที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือค้นจวนยึดทรัพย์และเนรเทศออกไป!”
สีหน้าของเขาเศร้าหมอง
สืออีเหนียงให้สวีลิ่งอี๋กุมมือของนางไว้อย่างเงียบๆ ไม่ได้พูดอะไรออกมา
ทั้งสองนั่งพิงหมอนอิงบนหัวเตียง
“พอแล้ว!” ผ่านไปครู่ใหญ่ สวีลิ่งอี๋ก็หัวเราะขึ้นเบาๆ “เราไม่พูดเรื่องนี้แล้ว งานเลี้ยงวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง ทุกคนเล่นกันสนุกสนานดีหรือไม่”
ในเมื่อสวีลิ่งอี๋ก็ไม่อยากพูดเรื่องที่ไม่สบายใจเหล่านั้น สืออีเหนียงก็เลยไม่พูดถึงเรื่องที่จิ่นเกอกับซินเจี่ยเอ๋อร์ตีกัน
“ทุกคนต่างก็เล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ยังนัดกันว่าพรุ่งนี้จะไปพายเรือด้วยกันอีกรอบเจ้าค่ะ”
“เช่นนั้นหรือ!” สวีลิ่งอี๋ได้ยินแล้วก็รู้สึกชื่นใจเป็นอย่างมาก
สืออีเหนียงนั่งตัวตรงขึ้นมา “ท่านโหว แล้วเรื่องการตายของจิ้งไห่โหวซื่อจื่อล่ะเจ้าคะ หวังจิ่วเป่าเขาจะ…”
มิเช่นนั้น สวีลิ่งอี๋จะบรรลุเป้าหมายง่ายๆ ได้อย่างไรกัน
เพราะอย่างไรเสียจวนสกุลโอวก็ได้ทำการค้าขายในฝูเจี้ยนมาหลายชั่วอายุคน
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าเบาๆ “ถึงแม้ว่าข้าจะมีคนของตัวเอง แต่กลับไม่ได้ข่าวคราวเลย!”
เช่นนั้นก็หมายความว่า ตอนแรกสวีลิ่งอี๋เป็นคนส่งคนไป หวังจิ่วเป่าเป็นคนไปสืบเบาะแส หรือนี่จะเป็นสาเหตุที่ทำให้สกุลโอวลงมือจัดการกับสกุลหวัง?
จู่ๆ สืออีเหนียงก็รู้สึกเป็นกังวลใจขึ้นมา
สวีลิ่งอี๋เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะดึงสืออีเหนียงเข้ามากอดไว้ “สกุลโอวได้รับผลกระทบอย่างหนัก ตอนนี้เขาไม่สามารถทำอะไรข้าได้ ก็เลยไปลงกับสกุลหวังแทน ทำการปลุกระดมหนึ่งในกลุ่มลูกน้องเก่าของหวังจิ่วเป่า เริ่มต้นการค้าแบบส่วนตัวอีกครั้ง” เมื่อพูดถึงตรงนี้ แววตาที่อ่อนโยนเมื่อครู่ก็เปลี่ยนเป็นคมกริบขึ้นมาทันที ราวกับดวงตาของเหยี่ยวก็ไม่ปาน “แต่ทว่าเพื่อการนี้แล้ว ทางฝั่งสกุลโอวได้เสียกำลังคนและเงินทองไปจำนวนมาก เกรงว่าคงจะฟื้นตัวได้ยากแล้ว จะว่าไป หวังจิ่วเป่าก็ถือว่าเป็นคนที่มีความรู้ความสามารถรุ่นหนึ่ง” น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเลื่อมใส “เขาส่งหลานชายมาให้ข้า ก็เพื่อต้องการจะบอกกับข้า ไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร เขาก็จะไม่มีวันพูดในสิ่งที่ข้าทำในตอนแรกออกมา ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ข้าก็จะต้องปกป้องรักษาสายเลือดของสกุลหวังเอาไว้ให้ได้” น้ำเสียงของเขาค่อนข้างก้องกังวาน ฟังดูทรงพลังเป็นอย่างมาก “หากในตอนแรกเขาเชื่อในสิ่งที่ข้าพูดบ้าง อดทนให้ทุกอย่างผ่านไปก่อน ไม่ไปพัวพันกับสกุลโอว สกุลโอวก็คงจะไม่ทำถึงขนาดนี้!” เมื่อพูดจนถึงท้ายประโยค น้ำเสียงของเขาก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง