ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 578 ข้อพิพาท (ปลาย)
เรือนหลักรายล้อมไปด้วยต้นไม้ที่เขียวขจีและเสียงจักจั่นที่ร้องดังระงม
ม่านไม้ไผ่เซียงเฟยที่ถูกแต้มด้วยจุดสีม่วงตั้งอยู่หน้าประตูทางเข้าของห้องโถงอย่างเงียบสงบ ที่นั่นมีสาวใช้น้อยที่กำลังยืนเหม่อลอยด้วยความเบื่อหน่าย
เมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหว นางก็รีบยืนตัวตรง จากนั้นก็รีบหันไปมองตามทิศทางของเสียง
เมื่อเห็นว่าเป็นสืออีเหนียงที่เดินเข้ามา นางจึงรีบเปิดม่านออกพลางตะโกนเสียงสูงว่า “ท่านโหว ฮูหยินกลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ที่อยู่ในห้องชั้นในเดินออกมารับสืออีเหนียง “มาแล้วหรือ!”
สวีลิ่งอี๋สวมชุดจื๋อตัวผ้าไหมสีน้ำเงินสดอมเขียวที่ทอด้วยลายอักษรและล้อมรอบด้วยลายช่อดอกเหมย ผมที่ดำขลับถูกปักด้วยปิ่นไม้หวงหยางและจัดทรงอย่างเป็นระเบียบ วันนี้เขาแต่งตัวค่อนข้างเป็นทางการ ไม่เหมือนตอนที่เขาอยู่เรือน
สืออีเหนียงพลันรู้สึกงุนงง
สวีลิ่งอี๋เดินกลับเข้าไปยังห้องชั้นใน “ทางนั้นเป็นอย่างไรบ้าง ใครเป็นผู้ชนะ” น้ำเสียงฟังดูผ่อนคลายกว่าปกติที่เคยเป็น
สืออีเหนียงรู้สึกแปลกใจอย่างบอกไม่ถูก
“อากาศค่อนข้างร้อน นานๆ ทีจะได้อยู่ด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา” นางยิ้มพร้อมกับเดินตามเขาเข้าไปในห้องชั้นใน “ทุกคนต่างก็สนุกสนานกันถ้วนหน้า…”
เสียงพูดของนางขาดหายไปพร้อมกับม่านของห้องชั้นในที่ถูกปิดลง
ภายในห้องชั้นใน สวีลิ่งอี๋ยืนมือไพล่หลังอยู่กลางห้องด้วยสีหน้าท่าทีสุขุม แววตาเคร่งขรึม ราวกับว่ากำลังเผชิญกับแรงกดดันอันมหาศาลก็ไม่ปาน จึงพลอยทำให้บรรยากาศในห้องหนักอึ้งไปด้วย
สืออีเหนียงก็รู้สึกเป็นกังวลใจขึ้นมาทันที
เรื่องอันใดกัน ถึงขั้นต้องปิดบังแม้กระทั่งสาวใช้ข้างกาย…
นางรีบเดินไปหยุดอยู่ข้างๆ สวีลิ่งอี๋ “เกิดอะไรขึ้นหรือเจ้าคะ” เสียงที่ดังก้องในห้องชั้นในสั่นเครือเล็กน้อย เต็มไปด้วยน้ำเสียงที่อ่อนไหวและหวาดกลัว
สวีลิ่งอี๋อ้าแขนออกมาโอบนางไว้ในอ้อมกอด
มีเพียงเสื้อผ้าบางๆ ที่ขั้นกลางระหว่างทั้งสองเอาไว้ นางสัมผัสได้ถึงแผงอกที่กำยำและแขนที่แข็งแรงของเขา…จู่ๆ ความกังวลใจเมื่อครู่นี้ก็ค่อยๆ สงบลง
สืออีเหนียงโอบกอดเอวของเขาพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมาสบตา แววตาที่นิ่งสงบของเขาราวกับลำธารในฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ปาน ค่อยๆ ไหลเอื่อยอย่างช้าๆ ด้วยความอ่อนโยน
จู่ๆ ความรู้สึกที่กังวลใจไม่กล้าพูดของสวีลิ่งอี๋ก็หายไปเป็นปลิดทิ้ง
มั่วเหยียนที่ดูอ่อนแอและบอบบาง แต่กลับเข้มแข็ง หนักแน่นและมีสติปัญญาเกินกว่าที่เขาคิดไว้มาก!
อ้อมแขนของเขาโอบกอดแน่นขึ้นกว่าเดิม กอดร่างกายที่อ่อนนุ่มราวกับต้นหลิวในฤดูใบไม้ผลิไว้ในอ้อมกอดของเขา
“สกุลโอวฟ้องร้องว่าหวังจิ่วเป่าว่าบงการให้ลูกสมุนปลอมตัวเป็นโจรสลัด ทำการค้าส่วนตัว หลักฐานมัดตัวชัดเจน” สวีลิ่งอี๋ก้มหน้าลงต่ำ กระซิบข้างหูนางเสียงเบา “ถึงแม้จะไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะทรงตัดสินลงโทษเขาอย่างไร แต่เพื่อเป็นการป้องกันไว้ก่อน หวังจิ่วเป่าจึงได้ฝากฝังหลานชายที่อายุเพียงสามเดือนให้กับข้า…”
ราวกับสายฟ้าผ่าฟาดลงมาจากฟากฟ้าก็ไม่ปาน
สืออีเหนียงอึ้งไปชั่วขณะ
เหตุใดจิ้งไห่โหวถึงได้เลือกที่จะฟ้องร้องหวังจิ่วเป่าในเวลานี้ ทั้งราชสำนักเต็มไปด้วยเหล่าขุนนางและพลทหาร แล้วเหตุใดหวังจิ่วเป่าถึงได้ฝากฝังทายาทผู้เป็นสายเลือดของตระกูลให้กับสวีลิ่งอี๋
คำถามมากมายผุดขึ้นมาในหัวของนาง
แต่นางเชื่อมั่นในการตัดสินใจของสวีลิ่งอี๋
“ท่านโหวมีอะไรจะสั่งหรือไม่เจ้าคะ!” น้ำเสียงที่สั่นเครือในตอนแรกค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสุขุมและสงบลง
“ต้นยามไฮ่ของคืนนี้ ข้าให้หน่วยกล้าตายของสกุลหวังทิ้งเด็กไว้ในป่าผลไม้ที่ว่านอี้จงเป็นคนดูแลอยู่” น้ำเสียงของสวีลิ่งอี๋หนักแน่นกว่าสืออีเหนียง “ตอนนี้เจ้าคิดหาวิธีให้ว่านต้าเสี่ยนสองสามีภรรยากลับไปที่ชนบท จากนั้นก็ให้ทั้งสองรับเลี้ยงเด็กคนนี้ในนามของพวกเขา”
“ข้าเข้าใจแล้ว!” สืออีเหนียงไม่ถามอะไรแม้แต่คำเดียว อีกทั้งยังให้ความร่วมมือเป็นอย่างมาก “ข้าจะเรียกตัวปินจวี๋เข้าจวนประเดี๋ยวนี้เลย” พูดจบ นางก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เพียงแต่ว่าตอนนี้ก็ต้นยามเซินแล้ว ปินจวี๋เดินทางกลับไปอาจจะต้องใช้เวลาทั้งวัน…เกรงว่าจะไม่ทันเวลาเจ้าค่ะ”
“ให้ว่านต้าเสี่ยนช่วยเลี้ยงดูด้วยอีกแรง ประการที่หนึ่งคือเขาเป็นผู้ติดตามของเจ้า นิสัยใจคอซื่อสัตย์และจงรักภักดี ส่วนประการที่สอง พื้นที่ที่นั่นเป็นป่าผลไม้ ค่อนข้างรกร้างห่างไกล ไม่มีผู้คนเดินทางผ่านที่นั่นได้ง่ายๆ” น้ำเสียงของสวีลิ่งอี๋สุขุมเป็นอย่างมาก “ว่านต้าเสี่ยนเป็นคนซื่อตรงและจิตใจดี ได้ยินเด็กร้องไห้ขึ้นมา คงจะไม่ปล่อยทิ้งไว้อย่างแน่นอน พรุ่งนี้หลังจากที่ว่านต้าเสี่ยนกลับจวนมาแล้ว ก็บอกเขาว่าเด็กคนนี้น่าสงสาร รับเลี้ยงไว้ก็พอ!”
พิจารณาไตร่ตรองได้อย่างละเอียดรอบคอบเป็นอย่างมาก!
สืออีเหนียงพยักหน้าเบาๆ
“เช่นนั้นข้าออกไปเจอหวังลี่ก่อน” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้นเสียงเบา “หากมีเรื่องอันใด ก็สั่งบ่าวรับใช้มาแจ้งข้าก็พอ”
“เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงขานรับเสียงเบา จากนั้นก็คลายมือออก
สวีลิ่งอี๋ยังคงโอบกอดนางไว้อย่างเงียบๆ ผ่านไปครู่หนึ่ง เขาจึงค่อยคลายอ้อมกอดจากนาง หมุนตัวเดินออกไปจากห้องชั้นใน
สืออีเหนียงจ้องมองม่านไม้ไผ่เซียงเฟยที่ยังคงสั่นไหว จากนั้นก็สูดลมหายใจเข้าลึก เดินไปที่เตียงเตาใหญ่ริมหน้าต่างอย่างช้าๆ เวลานั้นเอง นางก็พึ่งสังเกตเห็นว่าตัวเองกำลังเข่าอ่อนและไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา
*****
ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่นอกหน้าต่างสะท้อนลงบนหน้าต่างกระจกใส เสียงนาฬิกาตั้งพื้นดังขึ้น ติ๊กต่อก อย่างสม่ำเสมอ พลอยทำให้บรรยากาศในห้องชั้นในวังเวงกว่าเดิม
สืออีเหนียงตะโกนเรียกชิวอวี่เข้ามา “ไปเรียกปินจวี๋เข้าจวนประเดี๋ยวนี้เลย”
ชิวอวี่ค่อนข้างแปลกใจ แต่ก็ย่อตัวขานรับด้วยความนอบน้อม จากนั้นก็ถอยออกจากห้องชั้นใน
สืออีเหนียงนั่งอยู่บนเตียงเตาใหญ่ สายตาจ้องมองไปยังม้าของเล่นไม้กฤษณาของจิ่นเกอที่ถูกวางอยู่ใต้โต๊ะแจกันด้วยสีหน้าที่เหม่อลอย จนกระทั่งชิวอวี่เข้ามาเรียนว่า “สะใภ้ว่านต้าเสี่ยนมาถึงแล้วเจ้าค่ะ” นางจึงค่อยละสายตาจากตรงนั้น
“ให้นางเข้ามา!” สืออีเหนียงค่อยๆ เผยรอยยิ้มขึ้น
“ฮูหยิน!” ปินจวี๋ย่อตัวทำความเคารพสืออีเหนียง สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความดีใจ
สืออีเหนียงให้สาวใช้น้อยยกเก้าอี้มาให้นางนั่ง จากนั้นก็สั่งให้รินน้ำชามาให้ปินจวี๋
ปินจวี๋รีบปฏิเสธขึ้นมาทันที “มิกล้าเจ้าค่ะ ท่านเรียกบ่าวมาเวลานี้ มีเรื่องสำคัญอะไรจะสั่งหรือเจ้าคะ”
“ข้ามีเรื่องจะรบกวนเจ้า!” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึม
ชิวอวี่ที่ดูสีหน้าของสืออีเหนียงออก จึงรีบให้สาวใช้น้อยที่ปรนนิบัติอยู่ในห้องถอยออกไปจนหมด
สืออีเหนียงส่งสายตาให้กับปินจวี๋เพื่อบอกเป็นนัยให้นางขยับเข้ามาคุยใกล้ๆ
“เรื่องเป็นมาอย่างนี้!” สืออีเหนียงพูดขึ้นเสียงเบา “ท่านโหวมีสหายคนหนึ่ง ภรรยานอกสมรสของเขาได้ให้กำเนิดบุตรชายหนึ่งคน ภรรยาเอกไม่ยอมรับ จึงไหว้วานให้ท่านโหวช่วยดูแล ท่านโหวปฏิเสธไม่ได้ ก็เลยทำได้แค่รับปากจะดูแลให้ แต่เจ้าก็รู้สถานการณ์ของจวนดี ท่านโหวจะเอาเด็กคนหนึ่งกลับมาเลี้ยงดูได้อย่างไรกันเล่า ครั้นจะไหว้วานคนนอก ก็กลัวว่าข่าวลือจะแพร่งพรายออกไป คิดอยู่นาน สุดท้ายจึงตัดสินใจไหว้วานพวกเจ้าให้ช่วยดูแล”
ปินจวี๋ชะงักไปชั่วขณะ
บุตรชายของสหายท่านโหว เช่นนั้นก็คงจะเป็นลูกหลานของตระกูลที่สูงศักดิ์อย่างแน่นอน
ว่านต้าเสี่ยนของตนเป็นเพียงพ่อบ้านเล็กๆ คนหนึ่งเท่านั้น…
“ฮูหยิน บ่าว…บ่าวจะทำได้หรือเจ้าคะ” นางกำเสื้อของตัวเองไว้แน่นด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก
“เด็กมีอายุแค่สามเดือน คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ มอบเด็กให้คนแปลกหน้าเลี้ยง ข้าไม่ไว้ใจ” สืออีเหนียงพูดต่อไปว่า “นิสัยใจคอของเจ้ากับว่านต้าเสี่ยน ข้ารู้ดีเป็นที่สุด หากพวกเจ้าเป็นคนช่วยเลี้ยงดูเด็ก ข้าจึงจะวางใจ”
ปินจวี๋เองก็เป็นแม่คน เมื่อได้ยินว่าเด็กมีอายุแค่สามเดือนก็รู้สึกใจอ่อนขึ้นมาทันที
ตั้งแต่สมัยก่อนก็มีเรื่องเช่นนี้อยู่แล้ว คนบางคนเพื่อเงินแล้วสามารถพูดจาแพรวพราวต่อหน้าเจ้านาย แต่พอหันหลังก็ปฏิบัติต่อเด็กราวกับว่าไม่ใช่คนอย่างไรอย่างนั้น คนบางคนถึงขั้นปฏิบัติต่อเด็กด้วยความโหดร้ายและทารุณ จากนั้นก็โป้ปดมดเท็จว่าเด็กนั้นมีโรค ไปรีดไถเงินจากเจ้านาย หรือนำเด็กไปขายต่อ แล้วก็หลบหนีไป…
“ฮูหยิน ท่านวางใจเถิดเจ้าค่ะ!” นางพูดกับสืออีเหนียง “เรื่องอื่นข้าอาจจะไม่กล้ารับปาก แต่ข้ากล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าข้าจะดูแลเด็กคนนี้ให้ดีกว่าบุตรของข้าอย่างแน่นอน”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะเหงื่อตก “ไม่จำเป็นต้องทำถึงขนาดนั้น เจ้าปฏิบัติต่อฉังอานอย่างไร ก็ปฏิบัติต่อเขาเช่นนั้นก็พอ จะได้ไม่เป็นที่จับตาของคนอื่น และภรรยาเอกก็จะได้ตามหาไม่เจอ”
ตระกูลสูงศักดิ์มักจะมีความลับซับซ้อนมากมาย ปินจวี๋รีบพยักหน้าตอบกลับทันที “ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงกลัวว่าปินจวี๋จะปฏิบัติต่อเด็กคนนั้นดีเกินไปจนเป็นที่แปลกใจของผู้อื่น จึงได้กำชับนางอย่างละเอียดถี่ถ้วนไปครึ่งค่อนวันเห็นจะได้ จากนั้นจึงค่อยให้ชิวอวี่ออกไปส่งนางที่ประตูใหญ่
เพียงแต่ว่าสืออีเหนียงไม่มีกะจิตกะใจจะไปเล่นต่อแล้ว
นางนั่งอยู่ในเรือนครู่ใหญ่ จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินไปยังทิศทางของเรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุน
ทันใดนั้นเอง จู่ๆ ก็มีสาวใช้น้อยวิ่งมาทางนางด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก
เมื่อเห็นสืออีเหนียง นางก็รีบย่อตัวทำความเคารพทันที “ฮูหยินสี่ แย่แล้วเจ้าค่ะ คุณชายน้อยหกกับคุณหนูสองตีกันอีกแล้วเจ้าค่ะ…”
สืออีเหนียงไม่รอให้นางพูดจบ รีบเร่งฝีเท้าตรงไปยังเรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุนทันที
เพียงไม่นานก็ได้ยินเสียงร้องไห้ดังขึ้นไล่เลี่ยกันดังมาแต่ไกล
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็รู้สึกกังวลใจขึ้นมาทันที ก็เลยก้าวพลาดไป หากไม่ใช่เพราะชิวอวี่ที่อยู่ข้างๆ มือไวประคองนางไว้ทัน เกรงว่านางคงจะหกล้มตกขั้นบันไดไปแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น” สืออีเหนียงเดินเข้าไปในศาลาริมน้ำด้วยความรีบร้อน ก็เห็นสวีซื่ออวี้กำลังอุ้มจิ่นเกออยู่ ข้างๆ เขามีสวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยที่กำลังปลอบจิ่นเกอให้หยุดร้องไห้ด้วยท่าทีที่เก้งก้าง
“ท่านแม่ ท่านแม่ ท่านแม่!” ใบหน้าของจิ่นเกอท่วมไปด้วยน้ำตา หมุนตัวอ้าแขนจะให้สืออีเหนียงอุ้ม
สืออีเหนียงเร่งฝีเท้าให้เร็วกว่าเดิม เข้าไปอุ้มจิ่นเกอมาไว้ในอ้อมกอด เวลานั้นเองนางก็สังเกตเห็นว่าที่แก้มของจิ่นเกอมีรอยแดงขนาดใหญ่ เหมือนโดนอะไรสักอย่างตี
สีหน้าของนางก็เปลี่ยนไปในทันที
ฮูหยินห้ารีบเดินเข้าไปย่อตัวขอโทษต่อสืออีเหนียง
“เป็นซินเจี่ยเอ๋อร์ของข้าที่นิสัยไม่ดี แย่งไพ่แพ้จิ่นเกอ ก็เลยตีเขาไปหนึ่งที” ใบหน้าของนางแดงก่ำด้วยความละอายใจ “ข้าตีซินเจี่ยเอ๋อร์ไปแล้ว ประเดี๋ยวข้าจะไปบอกเรื่องนี้กับคุณชายห้าอีกที ให้คุณชายห้าสั่งสอนนางอีกรอบ”
สืออีเหนียงรู้สึกโกรธจนควันแทบออกหู แต่เมื่อเห็นจิ่นเกอและซินเจี่ยเอ๋อร์ที่อยู่ในอ้อมแขนของแม่นมต่างก็ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่แพ้กัน นางจึงข่มความโกรธไว้ในใจ
“เด็กยังเล็ก ทะเลาะกันบ้างตีกันบ้างก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา” ถึงแม้จะพูดเช่นนี้ แต่สีหน้าของนางกลับดูค่อนข้างฝืนใจอย่างเห็นได้ชัด
ฮูหยินห้าจะดูไม่ออกได้อย่างไรกัน นางรีบก้มหน้าโค้งคำนับเพื่อเป็นการขอโทษสืออีเหนียงทันที
สืออีเหนียงไม่สามารถทำอะไรมากไปกว่านี้ได้ “ไม่เป็นไร จิ่นเกอของเราโอ๋ประเดี๋ยวเดียวก็หายแล้ว! เจ้าเองก็รีบไปดูซินเจี่ยเอ๋อร์เถิด! เด็กๆ เองก็ไม่ได้ตั้งใจ”
ไท่ฮูหยินเห็นแล้วก็เอ่ยปากทำหน้าที่ของผู้หลักผู้ใหญ่ ออกหน้าช่วยคลี่คลายสถานการณ์ “เมื่อเข้าใจกันแล้วก็ถือเป็นอันจบเรื่อง ฟันบนกับฟันล่างยังมีกระทบกระทั่งกันเป็นธรรมดา นับประสาอะไรกับคนที่อยู่ใต้ชายคาเดียวกัน!”
ฮูหยินสองเองก็เดินเข้าไปปลอบซินเจี่ยเอ๋อร์ว่า “พอแล้ว หยุดร้องไห้ได้แล้ว หากยังร้องไห้อีก ระวังจะถูกเซินเกอหัวเราะเยาะเอาได้! เจ้าเป็นพี่สาวของเขาเชียวนะ!”
เพราะยังเล็กเกินไป ตอนที่ทุกคนออกไปพายเรือ แม่นมเลยพาเซินเกอไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้แทน ตอนนี้ก็เพิ่งตื่นจากนอนกลางวัน งัวเงียอยู่ในอ้อมแขนของแม่นม พอได้ยินทุกคนเอ่ยถึงชื่อของเขา เขาก็รีบเบิกตากว้างมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าที่แปลกใจ
ซินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วก็ค่อยๆ เบาเสียงร้องไห้ลง
ฮูหยินสองยิ้มพลางลูบศีรษะของซินเจี่ยเอ๋อร์เบาๆ
จินซื่อที่ยืนเงียบอยู่ข้างๆ ก็เดินเข้าไปปลอบซินเจี่ยเอ๋อร์ว่า “ข้าช่วยเจ้าทำเสื้อผ้าให้กับเจ้าขาวและเจ้าเขียวของเจ้าดีหรือไม่”
ซินเจี่ยเอ๋อร์ได้ฟังแล้วจึงพยักหน้าเบาๆ หยุดร้องไห้ไป
สวีซื่อเจี่ยนก็วิ่งเข้าไปยืนอยู่ข้างๆ สืออีเหนียง หยอกล้อจิ่นเกอว่า “เจ้าดูสิ ซินเจี่ยเอ๋อร์หยุดร้องไห้ไปแล้ว เหตุใดเจ้าถึงยังร้องไห้อยู่เล่า!”
จิ่นเกอไม่ได้สนใจเขา มุดหน้าเข้าไปในอ้อมกอดของสืออีเหนียงด้วยความสะอึกสะอื้น
สวีซื่อจุนจึงเดินเข้าไปกุมมือของจิ่นเกอไว้ “ข้าพาเจ้าไปลอยประทีปดีหรือไม่!”
สวีซื่อเจี้ยเองก็พูดขึ้นว่า “ข้าเป่าขลุ่ยให้เจ้าฟังดีหรือไม่!”
แต่จิ่นเกอยังคงเอาแต่ซุกหน้าอยู่ในอ้อมกอดของสืออีเหนียง ไม่ยอมเงยหน้าขึ้นมาแม้แต่ครั้งเดียว
“เจ้าดูสิ พี่ชายของเจ้าต่างก็พากันมาดูเจ้ากันหมดแล้ว!” สืออีเหนียงพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “เจ้าหยุดร้องไห้ได้แล้ว หากเจ้ายังร้องไห้ต่อก็จะไม่ใช่เด็กดีแล้ว!”
จิ่นเกอยังคงซุกหน้าอยู่ในอ้อมแขนของสืออีเหนียงเหมือนเดิม
สวีซื่ออวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “จิ่นเกอ หากเจ้าหยุดร้องไห้ พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าไปพายเรือเล่น ดีหรือไม่!”
จิ่นเกอได้ยินแล้วก็รีบเงยหน้าขึ้นมาทันที
สวีซื่อฉินได้ยินแล้วก็เดินเข้าไปด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “เจ้าอย่าได้โกหกจิ่นเกอเพียงเพราะเห็นว่าเขายังเด็กเชียว! ความจำของเขาดีเป็นไหนๆ วันข้างหน้าหลังจากที่เขาโตขึ้นแล้ว ระวังเขาจะกลับไปคิดบัญชีกับเจ้าเอาได้!” จากนั้นก็ได้พูดต่อไปว่า “อย่าลืมว่าอีกไม่กี่วันเจ้าก็จะต้องเข้าร่วมการสอบระดับราชสำนักแล้ว มีเวลาพาจิ่นเกอไปพายเรือเล่นเสียที่ไหนกัน!”