ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 575 เข้าใจผิด (ปลาย)
“ท่านอาสะใภ้ห้า!” สวีซื่ออวี้ประสานมือคารวะฮูหยินห้า
ฮูหยินห้าจ้องมองใบหน้าของหลานชายที่ค่อนข้างซูบผอมแต่ยังคงหล่อเหลาคมคายราวกับหยกงามก็ไม่ปาน อดไม่ได้ที่จะแอบชื่นชมเขาในใจ จ้องมองสวีซื่ออวี้ด้วยสายตาที่ไม่เหมือนเดิม
“พริบตาเดียวเจ้าก็โตขนาดนี้แล้ว” ฮูหยินห้าพูดขึ้นด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “เดิมทีข้ายังคิดว่าปีนี้เจ้าคงจะยังไม่เข้าร่วมการสอบระดับราชสำนัก นึกไม่ถึงเลยว่าเจ้าจะรีบกลับมาท่ามกลางอากาศที่ร้อนระอุเช่นนี้!”
สวีซื่ออวี้ตอบกลับอย่างนอบน้อม “อาจารย์เจียงบอกว่าข้าเสียการเรียนไปค่อนข้างมาก ก็เลยให้ข้าอยู่ที่นั่นนานขึ้นกว่าเดิมหน่อย จึงกลับมาค่อนข้างล่าช้าเช่นนี้ขอรับ”
ฮูหยินห้ายิ้มพลางพูดหยอกล้อเขาว่า “มิน่าเล่า เจ้าถึงได้มั่นใจขนาดนี้!”
สวีซื่ออวี้ได้ฟังแล้วก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “‘บุ๋นไร้ที่หนึ่ง บู๊ไร้ที่สอง[1]’ ไม่ถึงสุดท้าย ก็ไม่มีใครล่วงรู้ว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร” สีหน้าท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตน แต่ก็ไม่ได้ขาดซึ่งความมั่นใจไป
ใบหน้าของฮูหยินห้าเผยสีหน้าที่ชื่นชมเขาออกมาอย่างชัดเจน จากนั้นก็หันไปพูดกับไท่ฮูหยินว่า “ยิ่งอยู่อวี้เกอก็ยิ่งพูดจาเป็น ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาก คงจะต้องปล่อยออกไปเปิดหูเปิดตาแล้วกระมังเจ้าคะ!”
“คนยืนพูดย่อมไม่ปวดเอวอยู่แล้ว” ไท่ฮูหยินพูดขึ้น “หลายปีมานี้ อวี้เกอวิ่งเต้นไปๆ กลับๆ ทั้งลำบากและเหน็ดเหนื่อยแทบแย่” จากนั้นก็หันไปพูดกับสวีซื่ออวี้ว่า “อย่าไปสนใจอาสะใภ้ห้าของเจ้าเลย เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด! ร่างกายผ่ายผอมไปหมดแล้ว!” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความสงสารและเอ็นดู
สวีซื่ออวี้ประสานมือคารวะ ขณะที่กำลังจะถอยออกไปนั้น ฮูหยินสองก็เข้ามาพอดี
“ข้านึกว่าเจ้าจะไม่เข้าร่วมการสอบระดับราชสำนักเสียแล้ว นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะกลับมาทัน” สีหน้าท่าทีของนางเรียบเฉย แต่ความห่วงใยกลับเห็นได้อย่างชัดเจน “เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือไม่”
แววตาของสวีซื่ออวี้เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง รีบรายงานสถานการณ์ขึ้นใหม่อีกหนึ่งรอบ “…เดิมทีกะว่ากลางคืนค่อยเข้าไปคารวะท่านป้าสะใภ้สองขอรับ!”
“ค่อยไปพรุ่งนี้เช้าก็แล้วกัน!” ฮูหยินสองพูดขึ้น “ข้ามีเรื่องจะคุยกับเจ้าพอดี!”
ตอนเช้าๆ อากาศเย็นสบายกว่า
สวีซื่ออวี้ก้มหน้าลงต่ำ ขานรับด้วยความนอบน้อม “ขอรับ”
ไท่ฮูหยินเห็นแล้วก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พอแล้ว พอแล้ว เจ้ารีบกลับไปพักผ่อนเถิด!” จากนั้นก็หันไปพูดกับสืออีเหนียงว่า “เจ้าเองก็ไม่ต้องถามแล้ว มีอะไรค่อยพูดคุยกันวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน ให้เด็กไปพักผ่อนก่อน!”
สืออีเหนียงขานรับเสียงเบา จากนั้นก็ให้ป้าซ่งไปส่งสวีซื่ออวี้ออกจากห้องชั้นในไป แล้วจึงปรึกษาหารือกับไท่ฮูหยินว่า “พรุ่งนี้ให้เด็กๆ มาทานข้าวที่เรือนของท่านสักมื้อดีหรือไม่เจ้าคะ ถือเป็นการเลี้ยงต้อนรับอวี้เกอกลับจวนไปในตัว!”
“ก็ดี!” ไท่ฮูหยินตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “เรียกฉินเกอกับเจี่ยนเกอสองพี่น้องมาด้วย จะได้อยู่ทานข้าวด้วยกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา!”
“เช่นนั้นสู้ไปที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุนไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ” ฮูหยินห้าพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ที่นั่นอากาศเย็นสบายกว่า! เด็กๆ ก็สามารถตกปลาและพายเรือเล่นได้ด้วย พวกเราเองก็จะได้เล่นไพ่จีนด้วยกัน”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ “หากไม่ใช่คนบ้านเดียวกัน จะไม่เข้าประตูจวนเดียวกัน เจ้าอยู่กินกับเจ้าห้าหลายปี เรื่องอื่นฝึกไม่เป็น แต่ความสามารถด้านกินเล่นดื่มเที่ยว ถือเป็นที่หนึ่งในเหล่าบรรดาสะใภ้ด้วยกัน”
“ท่านแม่ก็…” ฮูหยินห้าดึงชายเสื้อแขนไท่ฮูหยินด้วยท่าทีที่ออดอ้อน
ไท่ฮูหยินเห็นแล้วก็หัวเราะเสียงดังกว่าเดิม หันไปพูดกับสืออีเหนียงว่า “เช่นนั้นก็จัดการตามนี้ จัดงานเลี้ยงที่เรือนศาลาริมน้ำฉุยหลุนก็แล้วกัน!”
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ อยู่พูดคุยกับไท่ฮูหยินครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นขอตัวลากลับ ไปจัดเตรียมงานเลี้ยงของวันพรุ่งนี้
ใครจะไปนึกว่าพึ่งจะก้าวออกจากเรือนของไท่ฮูหยิน จู่ๆ ก็มีคนเรียกนางขึ้นมา “น้องสะใภ้สี่!”
จวนนี้นอกจากฮูหยินสองแล้ว ยังจะมีใครเรียกนางว่า ‘น้องสะใภ้สี่’ อีก
สืออีเหนียงหมุนตัวกลับไปดู ก็เห็นฮูหยินสองเดินตรงเข้ามาหานางด้วยสีหน้าท่าทีที่เร่งรีบ
สืออีเหนียงจึงยิ้มพร้อมกับขานเรียกนาง “พี่สะใภ้สอง”
ฮูหยินสองยิ้มขึ้นบางๆ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ข้ามีเรื่องจะขอให้น้องสะใภ้สี่ช่วย…” พูดจบนางก็มองไปยังทิศทางของเรือนหลัก จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เรือนของข้าออกจะไกลไปหน่อย ไปคุยที่เรือนของเจ้าดีกว่า!”
สืออีเหนียงค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ นึกถึงฮูหยินสองที่นิสัยใจคอหยิ่งทะนง ไม่ขอความช่วยเหลือจากใครพร่ำเพรื่อง่ายๆ สืออีเหนียงจึงเชื้อเชิญฮูหยินสองไปนั่งที่โถงบุปผาของเรือนหลัก แล้วจึงให้สาวใช้ไปเตรียมน้ำชามาต้อนรับนาง สั่งให้บ่าวรับใช้ที่อยู่ในห้องถอยออกไปจนหมด แล้วจึงพูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้สองมีอะไรคุยกับข้าหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินสองยกถ้วยชาขึ้นมาจิบไปหนึ่งคำ จากนั้นก็พูดขึ้นเสียงเบาว่า “อี้จยาหลานชายสกุลเดิมของข้ากำลังหาคู่หมั้นหมาย น้องสะใภ้สี่คงจะได้ยินเรื่องนี้มาบ้างแล้วใช่หรือไม่”
สืออีเหนียงค่อนข้างแปลกใจเป็นอย่างมาก ไม่รู้ว่าเหตุใดนางจึงพูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา จึงตอบกลับไปด้วยความคลุมเครือว่า “ได้ยินประปรายมาบ้าง!”
ฮูหยินสองได้ยินแล้วก็ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ข้าอยากจะให้น้องสะใภ้สี่ช่วยเป็นแม่สื่อเจรจาเรื่องหาคู่หมั้นให้กับอี้จยาหน่อย!”
สืออีเหนียงหันไปจ้องมองฮูหยินสองด้วยสีหน้าที่ตกใจ
ฮูหยินสองก็ได้พูดต่อไปว่า “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้จัดการง่ายๆ!” แววตาของนางหมองหม่นลงเล็กน้อย “เพื่อเรื่องงานแต่งของอี้จยาแล้ว พี่สะใภ้ข้ากลุ้มใจจนไม่เป็นอันกินอันนอน ข้าเห็นเจ้าหาคู่ครองให้กับเจินเจี่ยเอ๋อร์และสือเอ้อร์เหนียง ล้วนแล้วแต่เป็นคู่ที่เหมาะสมกันทั้งสิ้น ก็เลยอยากให้เจ้าช่วยเป็นแม่สื่อเจรจาหาคู่ครองให้กับอี้จยา”
สืออีเหนียงเผยสีหน้าลำบากใจ
หลายปีมานี้นายหญิงเซี่ยงเอาแต่กลุ้มใจเรื่องหาคู่ครองที่เหมาะสมไม่ได้สักที เห็นได้ชัดว่าเงื่อนไขและข้อเรียกร้องค่อนข้างสูง อีกทั้งยังจู้จี้จุกจิก คนเช่นนี้ไม่เหมาะกับการให้ตนไปเป็นแม่สื่อ…
สืออีเหนียงนึกถึงตอนที่ฮูหยินสองเคยช่วยเป็นแม่สื่อให้กับสวีซื่ออวี้เมื่อครั้งก่อน
ไม่รู้ว่าเป็นความคิดของฮูหยินสองเองหรือเป็นความคิดของนายหญิงเซี่ยงกันแน่ หากเป็นอย่างแรกก็ยังพอว่า มีคนที่เหมาะสมในหมู่ญาติก็พอจะช่วยคุยกันให้ได้ ถือเป็นการปฏิบัติตามประเพณีเดิมอยู่แล้ว แต่หากเป็นอย่างหลัง…
ฮูหยินสองเห็นนางลังเลใจ เลยกลัวว่านางจะเข้าใจผิดคิดว่าเพราะอี้จยามีชะตาที่เป็นผลร้ายกับภรรยา จึงรีบพูดขึ้นทันทีว่า “หากว่ามีบุตรสาวของตระกูลไหนเหมาะสม น้องสะใภ้สี่ไม่จำเป็นต้องไปช่วยปิดบังกับทางฝ่ายหญิงแต่อย่างใด ข้าไม่เชื่อว่าผู้คนใต้หล้านี้ล้วนแล้วแต่ศรัทธาและงมงายกับเรื่องไร้สาระเช่นนี้!” น้ำเสียงท้ายประโยคค่อนข้างรุนแรงและก้องกังวาน
สืออีเหนียงยิ้มเจื่อน
ท่าทีที่มุ่งมั่นเช่นนี้…ถึงแม้ว่าจะมีคนที่เหมาะสมแต่เกรงว่าคงจะยากอยู่ดี
นางจึงย้ำกับฮูหยินสองว่า “ข้ากลัวก็แต่ว่าจะไม่สามารถหาคนที่นายหญิงเซี่ยงพึงพอใจได้ เกรงว่าจะทำให้นางผิดหวังเสียมากกว่า!”
ฮูหยินสองเป็นคนฉลาดหลักแหลม เมื่อได้ยินแล้วก็เข้าใจได้ในทันที นางเงียบอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เจ้าเองก็รู้ว่าอี้จยาเคยหมั้นหมายกับบุตรสาวคนรองของสกุลฮั่นหลิน หลังจากที่บุตรสาวคนรองของพวกเขาเสียชีวิตลง อี้จยาก็ได้หมั้นหมายกับคู่หมั้นคนใหม่ ผู้ใหญ่พึ่งจะตกลงกันเสร็จ หญิงสาวผู้นั้นก็มาล้มป่วยจนเสียชีวิตลงในที่สุด” น้ำเสียงของนางค่อนข้างเศร้าโศก “ข่าวลือเรื่องมีดวงพิฆาตภรรยาของอี้จยาก็กระจายไปทั่ว พี่สะใภ้ของข้าตรอมใจไปครึ่งค่อนปี ตอนนี้พึ่งจะดีขึ้นมาบ้าง รู้ว่าคู่หมั้นของอี้จยานั้นไม่สามารถหาได้ง่ายๆ เลยกะว่าจะรอให้โหรวเชียนและโหรวเน่อหมั้นหมายเสร็จเรียบร้อยก่อนค่อยมาว่ากันอีกที หลังจากเจอตระกูลที่พึงพอใจแล้ว คนของฝั่งนั้นก็มาดูตัว แต่กลับถูกใจโหรวเชียนที่มีนิสัยร่าเริงเบิกบาน”
ตั้งใจจะช่วยพี่สาวหาคู่หมั้น แต่อีกฝ่ายกลับถูกใจน้องสาวแทน…
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะนั่งตัวตรง สีหน้าแววตาเคร่งขรึมขึ้นมา
“พี่สะใภ้ข้าย่อมไม่ตอบตกลงอยู่แล้ว” ฮูหยินสองพูดขึ้น “โหรวเชียนเองก็รู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ยังดีที่โหรวเน่อเป็นเด็กที่มีเหตุผลและรู้จักหลักทำนองคลองธรรม จึงพูดว่า ‘เป็นเพราะคนตระกูลนั้นไม่รู้ว่าอะไรควรไม่ควร จะมาโทษน้องหญิงได้อย่างไร’ โหรวเชียนจึงค่อยรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง” พูดจบ นางก็ยิ้มขึ้นบางๆ
สืออีเหนียงก็พยักหน้าเบาๆ
คุณหนูสองสกุลเซี่ยงคิดได้เช่นนี้ ถือว่าหาได้ยากยิ่ง
“เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นเป็นต้นมา เรื่องนี้ก็กลายเป็นหนามยอกอกของพี่สะใภ้ข้ามาโดยตลอด” ฮูหยินสองพูดต่อไปว่า “หลังจากที่นางจัดการเรื่องการหมั้นของโหรวเชียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ตอนหาคู่หมั้นให้กับโหรวเน่อ อายุโหรวเน่อก็ปาเข้าไปสิบหกปีแล้ว! ไหนจะเรื่องหาคู่หมั้นให้อี้จยาที่ยังค้างคาอยู่ พี่สะใภ้ของข้าวิ่งหน้าวิ่งหลัง สองปีมานี้นางคร่ำเครียดจนผมขาวไปทั้งหัวแล้ว
โหรวจิ่นเองก็เป็นกังวลใจเรื่องงานหมั้นของน้องสาว ตอนข้ากลับไปร่วมงานมงคลสมรสของนางเมื่อครั้งก่อน นางยังได้ให้ป้ารับใช้คนสนิทมาบอกเรื่องนี้กับข้า อยากให้ข้าช่วยหาคู่ครองให้กับโหรวเน่อ ข้าจึงได้รู้เรื่องนี้เข้า
ข้ากลับไปลองคิดพิจารณาดีๆ โหรวเน่อเป็นสตรี เวลาที่สตรีแต่งงานออกเรือนก็เหมือนเป็นการเกิดใหม่ครั้งที่สอง พี่สะใภ้ของข้าก็ย่อมต้องเลือกให้ดีเป็นธรรมดา” พูดจนถึงตรงนี้ น้ำเสียงของนางก็เต็มไปด้วยความจนใจ “หลายปีมานี้ข้าค่อนข้างเก็บตัวอยู่แต่ในเรือน แทบจะไม่ออกไปไหน จะไปรู้เรื่องของเด็กๆ ได้อย่างไรกัน ท่านแม่ก็อายุมากแล้ว ข้าไม่อยากให้ท่านต้องมาเหนื่อยเพราะเรื่องเช่นนี้ ข้าคิดอยู่นาน ก็เลยอยากจะให้น้องสะใภ้สี่ช่วยออกหน้าแทน หากสามารถหาคู่หมั้นให้กับอี้จยาได้ ก็ถือว่าเป็นการช่วยพี่สะใภ้ข้าให้หายทุกข์ใจ เช่นนี้พี่สะใภ้ของข้าก็จะได้ตั้งหน้าตั้งตาหาคู่หมั้นให้กับโหรวเน่อต่อ และหากว่าเจรจาไม่สำเร็จ ก็สุดแล้วแต่วาสนาของทั้งสองตระกูลแล้ว” น้ำเสียงท้ายประโยคค่อนข้างสั่นเครือ
ฮูหยินสามคงเป็นคนที่ภายนอกดูเย็นชาแต่จิตใจดีกระมัง
มิเช่นนั้น นางก็คงจะไม่เข้าไปช่วยฟังซื่อกู้หน้าคลี่คลายสถานการณ์โดยที่ไม่พูดพร่ำทำเพลงแม้แต่คำเดียว
เมื่อได้ยินคำพูดท้ายประโยคของฮูหยินสอง สืออีเหนียงก็ยิ้มพร้อมกับตอบกลับไปว่า “…ข้าไม่กล้ารับปากว่าจะสามารถหาคนที่พี่สะใภ้สองพึงพอใจได้หรือไม่!”
เรื่องที่สืออีเหนียงรับปาก นางก็จะทำมันอย่างเต็มที่เสมอ ส่วนเรื่องจะสำเร็จหรือไม่ ก็ต้องรอดูเจตนาของสวรรค์แล้ว!
ฮูหยินสองยกถ้วยน้ำชาชูขึ้นมาทางนาง “ถือเป็นการขอบคุณน้องสะใภ้สี่จากข้า!”
สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับยกถ้วยชาขึ้นมาดื่ม ถือเป็นการรับการขอบคุณจากฮูหยินสอง
หลังจากวางถ้วยน้ำชาลง นางก็ได้เริ่มถามถึงสถานการณ์ของอี้จยา แต่จู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากทางประตู
ทั้งสองหันไปมองที่ประตูด้วยความแปลกใจ
เวลานั้นเอง ม่านไม้ไผ่เซียงเฟยก็ถูกเปิดออกเสียงดังปึงปัง จากนั้นก็มีเงาเล็กๆ พุ่งตรงเข้ามาทันที
“ท่านแม่ ท่านแม่” จิ่นเกอโผเข้าไปในอ้อมกอดของสืออีเหนียง “นกขมิ้นท้ายทอยดำของข้า นกขมิ้นท้ายทอยดำของข้า!”
เขาวิ่งมาตลอดทาง หน้าผากจึงเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ใบหน้าแดงระเรื่อ ทั้งโมโหทั้งร้อนใจ
สืออีเหนียงส่งสายตาให้กับสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ให้ไปเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดหน้าให้กับจิ่นเกอ จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “ท่านป้าสะใภ้สองของเจ้าก็อยู่ที่นี่ด้วย เหตุใดเจ้าถึงไม่กล่าวทักทายสักคำ”
จิ่นเกอยู่ปาก จากนั้นก็กล่าวทักทายด้วยน้ำเสียงที่น้อยใจว่า “ท่านป้าสะใภ้สองขอรับ”
ฮูหยินสองเห็นว่าสืออีเหนียงยังมีธุระที่ต้องทำ จึงยิ้มพร้อมกับพยักหน้าให้กับจิ่นเกอเบาๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นพร้อมกับขอตัวลากลับ สืออีเหนียงจึงหันไปมองหงเหวินและอาจินที่กำลังหอบหายใจแล้วถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้น”
หงเหวินและอาจินหันมาสบตากัน ก่อนจะพูดขึ้นเสียงเบาว่า “เมื่อครู่นี้คุณชายน้อยหกไปเจอคุณหนูสองที่สวนดอกไม้ สาวใช้ข้างกายของคุณหนูสองถือกรงนกอยู่ด้วย ข้างในมีนกขมิ้นท้ายทอยดำอยู่สองตัว…” พูดถึงตรงนี้ น้ำเสียงของนางก็เบาลงกว่าเดิม สังเกตสีหน้าของสืออีเหนียงด้วยความระมัดระวัง “เหมือนของคุณชายน้อยหกเลยเจ้าค่ะ…”
สืออีเหนียงอึ้งไปชั่วขณะ
จิ่นเกอที่อยู่ข้างๆ ก็เอาแต่กระโดดไม่หยุด “ของข้า มันเป็นของข้า…ท่านย่าเป็นคนให้ข้ามา…”
สืออีเหนียงก็เข้าใจได้ในทันที
“เด็กโง่!” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับช่วยเช็ดเหงื่อบนหน้าผากของจิ่นเกอ “เจ้าก็แค่ไปดูว่านกของเจ้ายังอยู่หรือไม่ก็รู้แล้วมิใช่หรือ”
สืออีเหนียงพึ่งจะพูดจบ จิ่นเกอก็รีบผลักมือของสืออีเหนียงออก หมุนตัวแล้ววิ่งออกไปทางด้านนอกทันที
หงเหวินและอาจินก็รีบย่อตัวทำความเคารพสืออีเหนียงด้วยความรีบร้อน จากนั้นก็รีบวิ่งตามจิ่นเกอออกไปทันที
ฮูหยินสองก็ยิ้มพร้อมกับขอตัวลากลับ
สืออีเหนียงเดินไปส่งนางที่หน้าประตู
ขณะที่หมุนตัวกลับมาก็เห็นจิ่นเกอชูมือขึ้นสูง วิ่งมาจากระเบียงทางเดินตรงเข้ามาหานาง
“ท่านแม่ ท่านแม่!” สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “นกขมิ้นท้ายทอยดำของข้า นกขมิ้นท้ายทอยดำของข้าขอรับ!”
หงเหวินที่ตามมาด้วยก็รีบพูดเสริมว่า “นกขมิ้นท้ายทอยดำของคุณชายน้อยหกยังแขวนอยู่ที่ชายคาของเรือนแถวทางด้านหลังอยู่เลยเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงลูบศีรษะของจิ่นเกอเบาๆ จากนั้นก็หันไปตำหนิหงเหวินและอาจินว่า “นกของจิ่นเกอมีสุยเฟิงเป็นคนดูแล เหตุใดถึงจะมอบให้คนอื่นตามอำเภอใจได้เล่า จิ่นเกอยังเด็กไม่รู้ความ บางครั้งก็ต้องช่วยเขาใคร่ครวญไตร่ตรองถึงจะถูก ยังดีที่จิ่นเกอมาบอกข้า หากเขาไปพูดเรื่องนี้กับไท่ฮูหยิน ฮูหยินห้ารู้เรื่องนี้เข้า พวกเจ้าลองคิดดู สถานการณ์จะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกแค่ไหน! ต่อไปภายภาคหน้า หากพวกเจ้าเจอเรื่องเช่นนี้จะต้องคิดให้รอบคอบถึงจะถูก!”
หงเหวินรีบก้มหน้าลงต่ำพร้อมกับขานรับทันที “เจ้าค่ะ ต่อไปบ่าวไม่กล้าแล้วเจ้าค่ะ!”
อาจินที่อายุค่อนข้างน้อยก็อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นพึมพำว่า “เป็นเพราะคุณหนูสองบอกว่าคุณชายห้าเป็นคนขอนกขมิ้นท้ายทอยดำคู่นั้นมาให้เอง…ซ้ำยังบอกอีกว่า ในเมื่อให้นางมาแล้ว ก็เท่ากับว่าเป็นของนาง คุณชายน้อยหกห้ามเอากลับไปเป็นอันขาด…”
[1]บุ๋นไร้ที่หนึ่ง บู๊ไร้ที่สอง วิชาทางบุ๋น หมายถึง วิชาความรู้ต่างๆ ซึ่งจะวัดกันที่รู้หรือไม่รู้ จึงไม่มีใครเป็นหนึ่ง เพราะไม่มีใครรู้ทุกเรื่อง รู้อย่างลึกซึ้ง และมักมียอดคนเหนือคนอยู่ตลอดเวลา ซึ่งแตกต่างกับวิชาทางบู๊ ที่หมาายถึงวิชาการต่อสู้ เมื่อต้องต่อสู้กันแล้ว ย่อมสามารถชี้ชัดแพ้ชนะได้อย่างแน่นอน