ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 564 งานมงคล (ต้น)
คุณชายสามไม่กล้ายืนรอนอกห้องไท่ฮูหยินนาน เขาไปนั่งคุยกับสวีลิ่งอี๋อยู่ครู่หนึ่ง พูดถึงเรื่องแต่งงานของสวีซื่อเจี่ยน ประเดี๋ยวก็จะถึงยามเว่ยแล้ว คิดว่าไท่ฮูหยินน่าจะตื่นแล้ว จึงส่งบ่าวรับใช้มารายงาน บ่าวรับใช้กลับมาบอกว่าไท่ฮูหยินพาจิ่นเกอไปที่เรือนของสืออีเหนียง เขาจึงพาสวีลิ่งอี๋ไปที่เรือนหลัก แต่ไท่ฮูหยินกลับไปที่เรือนของฮูหยินห้าแล้ว
สวีลิ่งควนยังไม่กลับมาจากพระราชวัง
คุณชายสามมีสีหน้าลังเล
สืออีเหนียงรู้ว่าไท่ฮูหยินกำลังหลบหน้าคุณชายสาม นางแอบถอนหายใจในใจ จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านแม่และน้องสะใภ้ห้ากำลังปรึกษากันเรื่องงานวันเกิดของเซินเกอเจ้าค่ะ นอกจากต้องไปดูที่โถงบุปผาแล้ว ประเดี๋ยวยังต้องไปฟังคนของคณะเต๋ออินปานร้องงิ้วให้ฟังอีก หากคุณชายสามไม่มีอะไรทำ ไม่สู้ลองไปฟังดูก็ได้!”
หากตนเดินเข้าไปถามว่าใครจะเป็นคนจัดการงานแต่งของบุตรชายตอนนั้น ก็ทำให้ไท่ฮูหยินอารมณ์ไม่ดีน่ะสิ!
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าค่อยมาวันอื่นก็ได้!” คุณชายสามยิ้ม พูดคุยกับจิ่นเกอสองสามประโยค จากนั้นก็ลุกขึ้นขอตัวลา
สวีลิ่งอี๋ถามสืออีเหนียง “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“ท่านแม่โกรธคุณชายสามอยู่เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงเล่าที่ไปที่มาของเรื่องราวให้สวีลิ่งอี๋ฟัง “…คงต้องรอให้ท่านแม่หายโกรธก่อน”
สวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้ก็เงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดเบาๆ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร หากมีโอกาส เจ้าก็ช่วยพูดให้พี่สามและพี่สะใภ้สามบ้าง” เขาพูดด้วยสีหน้าที่กำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
สืออีเหนียงยิ้มแล้วตอบรับ
แต่การที่ไท่ฮูหยินโกรธเขาครั้งนี้มันกลับทำให้ทุกคนคิดไม่ถึง
จนกระทั่งถึงวันเกิดของเซินเกอ คุณชายสามและฮูหยินสามก็ยังไม่มีโอกาสพูดเรื่องนี้กับไท่ฮูหยิน ฮูหยินสามเป็นกังวล ถือโอกาสตอนกำหนดวันหมั้นหมายกับสกุลจินมาคารวะไท่ฮูหยิน แต่ไท่ฮูหยินกลับไปที่เรือนของฮูหยินสอง ฮูหยินสามรีบตามไป ยืนอยู่ที่เรือนเสาหวาตั้งนานก็ไม่เห็นเงาของไท่ฮูหยิน
ทันใดนั้นระหว่างพวกนางก็มีความรู้สึกห่างเหินกัน ฮูหยินสามไม่พอใจ เมื่อถึงวันกำหนดเตรียมของงานแต่งงานของสกุลจิน นางก็บอกแค่ว่าเวียนหัว นอนอยู่บนเตียงขยับไปไหนไม่ได้ คุณนายสามสกุลหวงมาหานาง ใบชากระจัดกระจาย ห่านก็ยังอยู่ในกรงในโรงครัวไม่ได้ผูกผ้าเจ็ดสี ก่อนหน้านี้ตกลงว่าจะให้คุณนายใหญ่สกุลกานไปจัดการ แต่กลับไม่เห็นเงาของนางเลยแม้แต่น้อย
คุณนายสามสกุลหวงโมโหจนหน้าแดง นางกำลังจะไปที่ตรอกเหอฮวาหลี่ แต่ฟังซื่อกลับห้ามคุณนายสามสกุลหวงเอาไว้ “ตอนนี้ไปๆ มาๆ เกรงว่าคงจะไม่ทันฤกษ์งามยามดีเจ้าค่ะ หากคุณนายสามไม่รังเกียจ ข้าพาสาวใช้สองสามคนไปเก็บข้าวของใส่หีบก่อน อย่างเช่นปิ่นปักผมหรูอี้ ในเรือนของข้ายังมีของใหม่อยู่บ้าง คุณนายคิดว่าสีไหนสวยก็หยิบไปใช้ก่อน สำหรับคนที่กำหนดเอาไว้แล้ว เราค่อยส่งคนไปเชิญมา แล้วก็เชิญท่านอาสะใภ้ห้ามาด้วย ทางฝั่งของท่านอาสะใภ้ห้า บอกว่าเชิญนางมาเป็นเฉวียนฝูฮูหยิน เชิญนางมาช่วยเราเก็บข้าวของ หากคุณนายใหญ่สกุลกานมาทันเวลา ก็ถือโอกาสขอให้ท่านอาสะใภ้ห้าช่วยเก็บข้าวของ หากคุณนายใหญ่สกุลกานมาไม่ทัน เช่นนั้นก็เชิญท่านอาสะใภ้ห้าไปกำหนดวันที่สกุลจิน ทำเช่นนี้ ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้ใครขุ่นเคือง แล้วยังแก้ไขสถานการณ์โดยรวมได้ทันเวลา ไม่ทำให้ไท่ฮูหยินตกใจ ไม่ทำให้ทุกคนไม่สบายใจเจ้าค่ะ”
คุณนายสามสกุลหวงได้ยินดังนั้นก็พยักหน้า นางมองฟังซื่อเปลี่ยนไป “ทำตามที่คุณนายน้อยใหญ่พูดเถิด”
ฟังซื่อเรียกผู้ติดตามของตัวเองมาช่วย
ฮูหยินสามนอนฟังเสียงการเคลื่อนไหวอยู่ในห้อง เห็นว่าใกล้จะถึงฤกษ์งามยามดีแล้ว มีเสียงห่านร้องดังมาจากข้างนอกสองสามครั้ง
นางรีบลุกขึ้นมานั่ง กำลังจะเรียกสาวใช้มาถาม ซิ่งเจียวก็เดินเข้ามา “ฮูหยินเจ้าคะ คุณนายน้อยใหญ่เชิญฮูหยินห้ามาเจ้าค่ะ แล้วยังบอกให้ป้ารับใช้ของตัวเองเก็บข้าวของใส่หีบ จากนั้นคุณนายสามสกุลหวงก็จะนำไปให้สกุลจินเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินสามกัดฟันด้วยความโมโห
มีสาวใช้วิ่งเข้ามา “คุณนายใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ!”
ซิ่งเจียวรีบช่วยฮูหยินสามสวมรองเท้า
พี่สะใภ้สกุลเดิมของฮูหยินสามก็เปิดม่านเดินเข้ามา
“โมโหก็ส่วนโมโห จะทำให้เจี่ยนเกอเสียฤกษ์งามยามดีไม่ได้” นางพูดด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล “เร็วเข้า ของที่กำหนดไว้อยู่ที่ไหน ข้าจะนำไปมอบให้สกุลจินกับคุณนายสามสกุลหวง”
ฮูหยินสามก็แค่อยากเอาคืนไท่ฮูหยิน นางเชิญพี่สะใภ้สกุลเดิมมาพักที่เรือนด้านหลังตั้งนานแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นนี้
นางหน้าแดง จากนั้นก็เล่าที่ไปที่มาให้พี่สะใภ้ฟัง “…คนในลานล้วนแต่เป็นคนของนาง ข้าไม่เชื่อว่าพี่สะใภ้พักอยู่ที่เรือนหลัง นางจะไม่รู้!” พูดด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ
พี่สะใภ้ของฮูหยินสามจะไม่รู้ได้เช่นไรว่าคำว่า ‘นาง’ ที่ฮูหยินสามพูดถึงคือใคร นางไล่คนที่อยู่รับใช้ให้ออกไปแล้วพูดเบาๆ “ข้าคิดว่า เรื่องที่สำคัญที่สุดของเจ้าตอนนี้คือไล่สาวใช้ที่ไม่ฟังคำพูดของเจ้าออกไปให้หมด เขียนเสือให้วัวกลัว ทำให้คนเก่าคนแก่พวกนั้นรู้ว่าหากไม่มีที่พึ่งจะเย่อหยิ่งได้เช่นไร ถึงตอนนั้นเจ้าบอกให้นางทานข้าว โรงครัวถึงจะทำให้นางทาน เจ้าบอกให้นางดื่มน้ำ นางถึงจะมีน้ำดื่ม…”
ฮูหยินสามลังเล “หากไท่ฮูหยินรู้เล่าเจ้าคะ”
“ตอนนี้เจ้าย้ายออกมาอยู่ข้างนอกแล้ว หากไท่ฮูหยินรู้ ท่านยังจะทำอะไรเจ้าได้เช่นนั้นหรือ” พี่สะใภ้ของฮูหยินสามโมโหที่นางไม่เอาถ่าน “เจ้าอย่าลืมว่านางเองก็เป็นแม่สามีเหมือนกัน หากนางเข้ามายุ่งเรื่องที่เจ้าสั่งสอนลูกสะใภ้ เช่นนั้นนางยังจะกล้าสั่งสอนเจ้าหรือไม่!”
ฮูหยินสามได้ยินเช่นนี้สายตาก็เป็นประกาย รีบเรียกซิ่งเจียวมารับใช้ตัวเองเปลี่ยนเสื้อผ้า “จัดการเรื่องงานแต่งของเจี่ยนเกอก่อนแล้วค่อยว่ากัน ถึงตอนนั้นจะได้แสดงอำนาจให้ลูกสะใภ้คนใหม่เห็น”
“ใช่แล้ว!” พี่สะใภ้ใหญ่ของฮูหยินสามยิ้มอย่างพอใจ “พูดถึงงานแต่งของเจี่ยนเกอ ในเมื่องานแต่งจัดที่ลานของเจ้า เมื่อแต่งลูกสะใภ้คนใหม่เข้ามาแล้ว ก็จัดโต๊ะแล้วเชิญคนของห้องบัญชีไปเลี้ยง แล้วบอกให้กานเหล่าเฉวียนพาคนมาเก็บข้าวของก็พอแล้ว มีแค่เจ้าที่โง่เขลา!”
“พี่สะใภ้ เหตุใดข้าถึงคิดไม่ถึงเจ้าคะ” ฮูหยินสามราวกับมีความหวังอีกครั้ง แต่นางกลับหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง “แต่ทำประเจิดประเจ้อขนาดนี้ จะทำให้คนอื่นหัวเราะเยาะหรือไม่”
“มีอะไรน่าตลกกัน!” พี่สะใภ้ใหญ่ของฮูหยินสามพูดเสียงเบา “นึกถึงตอนนั้น ตอนที่ท่านปั๋วผู้เฒ่าเสียชีวิต พี่สะใภ้ของพวกเราก็ทำเช่นนี้ ไม่เช่นนั้น ข้าจะรู้วิธีนี้ได้อย่างไร! “
ฮูหยินสามได้ยินดังนั้น นางก็กล้าหาญมากขึ้น พยักหน้าแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้เจ้าคะ ถึงตอนนั้นพี่สะใภ้ต้องช่วยข้านะเจ้าคะ”
“ไม่ต้องเป็นห่วง!” พี่สะใภ้ใหญ่ของฮูหยินสามพูด “นี่เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของเจ้า ไม่ใช่ของคนในตรอกเหอฮวาหลี่!”
*****
แน่นอนว่าต้องมีคนไปรายงานไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินแค่ยิ้มแล้วพยักหน้า แต่นางกลับทานข้าวเย็นแค่ครึ่งชาม
ป้าตู้เชิญฮูหยินสองมา
“คุณชายสามเป็นคนซื่อ” ฮูหยินสองช่วยพัดให้ไท่ฮูหยิน “เขาจะรู้ว่าท่านคิดอะไรในใจได้เช่นไรกัน ข้าคิดว่า ท่านโมโหเช่นนี้ เขาอาจจะไม่รู้ก็ได้นะเจ้าคะ ท่านทำเช่นนี้ก็ราวกับกำลังขยิบตาให้คนตาบอด…”
“เจ้าต่างหากที่ขยิบตาให้คนตาบอด” ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็ทำท่าฉุนเฉียว แต่นางกลับรู้สึกสบายใจขึ้นไม่น้อย
ฮูหยินสองและป้าตู้ไม่สนใจ พวกนางพากันหัวเราะ
“ข้าพูดผิดเองเจ้าค่ะ!” ฮูหยินสองประคองไท่ฮูหยินลุกขึ้น รับต้มถั่วเขียวในมือของป้าตู้มาให้ไท่ฮูหยิน “ต้มไว้หนึ่งเค่อหลังน้ำเดือด ไม่ได้ใส่น้ำตาลเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินลุกขึ้น รับต้มถั่วเขียวมาทานแล้วถอนหายใจ “ข้าเป็นท่านแม่ของเขา ถึงแม้ว่ามันจะเป็นความผิดของข้า แต่เขาในฐานะบุตรชาย ก็ต้องยอมทำตามข้าสิ! แต่เจ้าดูเรื่องที่เขาทำ” พูดจบ นางก็ถอนหายใจอีกครั้ง
“เช่นนั้นก็ควรเรียกคุณชายสามมาสั่งสอน!” ฮูหยินสองยิ้มแล้วทุบขาให้ไท่ฮูหยิน “ท่านทำเช่นนี้ก็เหมือนกับไม่เห็นเขาเป็นบุตรชายไม่ใช่หรือ” นางพูดต่ออีกว่า “หากคุณชายสี่และคุณชายห้าทำเช่นนี้ เกรงว่าท่านคงจะสั่งสอนพวกเขาไปตั้งนานแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
คำพูดพวกนี้ มีแค่ฮูหยินสองเท่านั้นที่กล้าพูด
ป้าตู้ได้ฟังแล้วก็ตกใจ นางเงยหน้าขึ้นมองไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินนั่งอยู่ตรงนั้นด้วยสีหน้าที่เหม่อลอย
*****
วันต่อมา ไท่ฮูหยินเรียกคุณชายสามเข้ามาที่จวน
“สองสามวันก่อนเจ้ามาหาข้า มีเรื่องอันใด”
“ไม่มีอะไรขอรับ!” คุณชายสามตอบด้วยรอยยิ้ม “เรือนหอใหม่กำหนดแล้ว เชิญช่างฝีมือมาทาสีแล้ว จึงอยากมารายงานท่านแม่เท่านั้น”
ไท่ฮูหยินมองดูเขาแต่ไม่พูดอะไรอยู่นาน
คนที่ปรนนิบัติรับใช้ในห้องก็ออกไปหมดแล้ว เสียงนาฬิกาไขลานดังออกมาจากห้องปีกทางทิศตะวันตก ทำให้คุณชายสามรู้สึกไม่สบายใจ
“ท่านแม่ขอรับ…” รอยยิ้มของเขาเริ่มแข็งทื่อ
“คุณชายสาม เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าไม่ชอบอะไรในตัวเจ้ามากที่สุด” ไท่ฮูหยินถอนหายใจเบาๆ
คุณชายสามพลันตื่นตระหนก
“ข้าไม่ชอบการพูดจาของเจ้า ทำอะไรก็ไม่มีความคิดเป็นของตัวเองมากที่สุด” ไท่ฮูหยินพูดอย่างตรงไปตรงมา “พวกเจ้าอยากย้ายออกไปตั้งหลักปักฐานด้วยตัวเอง ข้าก็ทำตามความปรารถนาของพวกเจ้า ให้พวกเจ้าย้ายออกไปอยู่ข้างนอก แต่ขีดเพียงขีดเดียวเขียนคำว่า ’สวี’ ไม่ได้ ข้าเห็นเจี่ยนเกอมาตั้งแต่เล็กจนโต ข้าอยากให้น้องสะใภ้สี่ น้องสะใภ้ห้าของเจ้าไปช่วย ก็เพื่อที่จะเป็นหน้าเป็นตาให้เขา ให้เจ้าได้มีหน้ามีตาในสายตาของสกุลญาติ สำหรับเรื่องของสินสอด สองสามปีที่ผ่านมาคุณชายสี่เป็นคนดูแลเรื่องการอยู่การกินของพวกเจ้า ยิ่งไปกว่านั้นเงินของขวัญของจวนจงฉินปั๋ว จวนเวยเป่ยโหว จวนเหลียงเก๋อเหล่า ถึงแม้ว่าจะนำเงินของขวัญพวกนั้นให้คุณชายสี่ แต่ต่อไปเขาก็ต้องช่วยคืนเงินพวกนั้นให้เจ้า พวกเจ้าก็คงจะรู้ใช่หรือไม่” ไท่ฮูหยินพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ “สองสามปีนี้เจ้าช่วยคุณชายสี่ดูแลเรื่องในจวน คุณชายสี่ดีกับเจ้าเช่นไร คนอื่นไม่รู้ แต่เจ้ารู้ดีที่สุด ถึงแม้ว่าเจ้าจะนำเงินของขวัญพวกนั้นให้เขา ใช่ว่าเขาจะยอมรับ น้ำใจเช่นนี้ พี่ชายอย่างเจ้าทำได้ แต่ทำไมเจ้าถึงไม่ทำ ภรรยาของเจ้าไม่พอใจ ทำไมเจ้าถึงไม่คิดว่าคุณชายสี่เองก็มีภรรยาเหมือนกัน ข้ารู้ว่าเจ้าช่วงชิงเพื่อภรรยาของเจ้า แล้วทำไมเจ้าถึงไม่คิดว่าเขาเองก็ต้องมีหน้ามีตาในสายตาภรรยาของเขาเหมือนกัน”
“ท่านแม่ขอรับ…” คุณชายสามหน้าแดง “ข้า…ข้า…”
ในเมื่อพูดออกมาแล้ว ไท่ฮูหยินไม่อยากปล่อยโอกาสนี้ไปง่ายๆ
“เรื่องบางเรื่อง ข้าผิดเองที่ไม่พูดกับเจ้าให้ชัดเจน แต่เรื่องบางเรื่อง เจ้าไม่มีความคิดเป็นของตัวเองเกินไปแล้ว! ฮูหยินสามไม่รู้ความ เจ้าก็ควรที่จะสั่งสอนนาง ทำไมนางพูดอะไร เจ้าก็เห็นด้วยโดยที่ไม่คิดอะไรทั้งนั้น หรือว่าผู้หญิงที่อยู่ในเรือนอย่างนาง แข็งแกร่งกว่าผู้ชายที่เห็นโลกภายนอกมาแล้วอย่างเจ้าเช่นนั้นหรือ” ไท่ฮูหยินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “คุณชายสาม เรื่องบางเรื่อง เจ้าต้องคิดให้รอบคอบ คุณชายสี่ขอโอกาสให้เจ้าย้ายออกไปอยู่ข้างนอก แล้วยังแนะนำสหายที่ร่วมงานกันให้เจ้ารู้จัก เจ้าไม่เพียงแต่ไม่คว้าโอกาสนี้เอาไว้ แต่ยังกลับมาที่เยี่ยนจิงเช่นนี้ นักปราชญ์กล่าวเอาไว้ว่า พัฒนาตัวเองเพื่อความสงบสุขของครอบครัว แค่นี้เจ้ายังดูแลครอบครัวไม่ได้ แล้วเจ้าจะทำให้โลกใบนี้สงบสุขได้อย่างไร ข้าจะพูดกับเจ้าตรงๆ การที่เจ้ากลับมาครั้งนี้ คุณชายสี่อยากหาตำแหน่งใหม่ให้เจ้าอีกครั้ง แต่ข้าเองที่ห้ามเขาไว้ ตอนนั้นข้าโมโหที่เจ้าไม่เอาถ่าน อยากจะสั่งสอนเจ้า แต่เรื่องแต่งงานของเจี่ยนเกอ เจ้ากลับเอาแต่พูดซ้ำแล้วซ้ำเล่า…เจ้าเอาแต่ฟังความคิดเห็นของภรรยาตัวเองทุกเรื่อง ถึงแม้ว่าจะมีหน้าที่การงานที่ดีแค่ไหน แต่ก็อาจจะทำให้มันหายไปเพราะคำพูดสองประโยคของนาง แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ไม่สู้เป็นชาวไร่ของเจ้าต่อไปเถิด!”
“ท่านแม่ขอรับ…” คุณชายสามก้มหน้าลงด้วยความรู้สึกผิด
ไท่ฮูหยินถอนหายใจเบาๆ “ไม่ว่าข้าจะพูดมากมายขนาดไหน แต่เจ้าเองก็ต้องคิดให้ได้” จากนั้นนางก็ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ “ข้าเหนื่อยแล้ว อีกครึ่งเดือนก็จะถึงงานแต่งของเจี่ยนเกอแล้ว ตอนนี้คนอื่นกำลังยุ่งวุ่นวายอยู่กับการเขียนเทียบเชิญ มีฝ่ายรายงานของคุณชายสี่คอยช่วยเหลือ หากเจ้าไม่มีอะไรทำ ไม่สู้ลองไตร่ตรองเรื่องที่เกิดขึ้น ตั้งแต่สู่ขอภรรยาให้เจี่ยนเกอจนถึงกำหนดวันงานให้ดี แค่นี้ข้าก็พอใจแล้ว”
สีหน้าของคุณชายสามเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด เขาพูดอะไรไม่ออก จึงโค้งคำนับไท่ฮูหยินแล้วเดินออกไป