ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 562 แต่งงาน (กลาง)
เรื่องราวต่อมานั้นกลับราบรื่นกว่าที่สืออีเหนียงคิดเอาไว้
คุณนายสามสกุลหวงไปสู่ขอสกุลจิน สกุลจินก็ตอบตกลง เชิญฮูหยินของใต้เท้าเวยผู้บัญชาการกองปัญจทิศรักษานครมาเป็นแม่สื่อ รับหนังสือวันเดือนปีเกิดขอสวีซื่อเจี่ยน ทางฝั่งของสกุลสวี คุณชายสามมาคารวะไท่ฮูหยินตั้งแต่เช้า จากนั้นก็นำหนังสือวันเดือนปีเกิดของคุณหนูสกุลจินไปวางที่ศาลบรรพชนด้วยความดีใจ แล้วยังมาปรึกษากับไท่ฮูหยินเรื่องงานแต่งของสวีซื่อเจี่ยน “เจินเจี่ยเอ๋อร์แต่งงานเดือนสิบ ข้าคิดว่างานแต่งของเจี่ยนเกอก็กำหนดไว้ปลายปีเถิดขอรับ แต่งงานช่วงในฤดูใบไม้ผลิ ท่านคิดว่าเป็นอย่างไรบ้าง”
ไท่ฮูหยินค่อยๆ จิบชาแล้วพูดว่า “จะมีเงินหรือไม่มีเงินก็ต้องแต่งลูกสะใภ้เข้ามาฉลองปีใหม่ ทางฝั่งของเจินเจี่ยเอ๋อร์ เตรียมการไว้ตั้งแต่สองสามปีก่อนแล้ว ไม่มีอะไรต้องจัดการแล้ว ข้าคิดว่างานแต่งของเจี่ยนเกอกำหนดไว้เดือนเจ็ด แล้วเลือกฤกษ์งามยามดีแต่งช่วงเดือนแปดดีกว่า”
คุณชายสามมองหน้าไท่ฮูหยินด้วยความตกใจ จากนั้นเขาก็ได้สติกลับมาแล้วพูดว่า “เดือนแปดเป็นเดือนที่ดอกไม้ผลิบาน ไม่หนาวไม่ร้อนเกินไป ถือว่าเป็นเดือนที่ดี ท่านแม่คิดได้รอบคอบมาก”
ไท่ฮูหยินจึงบอกให้ป้าตู้นำปฏิทินโหราศาสตร์เข้ามา “ข้าคิดว่า วันที่ยี่สิบเดือนแปดเป็นวันที่ดี เจินเจี่ยเอ๋อร์แต่งงานออกเรือนวันที่สิบสองเดือนสิบ วันที่หกเดือนสิบมีขบวนขันหมาก เก็บข้าวของสองวัน ก็ถึงวันเกิดอายุสามขวบของจิ่นเกอ” ไท่ฮูหยินยิ้ม “ถึงตอนนนั้นทุกคนจะได้ร่วมครึกครื้นกันอีกครั้ง!”
คุณชายสามยิ้มแล้วขานรับ “ขอรับ”
ฮูหยินห้าถือรายชื่อเดินเข้ามา “ท่านแม่ ดูสิเจ้าคะ!”
อีกสิบวันก็คือวันเกิดของเซินเกอ สวีลิ่งควนและฮูหยินห้าอยากจัดงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ พวกเขาเตรียมการเอาไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้ว
คุณชายสามเห็นเช่นนี้ก็ลุกขึ้นขอตัวลา นี่เป็นเรื่องของสตรี บุรุษอย่างเขา อีกทั้งยังเป็นท่านลุงของเด็ก ยืนอยู่ตรงนี้เลยไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร
ไท่ฮูหยินก็ไม่รั้งเขาไว้ ยิ้มแล้วพูดว่า “ตานหยางเก่งขึ้นเรื่อยๆ ข้าคิดว่ารายชื่อนี้ไม่เลวเลยทีเดียว งานแต่งงานของเจี่ยนเกอ เจ้าและพี่สะใภ้สี่ของเจ้าไปช่วยจัดการที่ตรอกซานจิ่งเถิด”
คุณชายสามหยุดเดิน เขาหยุดชะงักไปครู่หนึ่งจากนั้นก็ค่อยๆ ก้าวเท้าออกไป
ไท่ฮูหยินเห็นดังนั้นก็จิบชา ยิ้มแล้วคืนรายชื่อให้ฮูหยินห้า “นำไปให้พี่สะใภ้สี่ของเจ้าดู พี่สะใภ้สี่รู้ว่าจะช่วยเจ้าจัดการอย่างไร”
ฮูหยินห้ายิ้มแล้วตอบรับ จากนั้นก็ไปที่เรือนของสืออีเหนียง
“…เดือนหกอากาศจะร้อน ห้องเก็บของข้ามีกระจกกันลม ถึงตอนนั้นนำไปวางไว้ที่โถงบุปผา แล้วยังต้องบอกคนในเรือนหน่วนฝัง ถึงตอนนั้นให้ประดับดอกไม้สดใหม่สักสองสามดอก”
ฮูหยินห้าพยักหน้าซ้ำๆ “ภาชนะทั้งหมดใช้เป็นถ้วยกระเบื้องลายคราม ปูด้วยผ้าปูโต๊ะสีแดงสด!”
“สีแดงสดเช่นนั้นหรือ!” สืออีเหนียงพูดเบาๆ “หรือว่าจะใช้สีเขียวอ่อนดี? ถึงแม้จะสดใสสู้สีแดงสดไม่ได้ แต่มองดูแล้วสบายตา”
“สีเขียวอ่อนอย่างนั้นหรือ” ฮูหยินห้าเลิกคิ้ว “แต่กลัวว่าสุราจะหกใส่แล้วทำความสะอาดยากน่ะสิเจ้าคะ” นางพูดด้วยท่าทีที่ไม่เห็นด้วย
ผ้าไหมที่ย้อมสีเขียวอ่อน หากสกปรกแน่นอนว่าซักไม่ออก
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่สู้ใช้ผ้าเก๋อปู้เนื้อหยาบ ย้อมแล้วสามารถซักได้!”
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้!” ฮูหยินห้าจับมือสืออีเหนียง “เราไปถามที่ห้องเย็บปักถักร้อยกันเถิด”
สืออีเหนียงเองก็สนใจ นางอยากรู้ว่าผ้าเก๋อปู้เนื้อหยาบย้อมสีเขียวอ่อนได้หรือไม่
พวกนางสองคนอยู่ที่ห้องเย็บปักถักร้อยตลอดช่วงบ่าย แล้วยังทานข้าวเย็นด้วยกัน กระทั่งจัดเตรียมงานเลี้ยงวันเกิดของเซินเกอเสร็จเรียบร้อย
ยามที่ไปคารวะไท่ฮูหยินก็เป็นช่วงเย็นแล้ว
ไท่ฮูหยินมองดูพวกนางสองคนแล้วส่ายหน้า จากนั้นก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ลำบากขนาดนี้ แค่เรื่องผ้าปูโต๊ะ? เวลาสิบวันย้อมทันหรือไม่”
“ท่านแม่เจ้าคะ” ฮูหยินห้าไม่เห็นด้วย “สิ้นสุดวันเกิดของเซินเกอแล้ว ก็ต้องรอให้ถึงพิธีมอบหมวกถึงจะได้เชิญญาติสนิทมิตรสหายมารวมตัวกันเช่นนี้อีกครั้ง ท่านให้พวกข้าย้อมผ้าเถิด”
“ข้าห้ามพวกเจ้าทำตั้งแต่เมื่อไรกัน” ไท่ฮูหยินพูดด้วยรอยยิ้ม นางอุ้มจิ่นเกอที่กำลังจดจ่ออยู่กับการเล่นของเล่นเก้าห่วงปริศนามาไว้ในอ้อมแขน “พวกเจ้านำไปย้อมเถิด ข้าแค่กลัวว่าถึงตอนนั้นผ้าจะย้อมได้ไม่ดี แล้วจะเปลี่ยนถ้วยกระเบื้องลายครามกลายเป็นเครื่องเคลือบสีเขียวตามไปด้วย…ทำเอาพวกข้าอยู่ไม่เป็นสุข!”
“ไม่มีทางเจ้าค่ะ” ฮูหยินห้ารีบรับรอง “คนของห้องเย็บปักถักร้อยบอกแล้วว่า จะบอกให้ห้องย้อมรีบทำ ไม่เกินห้าวันก็เสร็จ วันนี้ข้าและพี่สะใภ้สี่ลองดูแล้วสีน้ำเงินก็สวยดีเจ้าค่ะ แต่ว่ามันดูไม่สวยเท่าสีเขียวอ่อน”
ไท่ฮูหยินเห็นลูกสะใภ้สองคนปรึกษากัน นางก็ยิ้มมุมปากอย่างพอใจ หางตาเหลือบเห็นจิ่นเกอที่พลิกเก้าห่วงปริศนาไปมาแต่ก็ปลดเก้าห่วงปริศนาไม่ออกสักทีทำหน้าบึ้งตึง นางยิ่งชอบใจมากกว่าเดิม ยิ้มแล้วหอมแก้มจิ่นเกอ “ข้าไม่สนพวกเจ้า พวกเจ้าอยากทำอะไรก็ทำเถิด ข้าเล่นกับจิ่นเกอและเซินเกอก็พอแล้ว!” พูดจบ นางก็หอมแก้มจิ่นเกออีกครั้ง
ฮูหยินห้าจึงเดินไปจับมือบุตรชายของตัวเองแล้วพูดว่า “เซินเกอ เจ้าได้ยินแล้วหรือยัง ต้องโตเร็วๆ ต้องกตัญญูต่อท่านย่าเหมือนพี่หกของเจ้ารู้หรือไม่”
เซินเกอหันหน้าหนีแล้วชี้ไปที่ชามขนมเม็ดบัวบนโต๊ะเตียงเตาของไท่ฮูหยินแล้วส้งเสียง “แอ๊ๆ” ท่าทีเหมือนอยากทาน
ฮูหยินห้าจึงตบมือบุตรชายเบาๆ “จะเอาแต่ทาน!”
ทำเอาทุกคนหัวเราะ
เมื่อในห้องไม่มีใครอยู่แล้ว ป้าตู้ก็เตือนไท่ฮูหยินเบาๆ “ท่านอายุมากแล้ว จิ่นเกอหนักขึ้นเรื่อยๆ ให้อวี้ป่านช่วยอุ้มคุณชายน้อยหกเถิดเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินไม่สนใจ “ข้ารู้ดี” นางหยุดชะงักไปครู่หนึ่งแล้วแก้ตัว “จิ่นเกอไม่ได้ได้มาง่ายๆ แล้วยังหน้าตาน่ารักน่าชัง หน้าตาเหมือนคุณชายสี่ตอนเด็กอย่างกับแกะ ข้าเห็นเขาแล้วก็นึกถึงตอนที่คุณชายสี่ยังเล็ก” นางพูดพร้อมกับทำสีหน้าระลึกความหลัง “ตอนนั้น คุณชายสองก็ยังอยู่…” ไท่ฮูหยินพูดด้วยสายตาที่มีร่องรอยของความเสียใจ
นี่คือเรื่องที่ไท่ฮูหยินเสียใจมากที่สุด ราวกับรอยแผลเป็นที่แกะก็ยังมีเลือดไหลซึม ไม่มีใครกล้าแตะต้องมัน
ป้าตู้รีบยิ้มแล้วเปลี่ยนเรื่อง “ท่านอยากลองชุดอ่าวสีขาวลายดอกบัวที่ฮูหยินสี่ทำให้ท่านเมื่อสองวันก่อนหรือไม่เจ้าคะ…”
“เจ้าไม่ต้องมาเปลี่ยนเรื่อง” อยู่ด้วยกันมาหลายสิบปี ไท่ฮูหยินรู้จักป้าตู้ดี ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้นางก็ยิ้มแล้วพูดว่า “เมื่อก่อนเห็นจวนหลังนี้วุ่นวาย ข้าไม่พอใจ มักจะคิดว่าหากคุณชายสองยังมีชีวิตอยู่…จวนหลังนี้คงจะไม่เป็นเช่นนี้ แต่ตอนนี้ ข้าเริ่มคิดได้แล้ว โชคชะตาล้วนแต่กำหนดไว้หมดแล้ว…หากคุณชายสองยังอยู่ ตำแหน่งบรรดาศักดิ์จะตกมาอยู่ที่คุณชายสี่ได้เช่นไร แล้วหากตำแหน่งบรรดาศักดิ์ไม่ได้ตกมาอยู่ที่คุณชายสี่ เกรงว่าจวนหลังนี้คงจะไม่เจริญรุ่งเรืองขนาดนี้!” พูดจบ ไท่ฮูหยินถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็พูดความในใจกับป้าตู้ต่ออีก “ท่านโหวผู้เฒ่าเคยพูดเอาไว้ว่า ถึงแม้ว่าคุณชายสองจะเป็นคนดีมีศีลธรรม แต่เขาเป็นคนอ่อนโยนและใจกว้าง ทำอะไรไม่เด็ดขาด ขาดแรงจูงใจ ถึงอย่างนั้นหากให้เขาเป็นคนสืบทอดตำแหน่ง เขาทำอะไรล้วนถูกต้องตามกฎเกณฑ์ แล้วยังมีอี๋เจินคอยหนุนหลัง ไม่มีทางทำให้ตระกูลเสียชื่อเสียงแน่นอน
แต่คุณชายสี่เป็นคนเด็ดเดี่ยว ฉลาดหลักแหลม หยวนเหนียงก็เป็นคนฉลาดและมีความสามารถ แล้วยังเด็ดขาด ไม่ว่าโลกใบนี้จะเปลี่ยนแปลงไปเช่นไร พวกเขาก็สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ ถึงตอนนั้นให้พวกเขายืนหยัดด้วยตัวเอง หากได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ก็จะได้รับตำแหน่ง ส่วนคุณชายห้าเป็นลูกคนสุดท้อง เราตามใจเขามากกว่าสั่งสอนเขา ต่อไปกลัวว่าเขาจะไม่เอาถ่าน แค่ขอให้เขาเป็นคนดี ไม่ต้องโดดเด่นก็พอแล้ว จึงให้เขาแต่งงานกับตานหยาง”
ไท่ฮูหยินพูดจบก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง
“ถึงแม้ว่าคุณชายสามจะเป็นคนซื่อสัตย์ แต่เขาเป็นคนใจอ่อน เจอเรื่องอันใดก็ไม่มีความคิดเป็นของตัวเอง แค่อยากจะเป็นคนดี เดิมทีอยากให้เขาแต่งงานกับสกุลนักปราชญ์ จึงเชิญอาจารย์มาสอนหนังสือเขาที่จวน แต่บุตรสาวสกุลนักปราชญ์ใช่ว่าจะหาได้ง่ายๆ สกุลใหญ่สกุลโตยังบอกว่าเขาไม่มีตำแหน่งหน้าที่การงาน แล้วยังเป็นบุตรชายอนุของสกุลที่ตกต่ำ ข้ากลัวคนอื่นจะมองว่าข้าใจร้ายกับลูกอนุ จึงสู่ขอบุตรสาวสกุลกานให้เขา
ตอนที่สะใภ้กานพึ่งจะแต่งเข้ามา นางปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ตลอด ไม่เคยทำอะไรเกินหน้าที่ ข้าเห็นเช่นนี้ก็พอใจ แต่ท่านโหวผู้เฒ่ากลับบอกว่าสายตาตอนที่นางมองบรรดาพี่สะใภ้และน้องสะใภ้กลับเป็นประกาย เกรงว่าคงจะไม่ใช่คนที่รู้ความ หากเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นก็คงจะเกิดขึ้นจากตัวนาง บอกให้ข้าคอยอบรมสั่งสอนนาง
ตอนนั้นข้าไม่สนใจ มักจะคิดว่านางเป็นลูกสะใภ้ ข้าคือแม่สามี แล้วอาจารย์ก็ยังบอกว่าคุณชายสามไม่มีพรสวรรค์ด้านการเรียน ต้องพึ่งพาความขยันเท่านั้น ข้าคิดว่าหากเขาลงสนามสอบเช่นนี้ต่อไป คงจะต้องสอบสักสิบยี่สิบปี ในช่วงสิบยี่สิบปีนี้พวกเขาก็ต้องอยู่ในสายตาของข้า หากนางทำอะไรผิด ข้าจะจัดการนางไม่ได้เช่นนั้นหรือ ยิ่งไปกว่านั้น ข้าเป็นมิตรกับอี๋เจินและหยวนเหนียงมาตลอด จะให้ข้าทำหน้ายักษ์ใส่นางได้อย่างไร!”
“เพราะเรื่องนี้ ท่านโหวผู้เฒ่าตำหนิข้าไม่น้อย! ข้าก็เถียงท่านโหวผู้เฒ่าไปไม่น้อยเช่นกัน!”
ไท่ฮูหยินยิ้มอย่างขมขื่น
“คิดไม่ถึงว่าเรื่องทุกอย่างจะเป็นเหมือนที่ท่านโหวผู้เฒ่าพูดเอาไว้!”
คำพูดพวกนี้ ป้าตู้พึ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก
แต่ไม่ว่าอย่างไร นางเป็นบ่าวรับใช้ ไท่ฮูหยินเล่าเรื่องพวกนี้ให้นางฟัง หมายความว่าไท่ฮูหยินให้ความสำคัญกับนาง แต่นางก็ไม่ควรลืมตัวแล้วเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง หากเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว วาสนาของนางและไท่ฮูหยินก็จะจบสิ้นทันที
ป้าตู้จึงพูดว่า “ท่านโหวผู้เฒ่ามองเรื่องราวออก ในบรรดาคุณชายทั้งหลาย ก็มีแค่ท่านโหวที่เหมือนท่านโหวผู้เฒ่าเจ้าค่ะ”
“เห้อ!” ไท่ฮูหยินส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “ตอนนั้นหยวนเหนียงอยากย้ายออกไปอยู่ข้างนอก ข้าเห็นคุณชายสี่พูดตะกุกตะกักอยู่ต่อหน้าข้า ข้าก็ไม่สบายใจ คิดว่าหากพวกเขาอยากย้ายออกไปก็ปล่อยให้พวกเขาย้ายออกไปเถิด เพราะตอนนั้นท่านโหวผู้เฒ่าก็ดูมีท่าทีอยากให้พวกเขาย้ายออกไปยืนหยัดด้วยตัวเอง แต่ใครจะไปคิดว่าท่านโหวผู้เฒ่ากลับไม่เห็นด้วย บอกว่าตอนนี้สถานการณ์ในราชสำนักกำลังวุ่นวาย สกุลของเรามีลูกหลานน้อย อีกคนหนึ่งก็อยู่ที่หนานจิง เดิมทีก็ไม่มีใครคอยช่วยเหลืออยู่แล้ว หากคุณชายสี่ย้ายออกไปตอนนี้ สกุลของเราก็จะยิ่งไม่มีอำนาจ ให้เขาอยู่ที่จวนอีกสักสองสามปี ดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน หากโลกใบนี้สงบก็คงดี แต่หากไม่สงบก็คงต้องพึ่งพาคุณชายสี่แล้ว…”
ไท่ฮูหยินมีสีหน้าโศกเศร้า
“บางครั้งข้าก็คิดว่า มันคงเป็นโชคชะตา!”
นางยังพูดไม่ทันจบประโยคดี น้ำตาก็รินไหลออกมา
*****
ตอนที่ไท่ฮูหยินกำลังพูดถึงบุตรชายและลูกสะใภ้ บุตรชายและลูกสะใภ้ก็กำลังพูดถึงไท่ฮูหยินเช่นกัน
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ท่านแม่ให้เจี่ยนเกอแต่งงานที่ตรอกซานจิ่งหรือเจ้าคะ”
ฮูหยินสามหน้าแดง นางเดินวนไปมารอบห้องราวกับมดที่อยู่บนกระทะร้อนก็ไม่ปาน
ถึงแม้ว่าคุณชายสามจะมีสีหน้าเรียบเฉย แต่สายตาของเขากลับมีความไม่พอใจ “แต่งงานที่ตรอกซานจิ่งก็ไม่เลว เพราะทุกคนก็รู้ว่าเราย้ายออกไปอยู่ข้างนอกแล้ว!”
“ทำแบบนี้ได้อย่างไรกัน” ฮูหยินสามเป็นกังวล “เช่นนั้นแขกที่มา ของขวัญและงานแต่งงานก็แตกต่างกัน…เจี่ยนเกอแต่งงานกับตะกูลของรองผู้บัญชาการ ขุนนางระดับเจ็ดนั้นก็ทำร้ายเขามากเกินไปแล้ว ตอนนี้ยังจะ…” พูดจบ นางก็นั่งหันหลังให้คุณชายสามบนเตียงเตาแล้วสะอื้นไห้