ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 561 แต่งงาน (ต้น
ไท่ฮูหยินยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ
ภายใต้ท่าทีที่แน่วแน่ของไท่ฮูหยิน ฮูหยินสามรู้ว่าตัวเองต้องถอยเท่านั้น
นางย่อเข่าคำนับแล้วขอตัวลา จากนั้นก็รีบไปปรึกษากับสามีตัวเอง
“บรรพบุรุษเคยเป็นหัวหน้าหน่วย เข้าไปรับตำแหน่งในค่ายใหญ่ซีซาน แล้วยังเคยมีความดีความชอบกับน้องสี่ ตอนนี้รับตำแหน่งที่กองปัญจทิศรักษานคร” คุณชายสามพูดเบาๆ “ข้าก็เคยรับตำแหน่ง ถึงแม้ว่าข้าจะเป็นขุนนางระดับสี่ แต่ก็ไม่เหมือนสกุลจินที่มีอำนาจอยู่ในมือ จะว่าไปแล้วเราสองสกุลก็เหมาะสมกันดี...”
“เหมาะสมอะไรกัน!” ฮูหยินสามเด้งตัวขึ้นมาทันที “สกุลเราคือสกุลญาติของฮองเฮา คือสกุลบรรพบุรุษของฮ่องเต้ในอนาคต สกุลพวกเขาเป็นแค่รองผู้บัญชาการกองปัญจทิศรักษานครตะวันออก จะเทียบกับสกุลเราได้อย่างไร…”
คุณชายสามได้ยินดังนั้นก็รีบปิดปากภรรยาตัวเองแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “ข้าบอกเจ้ากี่ครั้งแล้ว คำพูดพวกนี้ให้เก็บไว้ในใจ อย่าพูดออกมา หากไม่ระวังอาจจะทำให้เกิดเรื่องใหญ่ได้…”
เห็นท่าทีขี้ขลาดตาขาวของสามีตัวเอง ฮูหยินสามก็รีบดึงมือสามีออกแล้วพูดว่า “ข้า…ข้าพูดแค่กับท่าน…ไม่มีคนนอกสักหน่อย…ข้าไม่เคยพูดกับคนนอก…”
คุณชายสามขมวดคิ้ว
ฮูหยินสามรีบยิ้ม “ท่านพี่อย่าโกรธข้าเลยเจ้าค่ะ!”
คุณชายสามไม่ได้หายโกรธเร็วเหมือนเมื่อก่อน
ฮูหยินสามจึงเดินเข้าไปดึงแขนเสื้อของคุณชายสามด้วยท่าทีที่ออดอ้อน
คุณชายสามทำสีหน้าเอือมระอา จากนั้นก็ถอนหายใจเบาๆ
ฮูหยินสามถึงได้สบายใจ
คนอื่นปล่อยเงินกู้ นางก็ปล่อยเงินกู้ แต่ใครจะรู้ว่านางจะโชคร้ายขนาดนี้ ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ให้สามีตัวเอง แล้วสิ่งที่ทำให้นางไม่สบายใจที่สุดก็คือ ตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงตอนนี้ สามีไม่พูดอะไรเลย หากเป็นเมื่อก่อน สามีโมโหใส่นาง นางร้องไห้แล้วค่อยเอาใจเขา ประเดี๋ยวสามีก็อารมณ์ดีขึ้น พวกเขาสองคนก็จะกลับมาอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขเหมือนเดิม แต่ตอนนี้ ตัวเองพูดอะไรเขาก็มักจะตอบแค่ว่า ‘อืม’ ร้องไห้ก็ร้องแล้ว โวยวายก็โวยวายแล้ว เอาใจก็เอาใจแล้ว แต่ราวกับกำหมัดชกผ้าฝ้าย เขามักจะทำท่าทีแปลกๆ
คิดดูแล้ว เรื่องนี้จะโทษเขาไม่ได้
เป็นตนที่ผิดเอง ไม่ยอมฟังสามีตัวเอง ทำลายที่มารายได้ของครอบครัวไม่พอ แล้วยังตัดโอกาสครอบครัวของตัวเอง นางรู้สึกผิด อยู่ต่อหน้าสามีนางก็ไม่ทำตัวมีอำนาจเหมือนเมื่อก่อน พูดอะไรก็ระมัดระวังขึ้นกว่าเดิม
“ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างอื่นเจ้าค่ะ” นางพูดเบาๆ อย่างอ่อนโยน “ข้าคิดว่า ตอนนี้เจี่ยนเกอรับตำแหน่งอยู่ที่องครักษ์วังหลวง สถานะของเขาไม่เหมือนเดิมแล้ว ตอนนี้คุณชายสี่ก็ยังไม่พูดถึงเรื่องแต่งงานของอวี้เกอ ก็เพราะว่าอยากให้เขาสอบบัณฑิตซิ่วไฉ ต่อไปจะได้แต่งงานกับบุตรสาวของภรรยาเอกสกุลสูงส่งไม่ใช่หรือ ข้าคิดแทนเจี่ยนเกอก็คงไม่มากเกินไปกระมัง” ฮูหยินสามพูดพร้อมกับมองดูสีหน้าสามีตัวเอง เห็นสีหน้าของคุณชายสามผ่อนคลายลง นางก็โล่งใจ แล้วพูดต่อไปว่า “ข้าไม่กล้าคิดเรื่องอื่น แต่เขาก็เป็นถึงหลานชายของหย่งผิงโหว แล้วก็มีตำแหน่งที่มีหน้ามีตา แต่งงานกับบุตรสาวของขุนนางระดับสามก็ไม่ถือว่าใฝ่สูงเกินไปไม่ใช่หรือ” พูดถึงตรงนี้ นางก็บ่นขึ้นว่า “ล้วนแต่เป็นความผิดของฟังซื่อ ไม่เช่นนั้น ข้าคงจะสู่ขอบุตรสาวของข้าหลวงเฟิ่งเสียงให้เจี่ยนเกอได้แล้ว เด็กคนนั้นหน้าตาสะสวย แล้วยังพูดจาเป็น…”
เหตุใดถึงโยนความผิดไปให้ฟังซื่อ
สองสามวันนี้ภรรยาของตนราวกับถูกคุณไสย มีเรื่องอันใดก็โยนความผิดไปให้ลูกสะใภ้ใหญ่
ฮูหยินของข้าหลวงเฟิ่งเสียงคนนั้นไม่ชอบเจี่ยนเกอ เพราะว่าเจี่ยนเกอเป็นบุตรชายคนที่สอง สืบทอดตำแหน่งไม่ได้ แล้วยังไม่มียศฐาบรรดาศักดิ์ มันเกี่ยวอะไรกับลูกสะใภ้ใหญ่?
คุณชายสามนึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นที่จวนสองสามวันนี้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป “ท่านแม่ผ่านอะไรมามากมาย ในเมื่อท่านถูกใจคุณหนูสกุลจิน เช่นนั้นก็แสดงว่านิสัยและหน้าตาของคุณหนูสกุลจินก็คงจะไม่แย่ เจ้าไม่ต้องคิดมากหรอก พวกเขาเหมาะสมกัน นี่คือพรหมลิขิต มันขึ้นอยู่กับความเหมาะสม เจ้าดูฉินเกอสิ…” พูดถึงตรงนี้ เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าตอนนี้ฟังซื่อคือลูกสะใภ้ของตัวเอง พูดถึงนางก็เท่ากับตบหน้าตัวเอง เขาจึงกลืนความไม่พอใจในใจลงไป “สรุปแล้ว เรื่องนี้เจ้าก็ทำตามที่ท่านแม่บอกเถิด!”
ฮูหยินสามมองหน้าสามีด้วยความตกใจ “เช่นนั้นเรื่องแต่งงานของเจี่ยนเกอก็จะจบลงเช่นนี้หรือ” นางพูดด้วยน้ำเสียงที่สั่นเทา
คุณชายสามสะบัดมือ บอกว่าไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีก จากนั้นก็เดินไปหน้าโต๊ะหนังสือแล้วหยิบเทียบเชิญสีแดงขึ้นมา เขียนวันเกิดปีเกิดของเจียนเกอลงบนนั้น
“เจ้านำเทียบเชิญนี้ไปให้ท่านแม่เถิด” เขาบอกฮูหยินสาม “อย่าผัดวันประกันพรุ่งทำให้ท่านแม่ไม่พอใจ”
ฮูหยินสามมองดูเทียบเชิญนั้น พลันรู้สึกยกแขนของตัวเองไม่ขึ้น
******
“ข้าก็ว่า เหตุใดจู่ๆ ท่านแม่ถึงหาตำแหน่งให้เจี่ยนเกอ” ฮูหยินห้าพูด นางรับต้มถั่วเขียวในมือของเหอเซียงมา ใช้ช้อนตักขึ้นมาป้อนสวีลิ่งควน “ที่แท้ก็จะสู่ขอภรรยาให้เจี่ยนเกอนี่เอง”
จักจั่นข้างนอกส่งเสียงร้องระงม ในห้องมีน้ำแข็งก็ยังรู้สึกร้อน เขาไม่ค่อยได้หยุดพักผ่อนบ่อยนัก สวีลิ่งควนนอนเอาขาไขว่ห้างพิงหมอนใบใหญ่สีเหลืองพลางทานต้มถั่วเขียวอย่างสบายใจ จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “เจ้าคิดว่าฝ่ายทหารกรมกลาโหมพูดง่ายขนาดนั้นเลยหรือ ข้าไปหาพวกเขาโดยไม่มีเหตุผล เจ้ารู้หรือไม่ เพื่อเรื่องนี้ ข้าเสียเงินไปตั้งสองร้อยตำลึง…จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีที่หาเงินเข้าบัญชี! “
ฮูหยินห้ายิ้มแล้วพิงไหล่สามีตัวเอง “ข้าช่วยท่านเองเจ้าค่ะ!” นางพูด “นี่เป็นครั้งแรกที่คุณชายห้าของเราออกหน้าแทนพี่น้องตัวเอง พูดถึงเงินสองร้อยตำลึงทำไมกัน แล้วอีกอย่าง ครั้งก่อนคุณชายสิบหกสกุลถังของสกุลจงซานโหวได้รับตำแหน่งขุนนางระดับเจ็ด ตอนไปรับหนังสือแต่งตั้งยังเสียเงินไปตั้งห้าร้อยตำลึง ไม่นับเรื่องอื่น ท่านใช้เงินไปแค่สองร้อยตำลึง ถือว่าคนของฝ่ายทหารกรมกลาโหมเหล่านั้นไว้หน้าท่านมากแล้ว พวกเขาคงอยากให้ท่านเลี้ยงสุราสักมื้อ ไม่กล้าอยากได้อย่างอื่น ยิ่งไปกว่านั้นด้วยสถานะของคุณชายห้า เลี้ยงข้าวพวกเขา แต่หากเลี้ยงน้อยกว่าสองร้อยตำลึงคงดูไม่ดีกระมัง!”
“เจ้าฉลาดจริงๆ!” สวี่ลิ่งควนยิ้มแล้วบีบแก้มฮูหยินห้า “ใช้เงินที่หอชุนซีไปหนึ่งร้อยหกสิบตำลึง อีกสี่สิบตำลึง ใช้ตอนไปรับหนังสือแต่งตั้ง”
ฮูหยินห้าได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว “พี่สามไม่ได้ไปกับท่านหรือ”
“เสมียนกลุ่มนั้นล้อเลียนข้า” “สวีลิ่งควนพูดอย่างไม่สนใจ “ในมือของข้ามีเงินอยู่แค่สี่สิบตำลึง จึงให้พวกเขาไปหมด ต่อมาพี่สามก็ใช้เงินห้าสิบตำลึงเลี้ยงข้าวพวกเขา”
จากนั้นเขาก็ยิ้มให้ฮูหยินห้าอีกครั้ง ฮูหยินห้าเอ่ยถามขึ้น “ท่านรู้จักใต้เท้าจินของกองปัญจทิศรักษานครตะวันออกหรือไม่ สกุลของพวกเขาเป็นเช่นไรกันแน่ คุณหนูสกุลจินดีเหมือนที่ท่านแม่พูดหรือไม่”
“ข้าเคยเจอแค่สองสามครั้ง ไม่ได้สนิทสนมกัน แต่ดูเป็นคนซื่อสัตย์…“สวีลิ่งควนรื้อฟื้นความทรงจำ “ตอนนั้นในกลุ่มพวกข้า เขาคือคนที่มีอายุมากที่สุด นั่งอยู่ข้างประตู มีคนพูดอะไรสักอย่าง เขาก็ไปจัดการทันที เป็นคนรอบคอบอย่างมาก…”
*****
สวีลิ่งอี๋พูดถึงใต้เท้าจินกับสืออีเหนียง “ข้าจำไม่ได้ว่าข้าเคยมีลูกน้องเช่นนี้ หากไม่ใช่คนที่รับผิดชอบขนส่งเสบียงอาหาร ตอนนั้นเขาคงจะอยู่ภายใต้การดูแลของท่านซุนโหวผู้เฒ่า”
สืออีเหนียงตกใจ
คิดไม่ถึงว่าตอนที่สวีลิ่งอี๋โจมตีเเคว้นเหมียวเจียง ท่านซุนโหวผู้เฒ่าคือคนดูแลเสบียงอาหาร ไม่แปลกที่สกุลสองสกุลจะสนิทสนมกัน
นางยิ้มแล้วพูดว่า “ช่วงนั้นท่านแม่ออกไปนอกจวนบ่อยๆ ที่แท้ก็ไปสู่ขอภรรยาให้เจี่ยนเกอเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋เชื่อใจท่านแม่ของตัวเองเป็นอย่างมาก แล้วเรื่องก็มาถึงขั้นแลกหนังสือวันเดือนปีเกิดกันแล้ว สกุลจินคงจะตอบตกลงการแต่งงานครั้งนี้แล้ว
สำหรับเรื่องที่มีข้อตกลงแล้ว เขาจะไม่คิดมากอะไรอีก จึงถามถึงเรื่องของเจินเจี่ยเอ๋อร์ “…รายการสินเดิมส่งไปแล้วหรือ”
“ส่งไปแล้วเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้ม “คุณนายใหญ่สกุลหลินเห็นเช่นนี้ก็ตกใจ บอกว่าหนึ่งร้อยยี่สิบสี่ชิ้น ถึงตอนนั้นจะเก็บใส่หีบได้อย่างไรกัน!”
“เช่นนั้นก็เก็บของที่สำคัญก็พอ” สวีลิ่งอี๋พูดอย่างเรียบเฉย “หากไม่ได้จริงๆ ก็เปลี่ยนเป็นตั๋วเงิน ถึงตอนนั้นค่อยซื้อไร่ซื้อที่ดินเงียบๆ จะได้ไม่มีใครอิจฉาริษยา”
สืออีเหนียงยิ้ม “คุณนายใหญ่สกุลหลินก็แค่พูดตามมารยาทเท่านั้น แต่ท่านกลับคิดจริงจัง! นึกถึงตอนนั้นตอนที่ฮุ่ยเจี่ยเอ๋อร์แต่งงาน สินเดิมเยอะกว่าเจินเจี่ยเอ๋อร์ของเราเสียอีก”
สวีลิ่งอี๋แปลกใจ จากนั้นเขาก็หัวเราะ
สืออีเหนียงจึงพูดถึงเรื่องผู้ติดตามกับเขา “เสี่ยวหลีและเสี่ยวเชวี่ยคอยรับใช้นางมาตั้งแต่เด็ก แน่นอนว่าต้องติดตามไปด้วย ข้ายังส่งซิ่วหลานไปด้วย นางนับลูกคิดเก่ง ถึงตอนนั้นสามารถช่วยเจินเจี่ยเอ๋อร์คิดบัญชีได้…”
ขณะที่พวกเขากำลังพูดคุยกัน ก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ท่านโหว ฮูหยินเจ้าคะ คุณนายสามสกุลหวงจวนหย่งชังโหวมาเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงตกใจ
พึ่งจะหนึ่งชั่วยาม คุณนายสามสกุลหวงก็มาแล้ว! เร็วเสียจริง!
นางเชิญคุณนายสามสกุลหวงไปนั่งที่โถงบุปผา
“ข้ามาหาเจ้าก่อนแล้วค่อยไปหาไท่ฮูหยิน” คุณนายสามสกุลหวงยิ้มอย่างขมขื่น “ข้ากำลังรับมันเทศร้อนมาถือไว้ในมือ จะโยนทิ้งก็ทิ้งไม่ได้”
ครั้งก่อนเรื่องแต่งงานของสวีซื่อฉินคุณนายสามสกุลหวงยังหวาดกลัวไม่หาย
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “การแต่งงานครั้งนี้ไท่ฮูหยินเป็นคนตัดสินใจเจ้าค่ะ เชิญท่านมาเป็นแม่สื่อ ไท่ฮูหยินก็เป็นคนเลือกเอง ถึงแม้เราทำอะไรไม่รอบคอบแต่ไท่ฮูหยินไม่ใช่คนบุ่มบ่าม พี่หญิงไม่ต้องคิดมาก รอเจอกับคนสกุลจินแล้วค่อยว่ากันก็ไม่สาย!”
แต่คุณนายสามสกุลหวงกลับพูดว่า “ข้าไม่ได้กลัวคนสกุลจิน แต่ข้ากลัวฮูหยินสามของเจ้า เจ้าไม่รู้ นางพูดออกมาแล้วว่า ลูกสะใภ้ใหญ่มีสินเดิมสองหมื่นตำลึง ไม่ว่าเช่นไรลูกสะใภ้คนที่สองก็จะน้อยกว่าลูกสะใภ้ใหญ่ไม่ได้ ไม่เช่นนั้น ด้วยสถานะของเจี่ยนเกอ เหตุใดคนในเยี่ยนจิงถึงไม่มีใครยอมแต่งงานกับเขา ถึงแม้ว่าสกุลจินจะมีภูเขาเงินภูเขาทอง แต่ในตระกูลยังมีบุตรชายอีกสามคน พวกเขาไม่มีทางนำสินเดิมสองหมื่นตำลึงออกมาให้บุตรสาวอย่างแน่นอน!”
“ใครๆ ก็อยากให้ภูเขาลูกนั้นสูงกว่าภูเขาลูกนี้” สืออีเหนียงปลอบใจนาง “การเลือกภรรยาต้องเลือกความมีศีลธรรม จะเอาแต่มองที่สินเดิมไม่ได้ ไม่เช่นนั้นไท่ฮูหยินของเราจะเลือกการแต่งงานครั้งนี้ให้เจี่ยนเกอทำไมเล่า ไม่สู้แต่งงานกับตระกูลพ่อค้ารายใหญ่ในเจียงหนานไม่ดีกว่าหรือ ไม่ต้องพูดถึงสินเดิมสองหมื่นตำลึง แม้แต่สองแสนตำลึงก็ยังให้ได้!”
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่คุณนายสามสกุลหวงก็บ่นอยู่ตั้งนานกว่าจะสบายใจขึ้นมา จากนั้นก็ไปหาไท่ฮูหยินกับสืออีเหนียง
“เจ้ามาเร็วเสียจริง” ไท่ฮูหยินเห็นว่าคุณนายสามสกุลหวงรีบมาหาตัวเองเช่นนี้ นางก็ดีใจ
คุณนายสามสกุลหวงเป็นคนฉลาด นางยิ้มแล้วเดินไปนั่งข้างไท่ฮูหยิน “สองสกุลเราสนิทสนมกันขนาดนี้ ท่านเรียกข้าก็เหมือนเรียกลูกสะใภ้สี่ของท่านเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็ยิ้มหน้าบาน
ฮูหยินสามถือหนังสือวันเดือนปีเกิดเข้ามา
สืออีเหนียงประหลาดใจ
ฮูหยินสามไม่พอใจกับการแต่งงานครั้งนี้ ตนเลยคิดว่า ถึงแม้ว่าฮูหยินสามจะไม่กล้าขัดไท่ฮูหยิน แต่ก็คงจะไม่กระตือรือร้นขนาดนี้
แต่ไท่ฮูหยินกลับมีท่าทีนิ่งสงบ นางรับหนังสือวันเดือนปีเกิดมายื่นให้คุณนายสามสกุลหวง พูดด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นข้ารอฟังข่าวดีจากเจ้า!”