ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 559 ก้มหัว (กลาง)
ประโยคที่ว่า ‘เชิญแค่ฉินเกอสองสามีภรรยาและเจี่ยนเกอ’ คือประเด็นสำคัญใช่หรือไม่!
สืออีเหนียงยิ้มแล้วขานรับ จากนั้นก็บอกให้ป้าซ่งนำเทียบเชิญไปส่ง
ป้าซ่งกลับมารายงาน “ฮูหยินสามเค้นถามว่าใครเป็นคนบอกให้เชิญคุณนายน้อยใหญ่เจ้าค่ะ บ่าวจึงบอกว่า คุณชายและคุณหนูสองสามคนก็ไปด้วย แน่นอนว่าคุณชายน้อยใหญ่และคุณนายน้อยใหญ่ก็ต้องไปด้วยเจ้าค่ะ ฮูหยินสามยังอยากจะถามต่อ แต่คุณชายสามจะออกไปข้างนอก ฮูหยินสามจึงต้องไปรับใช้เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า นางถึงได้ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบเจ้าค่ะ”
ขณะที่นางกำลังพูด จู๋เซียงก็มาพอดี “ฝ่ายรายงานถามว่าเราจะพาผู้ติดตามไปวัดอวิ๋นจวีด้วยกี่คนเจ้าค่ะ บ่าวเขียนรายชื่อเอาไว้แล้ว นำมาให้ฮูหยินดูก่อนเจ้าค่ะ!”
ป้าซ่งเห็นว่าสืออีเหนียงมีธุระ นางจึงเดินออกไปเงียบๆ เงยหน้าขึ้นก็เห็นสาวใช้ตัวน้อยสองสามคนสุมหัวพูดอะไรกัน ทันทีที่เห็นป้าซ่ง พวกนางก็รีบตะโกนเรียก “ป้าซ่ง” แล้วแยกย้ายกันไป
“ทำอะไรกัน” นางอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว
สาวใช้ที่เฝ้ายามอยู่ที่ประตูยิ้มขึ้นแล้วพูดว่า “ได้ยินมาว่าฮูหยินจะไปวัด สาวใช้น้อยสองสามคนเลยอยากติดตามไปรับใช้เจ้าค่ะ!”
ป้าซ่งพยักหน้า เห็นจิ่นเกอเดินข้ามธรณีประตูเข้ามาแล้ววิ่งเหยาะๆ ไปเรือนหลัก ข้างหลังก็ตามมาด้วยบ่าวรับใช้
นางรีบเดินเข้าไปต้อนรับเขา
“คุณชายน้อยของบ่าวเจ้าคะ เดินช้าๆ หน่อยเจ้าค่ะ” ป้าซ่งอุ้มจิ่นเกอ “หากล้มไปจะทำเช่นไรเจ้าคะ”
จิ่นเกอยิ้มพลางดิ้นไปมาอยากจะลงบนพื้น
ป้าซ่งเดินตามเขาเข้าไปเรือนหลัก
จิ่นเกอพุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของสืออีเหนียง “ท่านแม่ ท่านแม่ เตะลูกหนังขอรับ”
ตอนนี้สวีซื่อเจี้ยกำลังเรียนอยู่
สืออีเหนียงรู้ว่าเขาอยากไปหาสวีซื่อเจี้ยจึงแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ นางเลิกคิดเรื่องในใจแล้วถามเขาด้วยความอดทน “พี่ชายของเจ้าเล่า หากเจ้าอยากเตะลูกหนัง ก็ไปเตะกับพี่ชายของเจ้าสิ”
หงเหวินที่อยู่ข้างๆ รีบอธิบาย “คุณชายน้อยห้า… “ แต่สืออีเหนียงกลับสะบัดมือ บอกให้นางอย่าพูด
จิ่นเกอใจร้อน “พี่ชาย เตะลูกหนัง”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วลูบหัวเขาเบาๆ “เจ้าไปชวนพี่ชายของเจ้าเตะลูกหนังสิ!”
จิ่นเกอหน้าแดง จากนั้นก็พูดว่า “พี่ชายไม่เตะลูกหนัง”
หกคำ!
สืออีเหนียงยิ้มหน้าบาน
นางอุ้มจิ่นเกอแน่น “พี่ชายไปเรียน ไม่เตะลูกหนังกับเจ้าใช่หรือไม่”
จิ่นเกอพยักหน้าไปมาราวกับไก่ที่กำลังจิกเม็ดข้าวสารก็ไม่ปาน
“เช่นนั้นก็รอให้พี่ชายของเจ้าเลิกเรียกแล้วค่อยมาเตะลูกหนังกับเจ้า!” สืออีเหนียงอุ้มเขาไปนั่งบนเตียงเตาข้างหน้าต่างในห้องปีกทางทิศตะวันออก “ท่านแม่เล่านิทานให้เจ้าฟังดีหรือไม่”
จิ่นเกอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็มุดตัวเข้าไปในอ้อมแขนของสืออีเหนียง
สืออีเหนียงปล่อยให้เขามุดเข้าไปในอ้อมแขนของตัวเอง แต่ในใจกลับคิดหาวิธีฝึกฝนบ่าวรับใช้ของจิ่นเกอ ไม่เช่นนั้น เขาทำอะไรเองไม่เป็นเช่นนี้ พูดอะไรนิดหน่อยทุกคนก็ต้องพยายามเดา ถือเป็นอุปสรรคต่อการสร้างนิสัยของเขา…
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด จู่ๆ นางก็นึกถึงหยวนเหนียงขึ้นมา
ตอนนั้นบ่าวรับใช้ของสวีซื่อจุนมีมากกว่าจิ่นเกอเสียอีก แล้วหยวนเหนียงก็ไม่สบาย ไม่มีแรง ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่สวีซื่อจุนก็ไม่ได้โตมาเป็นลูกผู้ลากมากดีที่เย่อหยิ่ง…บุตรชายของนาง นางก็คงจะคิดหนักเหมือนตนใช่หรือไม่!
คิดเช่นนี้ นางก็ตกอยู่ในภวังค์ครู่หนึ่ง
*****
เมื่อถึงวันที่สิบหกเดือนห้า ฟ้าพึ่งจะสว่าง ประตูใหญ่ของจวนสกุลสวีค่อยๆ เปิดออก มีรถม้าสิบกว่าคันที่อยู่ท่ามกลางผู้คุ้มกันที่สวมชุดผ้าไหมสีฟ้า ขี่ม้าสีแดงตัวใหญ่แล่นออกไป
ตระกูลที่อาศัยอยู่ในตรอกเหอฮวาหลี่ คือตระกูลที่ร่ำรวย ปกติเลยไม่ค่อยมีคนสัญจรไปมาในตรอก เมื่อรถม้าแล่นไปถึงถนนซีต้า ถึงได้ดึงดูดความสนใจของผู้คน
มีเสียงดังเอะอะดังเข้ามาในหูของสืออีเหนียง
จิ่นเกอนั่งพิงหน้าต่าง หันหน้าแนบผ้าม่านสีเขียวแล้วมองออกไปข้างนอก
“ท่านแม่ คนเยอะแยะ!”
เขาตื่นเต้นจนสายตาเป็นประกาย
สืออีเหนียงหัวเราะ จากนั้นก็พิงหน้าต่างกับบุตรชาย มองออกไปข้างนอกแล้วฟังเขาพูดภาษาเด็กน้อย
ออกมาจากตัวเมืองมา ผู้คนก็เริ่มบางตาเรื่อยๆ สถานะของพวกเขาก็เปลี่ยนไป คนบนถนนซีต้าส่วนใหญ่เป็นคนเยี่ยนจิง แต่งตัวหรูหรา เต็มไปด้วยความสวยงาม บ่าวรับใช้ที่ออกมาต้อนรับลูกค้าก็หน้าตาดี ตอนนี้ภาพที่พวกเขาเห็นก็คือคนที่เลือกไก่เลือกเป็ดไปขายในเมืองบ้าง คนที่แบกถุงผ้าเดินทางมาจากต่างแดนบ้าง และพ่อค้าที่ลากเกวียนที่เต็มไปด้วยสินค้าบ้าง จิ่นเกอเบิกตากว้าง
“ท่านแม่ ไก่ ไก่!” เขาชี้ไปที่ชายคนหนึ่งที่แต่งตัวเหมือนชาวนาข้างถนนแล้วตะโกน
สืออีเหนียงยิ้มแล้วหอมแก้มเขา “จิ่นเกอฉลาดมาก นั่นคือไก่!”
เขาเคยเห็นแค่ในภาพวาด
สืออีเหนียงยังพูดไม่ทันจบ จิ่นเกอก็กระโดดขึ้นมา “ท่านแม่ วัว วัว วัว!”
“ใช่แล้ว!” นางหัวเราะ “ตัวที่มีเขานั่นคือวัว”
จิ่นเกอมองดูทุกอย่างระหว่างทางอย่างสนอกสนใจ มาถึงประตูเขาของวัดอวิ๋นจวี ลงมาจากรถม้าแล้วเขาก็ยังคงตื่นเต้น
เขาวิ่งไปหาไท่ฮูหยินที่กำลังพูดกับผู้ดูแลวัด “ท่านย่า ท่านย่า ข้าเห็นไก่ ไก่ขาว วัว แล้วยังมีม้า…”
เขายังแยกแยะความแตกต่างระหว่างไก่ เป็ดและห่านไม่ออก จึงเรียกห่านว่าไก่ขาว
ไท่ฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ
เจ้าอาวาสวัดคือพระภิกษุที่อายุราวห้าสิบปี รูปร่างปานกลางเหมือนคนทั่วไปในวัยนี้ อ้วนท้วมเล็กน้อยแต่ไม่ได้อ้วนจนเกินไป สายตาเป็นประกาย ดูก็รู้ว่าเป็นคนมีความรู้และมีความสามารถ
เขารีบโค้งตัวลง มองจิ่นเกอด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร “นี่คือคุณชายน้อยหกใช่หรือไม่ ช่างเป็นคนมีวาสนาเสียจริง!”
“ท่านชมเกินไปแล้ว!” ไท่ฮูหยินถ่อมตน แต่รอยยิ้มบนใบหน้าที่เก็บไม่อยู่ของนางกลับเผยให้เห็นความคิดที่แท้จริงของนาง นางหันไปพูดกับจิ่นเกอ “เรียกท่านเจิ้งเหอเร็วเข้า”
จิ่นเกอตะโกนเรียก “ท่านเจิ้งเหอ” เสียงดัง
ทำเอาเจ้าอาวาสเจิ้งเหอชอบอกชอบใจ เอ่ยชื่นชมจิ่นเกอ “ท่าทางใจกว้าง นิสัยร่าเริง เป็นคนมีพรสวรรค์”
ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วจับมือจิ่นเกอเดินเข้าประตูไป พาลูกสะใภ้ หลานชายและหลานสาวไปสักการะพระโพธิสัตว์ในตำหนักต้าสยงเป่า จากนั้นก็ไปพักผ่อนที่เรือนปีกกับเจ้าอาวาสเจิ้งเหอ
จิ่นเกอยังเด็ก วิ่งตามไปรอบๆ เช่นนี้ เขาก็เหนื่อยจนผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของแม่นมกู้
สวีซื่อฉินพาสวีซื่อเจี่ยน สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ย ไปที่ถ้ำคัมภีร์กับเจ้าอาวาสเจิ้งเหอ
ฮูหยินห้าอยากไปปล่อยนกปล่อยปลา ฟังซื่อและเจินเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินเช่นนี้ก็สายตาเป็นประกาย
จิ่นเกอไม่ได้ออกมาข้างนอกบ่อยๆ สืออีเหนียงเลยอยากพาเขาไปเดินดูรอบๆ
“หรือว่า ข้าดูเซินเกอให้เจ้าก็ได้!” นางพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าพาเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปเถิด”
ไท่ฮูหยินที่เอนตัวอยู่บนเตียง ให้ฮูหยินสองนวดขาให้ได้ยินเช่นนี้ก็ยิ้มแล้วพูดกับฮูหยินสอง “เจ้าก็ไปด้วยเถิด ไม่ได้ออกมาบ่อยๆ ออกไปเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจเถิด!”
ฮูหยินสองยิ้มแล้วพูดว่า “น้องสะใภ้สี่ต้องดูแลเด็กๆ หากข้าไปแล้ว ใครจะรับใช้ท่านเล่าเจ้าคะ!”
“ฮูหยินสองพูดอะไรกันเจ้าคะ” ป้าตู้ยืนพูดอยู่ข้างๆ “ถึงแม้บ่าวจะแก่แล้ว แต่เรื่องการรับใช้ปรนนิบัติไท่ฮูหยิน ฮูหยินสองอาจจะไม่ละเอียดรอบคอบเท่าบ่าวก็ได้เจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินได้ฟังก็หัวเราะ จากนั้นก็เรียกฮูหยินห้า “เจ้าเชิญพี่สะใภ้สองไปด้วยเถิด”
ฮูหยินห้าจึงกอดแขนฮูหยินสอง “หากพี่สะใภ้สองไม่ไป พวกเราก็ไปไม่ได้นะเจ้าคะ!”
ฮูหยินสองจึงวางค้อนเหม่ยเหรินลง นางยิ้มแล้วเดินออกไปกับฮูหยินห้า ฟังซื่อ เจินเจี่ยเอ๋อร์และซินเจี่ยเอ๋อร์
ป้าตู้ทุบขาให้ไท่ฮูหยิน สืออีเหนียงพัดให้จิ่นเกอและเซินเกอที่นอนอยู่ข้างกันบนเตียงเตา
มีหลวงจีนน้อยวิ่งเข้ามา “ไท่ฮูหยิน ฮูหยินของใต้เท้าจิน รองผู้บัญชาการกองปัญจทิศรักษานครตะวันออกพาบุตรสาวมาแก้บนที่วัด ได้ยินว่าท่านอยู่ที่นี่จึงอยากมาก้มหัวให้ท่านขอรับ”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็อุทาน “อ้อ” แล้วพูดว่า “เชิญจินฮูหยินเข้ามาเถิด!” จากนั้นก็พูดกับสืออีเหนียง “ใต้เท้าจินคนนี้ บรรพบุรุษเคยเป็นหัวหน้าหน่วย รับตำแหน่งอยู่ที่ค่ายใหญ่ซีซาน ต่อมารบชนะที่เเคว้นเหมียวเจียงกับคุณชายสี่ จึงกลับมาก็เข้าไปรับตำแหน่งที่กองปัญจทิศรักษานคร ตอนนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นขุนนางระดับเจ็ด แต่เป็นคนดูแลความสงบของถนนตงต้า เขาเป็นคนซื่อสัตย์ สองสามปีมานี้ ตระกูลของเขายิ่งรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ”
ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ แต่ด้วยสถานะของไท่ฮูหยิน ใต้เท้าจินไม่ได้มีบุญคุณต่อสกุลสวี ไท่ฮูหยินรู้จักเขาดีเกินไปหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้น การที่ไท่ฮูหยินพาลูกสะใภ้และหลานๆ มาจุดธูปที่วัดวันนี้ สวีลิ่งอี๋กลัวว่าจะมีอะไรผิดพลาด เขาส่งคนมาบอกที่วัดตั้งแต่วันที่สิบ แม้แต่อาหารการกินก็ต้องให้บ่าวรับใช้ของสกุลสวีลองชิมดูก่อนแล้วถึงจะส่งไปที่โรงครัว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่จะมีคนนอกเข้ามาแก้บนในวัด แต่จินฮูหยินคนนี้กลับพาบุตรสาวมาแก้บน เรื่องนี้บังเอิญเกินไปกระมัง
เมื่อจินฮูหยินเข้ามา สืออีเหนียงก็มองคุณหนูสกุลจินตั้งแต่หัวจรดเท้า
คุณหนูสกุลจินอายุราวสิบสองสิบสามปี ผิวขาวราวกับหิมะ ใบหน้ากลมและแดงระเรื่อ เวลายิ้มดวงตาของนางกลายเป็นตาพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว ยามที่คนอื่นพูดนางก็เบิกตาโตฟังด้วยสีหน้าตั้งใจ น่ารักราวกับน้องสาวครอบครัวเดียวกัน พลอยทำให้คนที่เห็นรู้สึกชื่นชอบนาง
เมื่อไท่ฮูหยินและจินฮูหยินพูดคุยกัน จิ่นเกอและเซินเกอก็ตื่นแล้ว จิ่นเกอขยี้ตาแล้วตะโกนเรียก “ท่านแม่” แต่เซินเกอกลับพลิกตัวลุกขึ้น จากนั้นก็ร้องไห้
คุณหนูสกุลจินตื่นตระหนก มองดูเด็กสองคนนั้นอย่างทำอะไรไม่ถูก
เห็นได้ชัดว่านางไม่เคยเจอกับสถานการณ์เช่นนี้
จินฮูหยินรีบอธิบายให้ไท่ฮูหยินฟัง “นางเด็กที่สุดในจวนแล้วเจ้าค่ะ…”
ไท่ฮูหยินยิ้มอย่างเป็นมิตร “ไม่ใช่ตระกูลยากจนที่ต้องให้คนโตมาดูแลคนเล็ก”
จินไฮูหยินได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะพึมพำในใจ
หรือว่าไท่ฮูหยินถูกใจคุณหนูสกุลจินคนนี้?
จินฮูหยินและคุณหนูสกุลจินนั่งอยู่ครู่หนึ่งจากนั้นก็ลุกขึ้นขอตัวลา
แม่นมของเซินเกออุ้มเขาไปป้อนนม สืออีเหนียงเองก็ป้อนน้ำให้จิ่นเกอ
ไท่ฮูหยินถามสืออีเหนียง “เจ้าคิดว่าคุณหนูสกุลจินคนนี้เป็นเช่นไรบ้าง”
คุณหนูสกุลจินคนนี้แค่ดูก็รู้ว่าโตมาในครอบครัวที่มีความสุขและสมบูรณ์แบบ ไม่เช่นนั้น คงจะไม่มีรอยยิ้มที่ร่าเริงสดใสขนาดนี้
สืออีเหนียงคิดว่านางไม่เลวเลยทีเดียว
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็พยักหน้า จากนั้นก็ไม่พูดถึงเรื่องของคุณหนูสกุลจินอีก
ทานข้าวบิณฑบาตที่วัด ฮูหยินสองรับใช้ไท่ฮูหยินนอนกลางวันที่เรือนปีก สวื่อฉินและคนอื่นๆ ไปดูหอคอยสุสาน สืออีเหนียงพาจิ่นเกอไปเดินเล่นในวัด ฮูหยินห้าและคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็เดินเล่นอยู่ในวัดกับสืออีเหนียง
ใบหน้าของรูปปั้นเทพเจ้าเหล่านั้นดูโหดร้าย สืออีเหนียงกลัวจิ่นเกอจะตกใจ จึงพาเขาเดินเล่นนอกตำหนัก
นอกตำหนักมีทางเดินที่กว้างขวาง บนทางเดินแกะสลักเรื่องราวทางพุทธศาสนาต่างๆ นาๆ แล้วยังมีหินมงคลแกะสลักนกกระเรียนและเต่ายืนอยู่ข้างบันไดบนและล่าง จิ่นเกอและซินเจี่ยเอ๋อร์วิ่งไปรอบๆ จับนั่นจับนี่ มีความสุขเป็นอย่างมาก
กลับไปเล่าให้สวีลิ่งอี๋ฟังตั้งนาน จากนั้นก็หลับไป
สวีลิ่งอี๋ถึงได้มีโอกาสถามภรรยาที่เอาแต่มองดูบุตรชายด้วยรอยยิ้มว่า “มีเรื่องอันใดหรือ”