ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 558 ก้มหัว (ต้น)
วันต่อมา สืออีเหนียงนำของขวัญไปยังตรอกซื่อเซี่ยง
อู่เหนียงกำลังสั่งให้คนในจวนเก็บข้าวของใส่หีบ เมื่อเห็นนางเดินเข้ามา ก็บอกให้จั๋วเถาทำความสะอาดห้องปีกทางทิศตะวันออกแล้วไปนั่งคุยกับสืออีเหนียงที่นั่น
“…เดิมทีจะส่งคนไปบอกเจ้ายามบ่ายวันนี้ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมาหาข้าก่อน ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องเจ้าอยู่พอดี” จากนั้นก็เรียกสามีภรรยาที่มีท่าทีซื่อสัตย์เข้ามา “เฉียนเอ้อร์ไฉสองสามีภรรยา ญาติผู้พี่ของเฉียนหมิงหลังจากที่เราย้ายออกไปแล้ว พวกเขาจะเป็นคนดูแลจวนหลังนี้ มีเรื่องอันใด เราอยู่ไกลกัน ข้าจะให้สะใภ้เฉียนเอ้อร์ไฉไปรายงานเจ้า เจ้าก็มาดูพวกเขาบ้างก็ได้” นางพูดต่ออีกว่า “เดิมทีข้าคิดว่าจะขอร้องพี่ใหญ่ แต่ว่าพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ได้อยู่ที่นี่ หวังอี๋เหนียงคนนั้นข้าไม่วางใจ น้องหญิงสิบเอ็ดช่วยดูให้ข้าด้วยเถิด”
อู่เหนียงแค่กลัวว่าพวกเขาจะแอบขโมยทรัพย์สินของตัวเอง
“ข้าจะบอกผู้ดูแลที่จวนให้เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “ให้พวกเขามาดูบ่อยๆ”
อู่เหนียงพยักหน้า จากนั้นก็ลากนางไปห้องข้างใน ปรึกษากันว่าจะเอาของอะไรไปบ้าง เชิญสืออีเหนียงทานข้าวที่จวน จากนั้นสืออีเหนียงก็กลับตรอกเหอฮวาหลี่
แต่ไท่ฮูหยินกลับไม่อยู่ที่จวน
สืออีเหนียงแปลกใจ
ตอนที่ตนออกไปยามเช้ายังปกติอยู่เลย เหตุใดจู่ๆ ถึงออกไปข้างนอก
“ไท่ฮูหยินออกไปข้างนอก ไม่ได้บอกอะไรเอาไว้หรือ” สืออีเหนียงถามอวี้ป่าน
อวี้ป่านส่ายหน้าเบาๆ “ไท่ฮูหยินสวดคัมภีร์ในห้องพระตามปกติ ออกมาจู่ๆ ก็บอกว่าจะไปหาท่านซุนโหวผู้เฒ่าที่ตรอกหงเติง แล้วยังบอกให้บ่าวกับจื่อหงอยู่ที่จวน พาป้าตู้ตามไปรับใช้แค่คนเดียวเจ้าค่ะ”
หากไม่มีเรื่องอันใด จะไปหาบิดาของฮูหยินห้าทำไม
สืออีเหนียงกลับไปที่เรือนด้วยความสงสัย นางยังไม่ทันได้หย่อนกายนั่งลง ก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยินเจ้าคะ คุณนายน้อยใหญ่ที่ตรอกซานจิ่งมาเจ้าค่ะ!”
“เรื่องของน้องสาม โชคดีที่มีท่านอาสี่และท่านอาห้าคอยดูแล” ฟังซื่อนั่งบนเก้าอี้ไท่ซือแล้วพูดด้วยความเคารพ “ข้ามาขอบพระคุณท่านอาสะใภ้ตามที่พ่อสามีบอกเจ้าค่ะ” พูดจบก็บอกให้คนนำของขวัญเข้ามา จากนั้นก็หยิบชุดผ้าแพรออกมาสองผืน “นี่คือชุดของคุณชายน้อยหก งานปักไม่ค่อยดีเท่าไร ท่านอาสะใภ้สี่อย่าได้ถือสา”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วบอกให้จู๋เซียงรับมา จากนั้นก็ถามถึงสถานการณ์ที่ตรอกซานจิ่ง
“พ่อสามีและแม่สามีล้วนแต่ดีใจ” ฟังซื่อพูดด้วยรอยยิ้ม “เดิมที่แม่สามีจะมาขอบพระคุณท่านอาสะใภ้ด้วยตัวเอง แต่ว่าบรรดาท่านลุงรู้ข่าว จึงมาแสดงความยินดีที่จวน ส่วนพ่อสามีก็ไปดำเนินเรื่องที่กรมกลาโหมกับคุณชายห้า จึงส่งข้ามาขอบพระคุณท่านอาสะใภ้” นางพูด “เดิมทีคุณชายสามก็จะมาด้วย แต่แม่สามีบอกว่าตอนนี้เขาอายุสิบห้าปีแล้ว เอาแต่วิ่งเข้าลานข้างในเช่นนี้ กลัวว่าคนอื่นจะพูดว่าเขาทำอะไรบุ่มบ่าม จึงไม่ให้เขามาเจ้าค่ะ”
เรื่องเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แต่วันนี้สกุลกานกลับรู้แล้วอย่างนั้นหรือ
หากนี่ไม่ใช่ข้ออ้าง ก็แสดงว่าฮูหยินสามไปรายงานสกุลกานตั้งแต่เมื่อคืน
สืออีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็ถามฟังซื่อ “เจ้าไปที่เรือนของฮูหยินห้าแล้วหรือยัง”
ฟังซื่อมีท่าทีไม่สบายใจ นางอธิบาย “ตอนมาหาท่านอาสะใภ้สี่ มีคนบอกว่าท่านไปตรอกซื่อเซี่ยง ข้าจึงไปที่เรือนของท่านอาสะใภ้ห้าก่อนเจ้าค่ะ…”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า “ทางฝั่งท่านป้าสอง เจ้าก็ควรจะไปหานาง ข้าได้ยินมาว่านางคัดลอกตำราทำนายดวงชะตาจิงโจวมอบให้คณะดาราศาสตร์
ฟังซื่อได้ฟังแล้วก็ตกใจ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ “ข้าพึ่งกลับมาจากข้างนอก เจ้ามาทำหน้าที่ตามคำสั่งของแม่สามี ข้าไม่รั้งเจ้าไว้ดีกว่า วันหลังค่อยมานั่งเล่นที่เรือนเถิด!”
ฟังซื่อรีบลุกขึ้นขอตัวลา
สืออีเหนียงคิดว่าตัวเองพูดเป็นนัยเช่นนั้นแล้ว ฟังซื่อจะไปหาฮูหยินสอง แต่ฟังซื่อกลับไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร นางอดไม่ได้ที่จะแอบบ่นในใจ หรือว่าตัวเองพูดเป็นนัยเกินไป ฟังซื่อเลยฟังไม่เข้าใจ!
ผ่านไปสองสามวัน ไท่ฮูหยินวันนี้ไปที่จวนของหลินฮูหยินเวยเป่ยโหว พรุ่งนี้ไปที่จวนของหวงฮูหยินหย่งชังโหว มีวันหนึ่งยังไปที่จวนของถังฮูหยินจงซานโหว ทำเอาสืออีเหนียงสงสัยว่านางกำลังทำอะไร
สวีซื่ออวี้มาบอกลาสืออีเหนียงและสวีลิ่งอี๋
“ข้าวของที่อาจารย์บอก ข้าจัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ” เขายืนอกผายไหล่ผึ่งอยู่เบื้องหน้าสวีลิ่งอี๋ด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและสดใส “ไม่ได้ยินคำสั่งสอนของอาจารย์มาตั้งปีกว่า ข้าอยากกลับไปเล่ออานเร็วๆ ขอรับ”
ท่าทีที่กระตือรือร้นของสวีซื่ออวี้ทำให้สวีลิ่งอี๋พึงพอใจ “เช่นนั้นก็กลับไปเดือนเก้าเถิด ถึงตอนนั้นจะได้ส่งเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปซังโจว”
สวีซื่ออวี้โค้งคำนับแล้วขานรับ “ขอรับ”
เมื่อเขาออกเดินทาง สวีลิ่งอี๋ก็พาสวีซื่อจุน สวีซื่อเจี้ยและจิ่นเกอออกไปส่งสวีซื่ออวี้
สวีซื่อฉินและสวีซื่อเจี่ยนก็มาส่งเขาเหมือนกัน
“ถึงแล้วก็บอกให้คนเขียนจดหมายมาให้เราด้วย” สวีซื่อฉินบอกเขา สวีซื่อเจี่ยนกำลังจมอยู่ในความตื่นเต้นที่จะไปได้ไปเป็นองครักษ์ถือธงที่องครักษ์วังหลวง เขายืนอกผายไหล่ผึ่ง “ครั้งหน้าหากพี่สองกลับมา ข้าจะพาพี่สองไปเลี้ยงต้อนรับที่หอชุนซี”
สวีซื่ออวี้หัวเราะแล้วลูบหัวจิ่นเกอเบาๆ
จิ่นเกอไม่เข้าใจ เขายังไม่เข้าใจความรู้สึกเสียใจของการจากลา ทันทีที่สวีซื่ออวี้ออกไปเขาก็ลากสวีซื่อเจี้ยไปเตะลูกหนังทันที
สวีซื่อฉินและสวีซื่อเจี่ยนส่งสวีซื่ออวี้ออกไปจากประตูเมือง สวีซื่อจุนก็ยิ้มแล้วเชิญสวีซื่อเจี้ยและจิ่นเกอไปที่เรือนของตัวเอง “…เรือนของข้ากว้างขวาง อีกทั้งหวังซู่ บ่าวรับใช้ที่ท่านพ่อมอบให้ข้ายังเตะลูกหนังเก่งมาก”
สวีซื่อเจี้ยไม่ได้ไปเล่นที่เรือนของสวีซื่อจุนนานแล้ว แน่นอนว่าเขารีบตอบตกลง
พวกเขาพากันไปที่ลานของสวีซื่อจุน ก็เห็นผู้ดูแลจ้าวกำลังถือป้ายชื่อรีบเดินไปที่ห้องหนังสือของสวีลิ่งอี๋ เมื่อเห็นสวีซื่อจุนและคนอื่นๆ เขาก็รีบโค้งคำนับด้วยความเคารพ
สวีซื่อจุนยิ้มแล้วถามเขา “ใครมาหรือ”
ผู้ดูแลจ้าวตอบ “นายท่านใหญ่ฟังที่หูโจวขอรับ!”
“นายท่านใหญ่ฟังที่หูโจวคือใครกัน” สวีซื่อเจี้ยรีบหันไปมองสวีซื่อจุน
“สกุลเดิมของพี่สะใภ้ใหญ่!” สวีซื่อจุนพูด จากนั้นก็ถามผู้ดูแลจ้าว “แต่ไม่รู้ว่านายท่านใหญ่สกุลฟังคนนี้เป็นอะไรกับพี่สะใภ้ใหญ่?”
“เป็นท่านลุงใหญ่ของคุณนายน้อยใหญ่ขอรับ” ผู้ดูแลจ้าวตอบด้วยรอยยิ้ม “เคยรับตำแหน่งตุลาการ ต่อมาลาออกแล้วกลับไปที่หูโจว ครั้งนี้พาฟังทั่นฮวามาเยี่ยมท่านโหวขอรับ”
ในขณะที่เขากำลังพูด จิ่นเกอก็เริ่มเบื่อหน่าย ร้องโวยวาย “เตะลูกหนัง เตะลูกหนัง!”
สวีซื่อจุนรีบขอตัวลาผู้ดูแลจ้าว จากนั้นก็พาน้องชายสองคนไปที่ลานของตัวเอง
หลังจากกลับมา สวีซื่อเจี้ยก็มาเล่าให้สืออีเหนียงฟัง
สืออีเหนียงแอบนับวัน จากเมืองหูโจวมาถึงเยี่ยนจิงอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลายี่สิบกว่าวัน ดูเหมือนว่าสกุลฟังเตรียมการไว้ตั้งนานแล้วแต่การที่นายท่านใหญ่ของสกุลฟังมาที่นี่ด้วยตัวเองนั้นทำให้สืออีเหนียงตกใจ
เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น สวีลิ่งอี๋ก็ส่งคนมารายงานสืออีเหนียง บอกว่าจะจัดโต๊ะต้อนรับนายท่านใหญ่ฟัง ไม่กลับมาทานข้าวเย็นกับนางแล้ว
สืออีเหนียงทานข้าวเย็นเสร็จ ก็พาจิ่นเกอไปคารวะไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินใจลอย ได้ยินเรื่องนี้นางก็ตอบเพียง “อืม” อย่างไม่สนใจ หอมแก้มจิ่นเกอแล้วถามถึงเรื่องการเรียนของสวีซื่อจุน จากนั้นก็ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ
ตอนที่สืออีเหนียงพาลูกๆ ออกมา ก็เจอเข้ากับป้าตู้พอดี
นางเดินออกมาจากห้องปีกทางทิศตะวันออก ในมือถือปฏิทินโหราศาสตร์
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “จะทำอะไรหรือ”
ป้าตู้ยิ้มแล้วพูดว่า “ไท่ฮูหยินบอกว่าอยากดูว่าช่วงนี้มีวันฤกษ์งามยามดีหรือไม่เจ้าค่ะ”
ออกเดินทางมีฤกษ์งามยามดีของการออกเดินทาง แต่งงานก็มีฤกษ์งามยามดีของการแต่งงาน ไท่ฮูหยินจะดูฤกษ์งามยามดีอะไรกันแน่
สืออีเหนียงกลับมาที่เรือน สวีซื่อเจี้ยฝึกเขียนหนังสืออยู่บนโต๊ะเตียงเตา นางนั่งเล่านิทานให้จิ่นเกอฟังข้างๆ หลังจากส่งสวีซื่อเจี้ยออกไปแล้วก็กล่อมจิ่นเกอนอนหลับ จากนั้นสวีลิ่งอี๋ก็กลับมา
“นายท่านใหญ่ฟังคนนี้ดื่มเก่งเสียจริง!” เขาหน้าแดง
สืออีเหนียงรีบไปตักน้ำเย็นมาให้เขาล้างหน้า “คุยอะไรกันหรือเจ้าคะ”
“ขอขมาตามพิธี” สวีลิ่งอี๋เช็ดหน้า รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย “แล้วยังนำของขวัญมามอบให้พวกเจ้าอีกด้วย”
“พรุ่งนี้เช้าไปรายงานท่านแม่ดีกว่า!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า “ทางฝั่งของพี่สะใภ้สาม เกรงว่าคงต้องให้ท่านแม่ออกหน้าพูดให้!”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วก็นำของขวัญจากสกุลฟังให้สืออีเหนียง มันคือปิ่นปักผมหยกเหอเถียน ปิ่นปักผมอันนั้นไม่เพียงแต่ดูเลอค่า ดอกไม้ยังงดงามราวกับของจริง แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดา
“เป็นของมีราคาขนาดนี้เลยหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงตกใจ
“แค่นี้เอง” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วขึ้นไปบนเตียง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสกุลฟังมอบอะไรให้พี่สะใภ้สอง”
ฟังจากน้ำเสียงแล้วต้องไม่ใช่ของธรรมดาแน่นอน
สืออีเหนียงเอ่ยถามอย่างสงสัย “อะไรหรือเจ้าคะ”
“เป็นตำราโหราศาสตร์ยุคไคหยวน” สวีลิ่งอี๋พูด “ตอนแรกข้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่อ่านแล้วถึงได้รู้ว่า มันคือตำราโหราศาสตร์ เล่มที่สกุลฟังมอบให้พี่สะใภ้สองคือหนึ่งในสามของทั้งหมด แต่ได้ยินอาจารย์อวี๋บอกว่าตำราสามเล่มนี้ล้ำค่ามีราคาเป็นอย่างมาก” จากนั้นเขาก็พูดเสียงเบา “เจ้าคิดว่า เหตุใดสกุลฟังถึงมอบตำราเล่มนั้นให้พี่สะใภ้สอง มันมีค่ามากเกินไป!”
ฟังซื่อไม่ไปหาฮูหยินสองตามที่นางแนะนำเพราะว่าไม่มีสิ่งของขอบพระคุณที่เหมาะสม? หรือนางคิดว่าขอบพระคุณฮูหยินสองเช่นนี้ดีกว่า?
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ชาดแดงต้องมอบให้สาวงาม ดาบต้องมอบให้วีรบุรุษ บางทีสกุลฟังอาจจะคิดว่าของชิ้นนั้นต้องมอบให้คนอย่างพี่สะใภ้สองถึงจะมีประโยชน์กระมัง!”
“ก็จริง!” สวีลิ่งอี๋ยังสับสนแต่กลับหาสาเหตุไม่เจอ เขายิ้มแล้วพูดคุยกับสืออีเหนียง “หากมอบให้ข้า ข้าคงไม่รู้ว่ามันคือตำราอะไร คงแค่รับมาแล้วเก็บเอาไว้”
สืออีเหนียงพยักหน้า “บางทีสกุลฟังคงอยากแสดงความจริงใจของตัวเองด้วยหนังสือเล่มนั้น”
“แต่ข้ากลับไม่เห็นความจริงใจของพวกเขา” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “สกุลฟังมอบหยกดำแกะสลักชายเฒ่าอายุยืนให้ไท่ฮูหยิน มอบกระบี่หลงเฉวียนให้ข้า มอบพิณให้น้องห้า มอบป้ายหยกหยางจืออวี้ให้น้องสะใภ้ห้า…เราไม่รู้จักคนของสกุลฟัง แต่คนสกุลฟังกับรู้จักพวกเราเป็นอย่างดี เราเอาแต่เป็นฝ่ายรับ มันคือเรื่องที่ข้าคิดไว้อยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะว่าสกุลฟังไม่อยากหย่า พวกเขาเอะอะโวยวายขึ้นมาจะเป็นเช่นไรก็ยังไม่รู้”
สกุลฟังเตรียมพร้อมทุกอย่างตั้งนานแล้ว
สืออีเหนียงไม่อยากพูดอะไรไปมากไปกว่านี้ กลัวว่าจะทำให้สวีลิ่งอี๋ไม่ชอบสกุลฟัง ทำให้เรื่องราวมันแย่ไปกว่านี้
“พรุ่งนี้ให้ข้าไปบอกท่านแม่หรือท่านโหวจะไปบอกท่านแม่เองเจ้าคะ” นางเปลี่ยนเรื่อง
“เจ้าไปบอกท่านแม่เถิด” สวีลิ่งอี๋พูด “ท่านแม่เป็นคนให้เจ้าจัดการเรื่องนี้!”
“ได้เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “พรุ่งนี้ทานข้าวเช้าเสร็จ ข้าจะไปบอกท่านแม่!”
ไท่ฮูหยินมีท่าทีเหม่อลอย ได้ยินว่านายท่านใหญ่สกุลฟังพาฟังจี้มาขอโทษสวีลิ่งอี๋ นางก็แค่พยักหน้า เมื่อสืออีเหนียงหยิบของขวัญที่สกุลฟังมอบให้ออกมา ไท่ฮูหยินมองดูหยกดำแกะสลักชายเฒ่าอายุยืนที่นอนอยู่ในกล่องกำมะหยี่สีแดงขนาดใหญ่ บอกให้อวี้ป่านเก็บมันไว้ จากนั้นก็ไม่รอให้สืออีเหนียงพูดอะไรแล้วพูดว่า “ทางฝั่งลูกสะใภ้สาม เจ้าไม่ต้องสนใจ ข้ามีแผนของตัวเอง”
สืออีเหนียงนึกถึงพฤติกรรมผิดปกติของไท่ฮูหยินในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา นางตอบกลับด้วยความเคารพ
ไท่ฮูหยินถามถึงเรื่องที่จะไปวัดอวิ๋นจวี “…เตรียมการไปถึงไหนแล้ว ทางฝั่งตรอกซานจิ่ง เชิญแค่ฉินเกอสองสามีภรรยาและเจี่ยนเกอมาก็พอแล้ว!”
วันต่อมา สืออีเหนียงนำของขวัญไปยังตรอกซื่อเซี่ยง
อู่เหนียงกำลังสั่งให้คนในจวนเก็บข้าวของใส่หีบ เมื่อเห็นนางเดินเข้ามา ก็บอกให้จั๋วเถาทำความสะอาดห้องปีกทางทิศตะวันออกแล้วไปนั่งคุยกับสืออีเหนียงที่นั่น
“…เดิมทีจะส่งคนไปบอกเจ้ายามบ่ายวันนี้ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะมาหาข้าก่อน ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องเจ้าอยู่พอดี” จากนั้นก็เรียกสามีภรรยาที่มีท่าทีซื่อสัตย์เข้ามา “เฉียนเอ้อร์ไฉสองสามีภรรยา ญาติผู้พี่ของเฉียนหมิงหลังจากที่เราย้ายออกไปแล้ว พวกเขาจะเป็นคนดูแลจวนหลังนี้ มีเรื่องอันใด เราอยู่ไกลกัน ข้าจะให้สะใภ้เฉียนเอ้อร์ไฉไปรายงานเจ้า เจ้าก็มาดูพวกเขาบ้างก็ได้” นางพูดต่ออีกว่า “เดิมทีข้าคิดว่าจะขอร้องพี่ใหญ่ แต่ว่าพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ได้อยู่ที่นี่ หวังอี๋เหนียงคนนั้นข้าไม่วางใจ น้องหญิงสิบเอ็ดช่วยดูให้ข้าด้วยเถิด”
อู่เหนียงแค่กลัวว่าพวกเขาจะแอบขโมยทรัพย์สินของตัวเอง
“ข้าจะบอกผู้ดูแลที่จวนให้เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “ให้พวกเขามาดูบ่อยๆ”
อู่เหนียงพยักหน้า จากนั้นก็ลากนางไปห้องข้างใน ปรึกษากันว่าจะเอาของอะไรไปบ้าง เชิญสืออีเหนียงทานข้าวที่จวน จากนั้นสืออีเหนียงก็กลับตรอกเหอฮวาหลี่
แต่ไท่ฮูหยินกลับไม่อยู่ที่จวน
สืออีเหนียงแปลกใจ
ตอนที่ตนออกไปยามเช้ายังปกติอยู่เลย เหตุใดจู่ๆ ถึงออกไปข้างนอก
“ไท่ฮูหยินออกไปข้างนอก ไม่ได้บอกอะไรเอาไว้หรือ” สืออีเหนียงถามอวี้ป่าน
อวี้ป่านส่ายหน้าเบาๆ “ไท่ฮูหยินสวดคัมภีร์ในห้องพระตามปกติ ออกมาจู่ๆ ก็บอกว่าจะไปหาท่านซุนโหวผู้เฒ่าที่ตรอกหงเติง แล้วยังบอกให้บ่าวกับจื่อหงอยู่ที่จวน พาป้าตู้ตามไปรับใช้แค่คนเดียวเจ้าค่ะ”
หากไม่มีเรื่องอันใด จะไปหาบิดาของฮูหยินห้าทำไม
สืออีเหนียงกลับไปที่เรือนด้วยความสงสัย นางยังไม่ทันได้หย่อนกายนั่งลง ก็มีสาวใช้เข้ามารายงาน “ฮูหยินเจ้าคะ คุณนายน้อยใหญ่ที่ตรอกซานจิ่งมาเจ้าค่ะ!”
“เรื่องของน้องสาม โชคดีที่มีท่านอาสี่และท่านอาห้าคอยดูแล” ฟังซื่อนั่งบนเก้าอี้ไท่ซือแล้วพูดด้วยความเคารพ “ข้ามาขอบพระคุณท่านอาสะใภ้ตามที่พ่อสามีบอกเจ้าค่ะ” พูดจบก็บอกให้คนนำของขวัญเข้ามา จากนั้นก็หยิบชุดผ้าแพรออกมาสองผืน “นี่คือชุดของคุณชายน้อยหก งานปักไม่ค่อยดีเท่าไร ท่านอาสะใภ้สี่อย่าได้ถือสา”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วบอกให้จู๋เซียงรับมา จากนั้นก็ถามถึงสถานการณ์ที่ตรอกซานจิ่ง
“พ่อสามีและแม่สามีล้วนแต่ดีใจ” ฟังซื่อพูดด้วยรอยยิ้ม “เดิมที่แม่สามีจะมาขอบพระคุณท่านอาสะใภ้ด้วยตัวเอง แต่ว่าบรรดาท่านลุงรู้ข่าว จึงมาแสดงความยินดีที่จวน ส่วนพ่อสามีก็ไปดำเนินเรื่องที่กรมกลาโหมกับคุณชายห้า จึงส่งข้ามาขอบพระคุณท่านอาสะใภ้” นางพูด “เดิมทีคุณชายสามก็จะมาด้วย แต่แม่สามีบอกว่าตอนนี้เขาอายุสิบห้าปีแล้ว เอาแต่วิ่งเข้าลานข้างในเช่นนี้ กลัวว่าคนอื่นจะพูดว่าเขาทำอะไรบุ่มบ่าม จึงไม่ให้เขามาเจ้าค่ะ”
เรื่องเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน แต่วันนี้สกุลกานกลับรู้แล้วอย่างนั้นหรือ
หากนี่ไม่ใช่ข้ออ้าง ก็แสดงว่าฮูหยินสามไปรายงานสกุลกานตั้งแต่เมื่อคืน
สืออีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็ถามฟังซื่อ “เจ้าไปที่เรือนของฮูหยินห้าแล้วหรือยัง”
ฟังซื่อมีท่าทีไม่สบายใจ นางอธิบาย “ตอนมาหาท่านอาสะใภ้สี่ มีคนบอกว่าท่านไปตรอกซื่อเซี่ยง ข้าจึงไปที่เรือนของท่านอาสะใภ้ห้าก่อนเจ้าค่ะ…”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า “ทางฝั่งท่านป้าสอง เจ้าก็ควรจะไปหานาง ข้าได้ยินมาว่านางคัดลอกตำราทำนายดวงชะตาจิงโจวมอบให้คณะดาราศาสตร์
ฟังซื่อได้ฟังแล้วก็ตกใจ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ “ข้าพึ่งกลับมาจากข้างนอก เจ้ามาทำหน้าที่ตามคำสั่งของแม่สามี ข้าไม่รั้งเจ้าไว้ดีกว่า วันหลังค่อยมานั่งเล่นที่เรือนเถิด!”
ฟังซื่อรีบลุกขึ้นขอตัวลา
สืออีเหนียงคิดว่าตัวเองพูดเป็นนัยเช่นนั้นแล้ว ฟังซื่อจะไปหาฮูหยินสอง แต่ฟังซื่อกลับไม่มีการเคลื่อนไหวอะไร นางอดไม่ได้ที่จะแอบบ่นในใจ หรือว่าตัวเองพูดเป็นนัยเกินไป ฟังซื่อเลยฟังไม่เข้าใจ!
ผ่านไปสองสามวัน ไท่ฮูหยินวันนี้ไปที่จวนของหลินฮูหยินเวยเป่ยโหว พรุ่งนี้ไปที่จวนของหวงฮูหยินหย่งชังโหว มีวันหนึ่งยังไปที่จวนของถังฮูหยินจงซานโหว ทำเอาสืออีเหนียงสงสัยว่านางกำลังทำอะไร
สวีซื่ออวี้มาบอกลาสืออีเหนียงและสวีลิ่งอี๋
“ข้าวของที่อาจารย์บอก ข้าจัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ” เขายืนอกผายไหล่ผึ่งอยู่เบื้องหน้าสวีลิ่งอี๋ด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและสดใส “ไม่ได้ยินคำสั่งสอนของอาจารย์มาตั้งปีกว่า ข้าอยากกลับไปเล่ออานเร็วๆ ขอรับ”
ท่าทีที่กระตือรือร้นของสวีซื่ออวี้ทำให้สวีลิ่งอี๋พึงพอใจ “เช่นนั้นก็กลับไปเดือนเก้าเถิด ถึงตอนนั้นจะได้ส่งเจินเจี่ยเอ๋อร์ไปซังโจว”
สวีซื่ออวี้โค้งคำนับแล้วขานรับ “ขอรับ”
เมื่อเขาออกเดินทาง สวีลิ่งอี๋ก็พาสวีซื่อจุน สวีซื่อเจี้ยและจิ่นเกอออกไปส่งสวีซื่ออวี้
สวีซื่อฉินและสวีซื่อเจี่ยนก็มาส่งเขาเหมือนกัน
“ถึงแล้วก็บอกให้คนเขียนจดหมายมาให้เราด้วย” สวีซื่อฉินบอกเขา สวีซื่อเจี่ยนกำลังจมอยู่ในความตื่นเต้นที่จะไปได้ไปเป็นองครักษ์ถือธงที่องครักษ์วังหลวง เขายืนอกผายไหล่ผึ่ง “ครั้งหน้าหากพี่สองกลับมา ข้าจะพาพี่สองไปเลี้ยงต้อนรับที่หอชุนซี”
สวีซื่ออวี้หัวเราะแล้วลูบหัวจิ่นเกอเบาๆ
จิ่นเกอไม่เข้าใจ เขายังไม่เข้าใจความรู้สึกเสียใจของการจากลา ทันทีที่สวีซื่ออวี้ออกไปเขาก็ลากสวีซื่อเจี้ยไปเตะลูกหนังทันที
สวีซื่อฉินและสวีซื่อเจี่ยนส่งสวีซื่ออวี้ออกไปจากประตูเมือง สวีซื่อจุนก็ยิ้มแล้วเชิญสวีซื่อเจี้ยและจิ่นเกอไปที่เรือนของตัวเอง “…เรือนของข้ากว้างขวาง อีกทั้งหวังซู่ บ่าวรับใช้ที่ท่านพ่อมอบให้ข้ายังเตะลูกหนังเก่งมาก”
สวีซื่อเจี้ยไม่ได้ไปเล่นที่เรือนของสวีซื่อจุนนานแล้ว แน่นอนว่าเขารีบตอบตกลง
พวกเขาพากันไปที่ลานของสวีซื่อจุน ก็เห็นผู้ดูแลจ้าวกำลังถือป้ายชื่อรีบเดินไปที่ห้องหนังสือของสวีลิ่งอี๋ เมื่อเห็นสวีซื่อจุนและคนอื่นๆ เขาก็รีบโค้งคำนับด้วยความเคารพ
สวีซื่อจุนยิ้มแล้วถามเขา “ใครมาหรือ”
ผู้ดูแลจ้าวตอบ “นายท่านใหญ่ฟังที่หูโจวขอรับ!”
“นายท่านใหญ่ฟังที่หูโจวคือใครกัน” สวีซื่อเจี้ยรีบหันไปมองสวีซื่อจุน
“สกุลเดิมของพี่สะใภ้ใหญ่!” สวีซื่อจุนพูด จากนั้นก็ถามผู้ดูแลจ้าว “แต่ไม่รู้ว่านายท่านใหญ่สกุลฟังคนนี้เป็นอะไรกับพี่สะใภ้ใหญ่?”
“เป็นท่านลุงใหญ่ของคุณนายน้อยใหญ่ขอรับ” ผู้ดูแลจ้าวตอบด้วยรอยยิ้ม “เคยรับตำแหน่งตุลาการ ต่อมาลาออกแล้วกลับไปที่หูโจว ครั้งนี้พาฟังทั่นฮวามาเยี่ยมท่านโหวขอรับ”
ในขณะที่เขากำลังพูด จิ่นเกอก็เริ่มเบื่อหน่าย ร้องโวยวาย “เตะลูกหนัง เตะลูกหนัง!”
สวีซื่อจุนรีบขอตัวลาผู้ดูแลจ้าว จากนั้นก็พาน้องชายสองคนไปที่ลานของตัวเอง
หลังจากกลับมา สวีซื่อเจี้ยก็มาเล่าให้สืออีเหนียงฟัง
สืออีเหนียงแอบนับวัน จากเมืองหูโจวมาถึงเยี่ยนจิงอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลายี่สิบกว่าวัน ดูเหมือนว่าสกุลฟังเตรียมการไว้ตั้งนานแล้วแต่การที่นายท่านใหญ่ของสกุลฟังมาที่นี่ด้วยตัวเองนั้นทำให้สืออีเหนียงตกใจ
เมื่อถึงเวลาอาหารเย็น สวีลิ่งอี๋ก็ส่งคนมารายงานสืออีเหนียง บอกว่าจะจัดโต๊ะต้อนรับนายท่านใหญ่ฟัง ไม่กลับมาทานข้าวเย็นกับนางแล้ว
สืออีเหนียงทานข้าวเย็นเสร็จ ก็พาจิ่นเกอไปคารวะไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินใจลอย ได้ยินเรื่องนี้นางก็ตอบเพียง “อืม” อย่างไม่สนใจ หอมแก้มจิ่นเกอแล้วถามถึงเรื่องการเรียนของสวีซื่อจุน จากนั้นก็ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ
ตอนที่สืออีเหนียงพาลูกๆ ออกมา ก็เจอเข้ากับป้าตู้พอดี
นางเดินออกมาจากห้องปีกทางทิศตะวันออก ในมือถือปฏิทินโหราศาสตร์
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “จะทำอะไรหรือ”
ป้าตู้ยิ้มแล้วพูดว่า “ไท่ฮูหยินบอกว่าอยากดูว่าช่วงนี้มีวันฤกษ์งามยามดีหรือไม่เจ้าค่ะ”
ออกเดินทางมีฤกษ์งามยามดีของการออกเดินทาง แต่งงานก็มีฤกษ์งามยามดีของการแต่งงาน ไท่ฮูหยินจะดูฤกษ์งามยามดีอะไรกันแน่
สืออีเหนียงกลับมาที่เรือน สวีซื่อเจี้ยฝึกเขียนหนังสืออยู่บนโต๊ะเตียงเตา นางนั่งเล่านิทานให้จิ่นเกอฟังข้างๆ หลังจากส่งสวีซื่อเจี้ยออกไปแล้วก็กล่อมจิ่นเกอนอนหลับ จากนั้นสวีลิ่งอี๋ก็กลับมา
“นายท่านใหญ่ฟังคนนี้ดื่มเก่งเสียจริง!” เขาหน้าแดง
สืออีเหนียงรีบไปตักน้ำเย็นมาให้เขาล้างหน้า “คุยอะไรกันหรือเจ้าคะ”
“ขอขมาตามพิธี” สวีลิ่งอี๋เช็ดหน้า รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย “แล้วยังนำของขวัญมามอบให้พวกเจ้าอีกด้วย”
“พรุ่งนี้เช้าไปรายงานท่านแม่ดีกว่า!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วช่วยเขาเปลี่ยนเสื้อผ้า “ทางฝั่งของพี่สะใภ้สาม เกรงว่าคงต้องให้ท่านแม่ออกหน้าพูดให้!”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า ล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วก็นำของขวัญจากสกุลฟังให้สืออีเหนียง มันคือปิ่นปักผมหยกเหอเถียน ปิ่นปักผมอันนั้นไม่เพียงแต่ดูเลอค่า ดอกไม้ยังงดงามราวกับของจริง แค่ดูก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดา
“เป็นของมีราคาขนาดนี้เลยหรือเจ้าคะ” สืออีเหนียงตกใจ
“แค่นี้เอง” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วขึ้นไปบนเตียง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสกุลฟังมอบอะไรให้พี่สะใภ้สอง”
ฟังจากน้ำเสียงแล้วต้องไม่ใช่ของธรรมดาแน่นอน
สืออีเหนียงเอ่ยถามอย่างสงสัย “อะไรหรือเจ้าคะ”
“เป็นตำราโหราศาสตร์ยุคไคหยวน” สวีลิ่งอี๋พูด “ตอนแรกข้าไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่อ่านแล้วถึงได้รู้ว่า มันคือตำราโหราศาสตร์ เล่มที่สกุลฟังมอบให้พี่สะใภ้สองคือหนึ่งในสามของทั้งหมด แต่ได้ยินอาจารย์อวี๋บอกว่าตำราสามเล่มนี้ล้ำค่ามีราคาเป็นอย่างมาก” จากนั้นเขาก็พูดเสียงเบา “เจ้าคิดว่า เหตุใดสกุลฟังถึงมอบตำราเล่มนั้นให้พี่สะใภ้สอง มันมีค่ามากเกินไป!”
ฟังซื่อไม่ไปหาฮูหยินสองตามที่นางแนะนำเพราะว่าไม่มีสิ่งของขอบพระคุณที่เหมาะสม? หรือนางคิดว่าขอบพระคุณฮูหยินสองเช่นนี้ดีกว่า?
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ชาดแดงต้องมอบให้สาวงาม ดาบต้องมอบให้วีรบุรุษ บางทีสกุลฟังอาจจะคิดว่าของชิ้นนั้นต้องมอบให้คนอย่างพี่สะใภ้สองถึงจะมีประโยชน์กระมัง!”
“ก็จริง!” สวีลิ่งอี๋ยังสับสนแต่กลับหาสาเหตุไม่เจอ เขายิ้มแล้วพูดคุยกับสืออีเหนียง “หากมอบให้ข้า ข้าคงไม่รู้ว่ามันคือตำราอะไร คงแค่รับมาแล้วเก็บเอาไว้”
สืออีเหนียงพยักหน้า “บางทีสกุลฟังคงอยากแสดงความจริงใจของตัวเองด้วยหนังสือเล่มนั้น”
“แต่ข้ากลับไม่เห็นความจริงใจของพวกเขา” สวีลิ่งอี๋ยิ้ม “สกุลฟังมอบหยกดำแกะสลักชายเฒ่าอายุยืนให้ไท่ฮูหยิน มอบกระบี่หลงเฉวียนให้ข้า มอบพิณให้น้องห้า มอบป้ายหยกหยางจืออวี้ให้น้องสะใภ้ห้า…เราไม่รู้จักคนของสกุลฟัง แต่คนสกุลฟังกับรู้จักพวกเราเป็นอย่างดี เราเอาแต่เป็นฝ่ายรับ มันคือเรื่องที่ข้าคิดไว้อยู่แล้ว หากไม่ใช่เพราะว่าสกุลฟังไม่อยากหย่า พวกเขาเอะอะโวยวายขึ้นมาจะเป็นเช่นไรก็ยังไม่รู้”
สกุลฟังเตรียมพร้อมทุกอย่างตั้งนานแล้ว
สืออีเหนียงไม่อยากพูดอะไรไปมากไปกว่านี้ กลัวว่าจะทำให้สวีลิ่งอี๋ไม่ชอบสกุลฟัง ทำให้เรื่องราวมันแย่ไปกว่านี้
“พรุ่งนี้ให้ข้าไปบอกท่านแม่หรือท่านโหวจะไปบอกท่านแม่เองเจ้าคะ” นางเปลี่ยนเรื่อง
“เจ้าไปบอกท่านแม่เถิด” สวีลิ่งอี๋พูด “ท่านแม่เป็นคนให้เจ้าจัดการเรื่องนี้!”
“ได้เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยิ้ม “พรุ่งนี้ทานข้าวเช้าเสร็จ ข้าจะไปบอกท่านแม่!”
ไท่ฮูหยินมีท่าทีเหม่อลอย ได้ยินว่านายท่านใหญ่สกุลฟังพาฟังจี้มาขอโทษสวีลิ่งอี๋ นางก็แค่พยักหน้า เมื่อสืออีเหนียงหยิบของขวัญที่สกุลฟังมอบให้ออกมา ไท่ฮูหยินมองดูหยกดำแกะสลักชายเฒ่าอายุยืนที่นอนอยู่ในกล่องกำมะหยี่สีแดงขนาดใหญ่ บอกให้อวี้ป่านเก็บมันไว้ จากนั้นก็ไม่รอให้สืออีเหนียงพูดอะไรแล้วพูดว่า “ทางฝั่งลูกสะใภ้สาม เจ้าไม่ต้องสนใจ ข้ามีแผนของตัวเอง”
สืออีเหนียงนึกถึงพฤติกรรมผิดปกติของไท่ฮูหยินในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา นางตอบกลับด้วยความเคารพ
ไท่ฮูหยินถามถึงเรื่องที่จะไปวัดอวิ๋นจวี “…เตรียมการไปถึงไหนแล้ว ทางฝั่งตรอกซานจิ่ง เชิญแค่ฉินเกอสองสามีภรรยาและเจี่ยนเกอมาก็พอแล้ว!”