ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 555 ผู้ชนะ (กลาง)
กว่าจะกลับมาจากวัดเย่าหวังที่คึกคักก็พลบค่ำแล้ว
สืออีเหนียงอดถอนหายใจยาวไม่ได้ ฮูหยินห้าก็เหนื่อยล้าเล็กน้อย มีเพียงไท่ฮูหยินกับฮูหยินสองเท่านั้นที่พูดคุยเกี่ยวกับบรรยากาศในวัดเย่าหวังด้วยความสนอกสนใจ เมื่อเห็นสืออีเหนียงกับฮูหยินห้าพยายามทำตัวให้สดชื่นแล้วรินชาอยู่ข้างๆ ไท่ฮูหยินก็หัวเราะพลางชี้ไปที่สองคนนั้นแล้วพูดกับฮูหยินสองว่า “เห็นหรือไม่ สองคนนั้นถูกเลี้ยงมาอย่างประคบประหงม แค่ความลำบากเล็กๆ น้อยๆ ก็ทนไม่ได้แล้ว”
สืออีเหนียงเม้มปากยิ้ม
ฮูหยินห้าไม่ยอม “พูดราวกับว่าท่านมาจากชนบทอย่างนั้นแหละเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสองเห็นดังนั้นก็ยิ้ม “ท่านไปดูพิธีกรรม ส่วนพวกนางไปดูความครึกครื้น ย่อมไม่รู้ว่าบรรยากาศในวันนี้ยิ่งใหญ่แค่ไหน”
ไท่ฮูหยินพยักหน้า “สองคนนี้เหมาะที่จะไปวัดฉือหยวนมากกว่า!”
ทุกคนในห้องพากันหัวเราะ
ใบหน้าของไท่ฮูหยินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม โบกมือให้ทั้งสองคน “กลับไปเถิด! ที่นี่มีอี๋เจินอยู่เป็นเพื่อนข้าก็พอแล้ว!”
สืออีเหนียงกับฮูหยินห้ารู้สึกอายเล็กน้อย
ฮูหยินห้าไปนั่งเบียดกับไท่ฮูหยินบนเตียงเตา กำลังจะพูดออดอ้อนก็มีสาวใช้น้อยเข้ามารายงาน “ไท่ฮูหยิน คุณชายสามกลับมาแล้ว กำลังรออยู่ด้านนอกเจ้าค่ะ!”
รอยยิ้มบนใบหน้าของไท่ฮูหยินค่อยๆ จางหายไป
บรรยากาศในห้องพลันเย็นยะเยือก
ฮูหยินห้าลุกขึ้นยืนอย่างเชื่อฟังทันที “ท่านแม่ เช่นนั้นข้าขอตัวกลับก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยพาซินเจี่ยเอ๋อร์กับเซินเกอเอ๋อร์มาคารวะท่านเจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินตอบเพียง “อืม” เบาๆ
สืออีเหนียงก็รีบยืนขึ้น ย่อเข่าคำนับไท่ฮูหยินแล้วเดินออกไปพร้อมกับฮูหยินห้า
บรรดาบ่าวรับใช้เฒ่ากำลังจุดโคมไฟ
คุณชายสามยืนอยู่ใต้ชายคาเรือน
ชุดสีน้ำเงินไพลินลายม่วงทองเปล่งประกายภายใต้แสงไฟ
สืออีเหนียงกับฮูหยินห้าย่อเข่าคำนับพร้อมกัน เรียกด้วยความเคารพตามพวกเด็กๆ “ท่านลุงสาม”
แม้ว่ารอยยิ้มของคุณชายสามจะจริงใจเหมือนเมื่อก่อน แต่กลับแฝงไว้ด้วยความโดดเดี่ยว เขาทักทายพวกนาง “น้องสะใภ้กลับมาจากไปวัดเย่าหวังเป็นเพื่อนท่านแม่แล้วหรือ!”
“เจ้าค่ะ!” ฮูหยินห้ายิ้มพลางเดินไปอยู่ด้านหน้าสืออีเหนียง พูดขึ้นมาว่า “ท่านแม่บอกว่าเหนื่อยแล้วเลยให้พวกเรากลับไปพักผ่อน!”
รอยยิ้มของคุณชายสามดูอึดอัดขึ้นมาเล็กน้อย “เดินทางตลอดทั้งวันก็ควรจะรีบกลับไปพักผ่อน…” เมื่อพูดถึงตรงนี้ สาวใช้น้อยที่ยืนอยู่บนบันไดก็ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายสาม ไท่ฮูหยินเชิญท่านเข้าไปเจ้าค่ะ!” เมื่อคุณชายสามได้ยินดังนั้นก็รีบหันมาพยักหน้าให้ทั้งสองคน จัดชายเสื้อแล้วรีบเดินเข้าไปในห้องโถง
ฮูหยินห้าดึงแขนเสื้อสืออีเหนียง “เหตุใดคุณชายสามถึงได้กลับเยี่ยนจิงมาในเวลานี้เล่า ท่านต้องรู้อย่างแน่นอน!”
เรื่องนี้ต่อให้อยากปิดก็ปิดไม่อยู่ จะเร็วหรือช้าก็ต้องรู้อยู่ดี
สืออีเหนียงจึงเล่าเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวบรัด
ขณะที่ฮูหยินห้ากำลังฟัง สายตาก็เหลือบไปเห็นอวี้ป่านกับสาวใช้สองสามคนในห้องถอยออกมา
ทันใดนั้นนางอุทานขึ้นมาว่า “ไอ๊หยา” มือข้างหนึ่งจับที่เอว อีกข้างหนึ่งดึงมือสืออีเหนียง “เอวข้า สงสัยจะเคล็ดตอนที่ลงจากรถม้าเมื่อครู่นี้…” เรียกสาวใช้น้อยที่ยืนอยู่ใต้ชายคา “รีบไปบอกเหอเซียง ให้นางยกเสลี่ยงไม้ไผ่มา” จากนั้นก็ทำท่าทางเหมือนพึ่งจะเห็นอวี้ป่าน “ไอ๊หยา ทำไมพวกเจ้าออกมาเสียแล้วล่ะ” ไม่ทันรอให้อวี้ป่านตอบ ก็หันไปพูดกับสืออีเหนียงว่า “พี่สะใภ้สี่ ท่านพยุงข้าไปนั่งในเรือนเถิด ข้ายืนไม่ไหวแล้ว เหมือนกับว่าเอวจะหัก”
สืออีเหนียงเห็นดังนั้นก็แอบรู้สึกขบขัน
เห็นได้ชัดว่านางอยากรู้ว่าไท่ฮูหยินพูดอะไรกับคุณชายสามบ้าง
สืออีเหนียงเองก็อยากรู้เล็กน้อย ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพยุงฮูหยินห้า “ในเมื่อเอวเคล็ด เจ้าก็ควรจะรีบบอกก่อนหน้านี้! จะอดทนทำไมกัน” กำชับอวี้ป่านว่า “เจ้าส่งสาวใช้น้อยไปบอกจู๋เซียงว่าให้นางนำน้ำมันดอกคำฝอยที่ท่านโหวมอบให้เมื่อสองวันก่อนมา ข้าจะนวดให้ฮูหยินห้าสักหน่อย”
อวี้ป่านรีบขานรับ “เจ้าค่ะ” ส่งสาวใช้น้อยไปรายงาน แล้วเข้าไปพยุงฮูหยินห้า
มีสาวใช้น้อยที่มีไหวพริบรีบเดินมาเปิดม่านให้และพากันมาคารวะ
ฮูหยินห้ารีบพูดขึ้นมาว่า “อย่าทำให้ไท่ฮูหยินต้องตกใจ ประเดี๋ยวท่านจะเป็นกังวล”
ทุกคนจึงได้ผ่อนคลายลง มีอวี้ป่านพยุงเข้าไปในห้องโถง
ในห้องโถงไม่ได้จุดตะเกียง มีเพียงแสงสลัวๆ
ป้าตู้ที่เฝ้าอยู่ในห้องโถงเห็นดังนั้นก็อดประหลาดใจไม่ได้
อวี้ป่านกระซิบเสียงเบาแล้วรีบถอยออกไปทันที
ฮูหยินห้าเข้าใจหลักการปิดบังเบื้องบนแต่ไม่ปิดบังเบื้องล่างดี
นางขยิบตาให้ป้าตู้ ยิ้มพลางรีบเดินไปที่ห้องปีกตะวันตก
“ข้าอยากรู้ว่าท่านแม่พูดอะไรบ้าง” ฮูหยินห้าแหวกผ้าม่านห้องด้านในแล้วมองลอดเข้าไป
ป้าตู้ก็ไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด ก็เป็นสะใภ้เหมือนกัน แต่ไท่ฮูหยินกลับไม่ได้ให้ฮูหยินสองหลบไปก่อน ก็คงไม่ได้สนใจว่าสะใภ้อีกสองคนจะรู้หรือไม่
นางมองฮูหยินห้าด้วยสายตาเอ็นดูพลางส่ายหัว พูดกับสืออีเหนียงอย่างช่วยไม่ได้ว่า “ตอนนี้ฮูหยินห้าก็เป็นแม่คนแล้ว ทำไมยังมีนิสัยเหมือนเด็กเช่นนี้…”
ก่อนที่ป้าตู้จะพูดจบ จู่ๆ ก็มีเสียงโยนของดังขึ้นในห้อง จากนั้นก็ตามด้วยเสียงตำหนิอย่างรุนแรงของไท่ฮูหยิน “เจ้ายังกล้ามาพูดจาเหลวไหลอีก สวีลิ่งหนิง ข้าไม่ได้แก่จนเลอะเลือน ต่อให้ข้าแก่จนเลอะเลือน เกรงว่ากลอุบายเล็กๆ น้อยๆ ของเจ้าก็ไม่สามารถปิดบังข้าได้…”
ถึงขั้นโกรธรุนแรงราวกับฟ้าผ่าก็มิปาน
สืออีเหนียงกับป้าตู้มองหน้ากัน ทั้งสองคนรีบเดินเข้าไปในห้องปีกตะวันตกพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ไปยืนอยู่ข้างๆ ฮูหยินห้าแล้วมองเข้าไปในห้อง
ห้องด้านในจุดไฟสว่างไสว
เป็นเพราะมองจากมุมนี้จึงทำให้พวกนางไม่เห็นไท่ฮูหยินที่นั่งอยู่บนเตียงเตา เห็นเพียงคุณชายสามที่คุกเข่าอยู่บนพื้น ผม ใบหน้า และไหล่ของเขาเต็มไปด้วยคราบน้ำและใบชา ข้างๆ เข่าก็มีถ้วยชาวิหกชมดอกไม้ที่ไท่ฮูหยินชอบใช้กลิ้งอยู่
“ท่านแม่ ข้าไม่ได้ตั้งใจปิดบังท่าน เรื่องนี้เป็นข้าที่ทำไม่ถูก ท่านจะตีจะด่าก็ได้ทั้งนั้น ขอเพียงท่านอย่าโกรธจนเสียสุขภาพเลยขอรับ!”
เขาพูดพลางโขลกศีรษะขออภัย
เสียง ตึกตึกตึก ดังก้องอยู่ในห้องที่เงียบสงบ พลอยทำให้คนที่ได้ยินรู้สึกหดหู่
“อี๋เจิน!” ผ่านไปสักพักใหญ่เสียงของไท่ฮูหยินก็ดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้ารีบไปช่วยตักน้ำมาล้างหน้าให้น้องสามของเจ้า” เสียงของไท่ฮูหยินดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย “เจ้าสาม เจ้าลุกขึ้นเถิด! หลายปีมานี้ข้าปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนบุตรชายแท้ๆ เมื่อควรตีก็ตี เมื่อควรดุก็ดุ เจ้าเองคงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจอยู่ไม่น้อย…”
สืออีเหนียงได้ยินดังนั้นก็ตกใจ
ในเมื่อเห็นเป็นบุตรชายแท้ๆ ควรตีก็ตี ควรดุก็ดุ เหตุใดถึงพูดคำว่า ‘น้อยเนื้อต่ำใจ’ ออกมา เห็นได้ชัดว่าไท่ฮูหยินกำลังพูดจาประชดประชัน คุณชายสามได้ยินเข้าย่อมรู้สึกไม่สบายใจอย่างแน่นอน…
ขณะที่กำลังครุ่นคิด สีหน้าของคุณชายสามก็เปลี่ยนไป
“ท่านแม่ขอรับ” เขาขัดจังหวะพูดของไท่ฮูหยินแล้วรีบพูดขึ้นมาว่า “ข้าไม่เคยรู้สึกน้อยใจ ท่านมีพระคุณกับข้าล้นฟ้า ที่ตีข้าดุข้าก็เพราะหวังดีกับข้า…”
ขณะที่พูดน้ำเสียงเย็นชาของฮูหยินสองก็ดังขึ้นในห้อง “คุณชายสาม ท่านเช็ดหน้าก่อนแล้วค่อยพูดเถิด ที่ท่านแม่ไล่ให้สาวใช้ข้างกายออกไปก็เพราะไม่อยากให้ท่านเสียหน้า หากท่านเดินออกไปเช่นนี้จะไม่เป็นการผิดต่อความหวังดีของท่านแม่หรอกหรือ”
คุณชายสามตอบด้วยความละอาย “ขอรับ” แล้วลุกขึ้นล้างหน้า
ไท่ฮูหยินพูดขึ้นมาว่า “ช่วงนี้เจ้าต้องรีบเดินทางกลับมาคงจะเหนื่อยแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนที่ตรอกซานจิ่งเถิด! ผ่านไปอีกสักหน่อยข้าค่อยไปคุยกับเจ้า”
ฟังจากน้ำเสียงจะเห็นได้ว่าเรื่องจบลงตรงนี้แล้ว
เพื่อไม่ให้ไท่ฮูหยินสังเกตเห็น ทั้งสามคนรีบออกไปจากห้องปีกตะวันตก ส่วนสืออีเหนียงกับฮูหยินห้าก็ออกมาจากห้องโถง
“คิดไม่ถึงว่าขนาดเกิดเรื่องเช่นนี้ คุณชายสามก็ยังปกป้องพี่สะใภ้สาม” ฮูหยินห้าพูดกับสืออีเหนียงเสียงเบาว่า “ฟังจากที่ท่านแม่พูด เหตุผลที่คุณชายสามลาออก ทั้งหมดเป็นเพราะพี่สะใภ้สามปล่อยเงินกู้ จึงไปแย่งกิจการของพวกที่ปรึกษาขุนนางเข้าจนทำให้เกิดเรื่องขึ้น” แล้วพูดต่อไปว่า “ก็ไม่โทษที่พี่สะใภ้สามจะทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้ ถ้าหากข้ามีสามีที่คอยปกป้องแบบนี้ ก็คงจะไม่รู้เหนือรู้ใต้เช่นกัน!”
“หากเจ้าพูดเช่นนี้ข้าก็คงต้องเรียกร้องความเป็นธรรมให้คุณชายห้าแล้ว” สืออีเหนียงหยอกเย้านาง “ก็ไม่รู้ว่าคุณชายห้าต้องทำอย่างไรอีกถึงจะทำให้ฮูหยินห้าของพวกเราทำเรื่องเหลวไหลขึ้นมาได้”
ฮูหยินห้าหน้าแดง “เห็นท่านเป็นคนซื่อๆ คิดไม่ถึงว่าจะรู้จักพูดเช่นนี้”
ทั้งสองคนพูดคุยกันจนเดินมาถึงลานหน้าเรือน
สวีลิ่งควนพาบ่าวรับใช้ที่ยกเสลี่ยงไม้ไผ่เดินเข้ามา
ภายใต้การส่องสว่างของโคมไฟสีแดง ใบหน้าของฮูหยินห้างดงามราวกับดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ปาน
สืออีเหนียงหัวเราะพลางพูดหยอกล้อ “ดูสิ นี่ใครกัน”
ฮูหยินห้าไม่พูดอะไร แววตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและอ่อนหวาน
ส่วนสวีลิ่งควนที่เห็นฮูหยินห้ายืนอย่างสบายๆ อยู่ตรงนั้นก็อดแปลกใจไม่ได้ “ไม่ได้บอกว่าเอวเคล็ดหรอกหรือ”
ฮูหยินห้าเหลือบมองสืออีเหนียง ยิ้มแล้วพูดว่า “พี่สะใภ้สี่ช่วยนวดให้ข้า ข้ารู้สึกดีขึ้นมากแล้ว!”
สวีลิ่งควนคำนับสืออีเหนียง “ขอบคุณพี่สะใภ้สี่ขอรับ!”
สืออีเหนียงรับคำขอบคุณของสวีลิ่งควนอย่างเต็มใจ “คุณชายห้าไม่ต้องเกรงใจ” แล้วหันไปยิ้มให้ฮูหยินห้า
ฮูหยินห้าจ้องกลับด้วยดวงตาสีน้ำตาล
คุณชายสามเดินออกมาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย
“พี่สาม!” สวีลิ่งควนที่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นทั้งประหลาดใจทั้งรู้สึกยินดี “ท่านกลับมาตั้งแต่เมื่อไร! เหตุใดก่อนหน้านี้ถึงไม่เห็นมีจดหมายเขียนส่งมาที่จวน กลับมาเมืองหลวงในเวลานี้ มีเรื่องสำคัญอะไรหรือขอรับ”
คุณชายสามคิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับสวีลิ่งควนที่นี่ เขาตกตะลึงเล็กน้อยก่อนจะยิ้มอย่างลำบากใจ
“ข้าพึ่งกลับมา” ชิงถามขึ้นมาก่อนว่า “ช่วงนี้น้องห้าสบายดีหรือไม่”
“ข้าสบายดี!” สวีลิ่งควนยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “เมื่อไม่กี่วันก่อนข้าได้รับเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการองครักษ์เสื้อแพร…” เขาพูดกับคุณชายสามด้วยท่าทางภูมิอกภูมิใจ
ป้าตู้เดินออกมา
“คุณชายห้ามาแล้วหรือเจ้าคะ” นางยิ้มพลางคำนับสวีลิ่งควน พยักหน้าให้สืออีเหนียงเบาๆ “ฮูหยินสี่ ไท่ฮูหยินเชินท่านเข้าไปข้างในเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงรับคำ แล้วเดินเข้าไปที่ห้องด้านในกับป้าตู้
ในห้องได้ทำการเก็บกวาดเรียบร้อยแล้ว ไท่ฮูหยินกับฮูหยินสองนั่งข้างกันอยู่บนเตียงเตาริมหน้าต่าง ทั้งสองคนสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ต่างจากตอนที่นางออกไป
“ทางด้านหูโจวยังไม่มีข่าวอะไรเลยหรือ” ไท่ฮูหยินไม่ได้ปิดบังฮูหยินสอง
“อีกสองวันก็น่าจะมีข่าวมาแล้วเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงตอบอย่างนอบน้อม
ไท่ฮูหยินพยักหน้า “เจ้าคอยจับตาดูทางนั้นเอาไว้ พอมีข่าวก็ให้มาบอกข้าทันที” จากนั้นก็ยกถ้วยชาส่งแขก
สืออีเหนียงขานรับเสียงเบา “เจ้าค่ะ” แล้วถอยออกไป
สวีลิ่งควนและคนอื่นๆ ไม่ได้อยู่ที่ลานแล้ว
นางจึงกลับไปที่เรือนตัวเอง
ระหว่างทางได้พบกับจู๋เซียง “ฮูหยิน ขวดยาถูกเก็บไว้ในห้องเก็บของ ดังนั้นบ่าวจึงมาสาย…”
สืออีเหนียงโบกมือ พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่ต้องแล้ว ฮูหยินห้าดีขึ้นแล้ว”
จู๋เซียงได้ฟังแล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก กลับเรือนพร้อมกับสืออีเหนียง
“ฮูหยิน” นางพูดกับสืออีเหนียงเสียงเบาว่า “เมื่อเช้านี้ฮูหยินสองส่งผู้ดูแลหม่าที่อยู่แผนกรายงานให้นำกล่องผ้าฝ้ายไปส่งที่สำนักดาราศาสตร์เจ้าค่ะ”
ผู้ดูแลหม่าเป็นคนที่ฮูหยินสองเสนอขึ้นมาตอนที่นางเป็นผู้ดูแลเรือน ทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว เป็นลูกน้องที่มีความสามารถมากที่สุดของผู้ดูแลจ้าว
“รู้หรือไม่ว่ามันคืออะไร” สืออีเหนียงสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย
“ได้ยินมาว่าเป็นหนังสือเจ้าค่ะ” จู๋เซียงพูดต่อไปว่า “แต่ไม่รู้ว่าเป็นหนังสืออะไร”
สืออีเหนียงใจเต้นระรัว
บางทีสิ่งที่ทำให้คนหวั่นไหวได้อาจจะไม่ใช่เงินทอง โดยเฉพาะกับผู้ที่รักการศึกษาเล่าเรียนเหล่านั้น