ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 553 แต่งงาน (ปลาย)
สวีซื่ออวี้ไม่ได้อ่อนน้อมถ่อมตนแต่ก็ไม่ได้หยาบคาย ตอบได้อย่างอ่อนโยนแต่ก็แฝงไว้ด้วยความแข็งแกร่ง หากเป็นตัวเองก็ไม่แน่ว่าจะตอบได้ดีเหมือนเขา
มีความชื่นชมผ่านสายตาของสืออีเหนียง ยิ้มแล้วพูดว่า “แล้วฟังทั่นฮวาผู้นั้นว่าอย่างไรบ้าง”
สวีซื่ออวี้หลบเลี่ยงสายตาของนางอย่างทำตัวไม่ถูก
“ฟังทั่นฮวาโค้งคำนับให้ข้า บอกว่าอารมณ์โกรธของเขาปะทุขึ้นมา ดังนั้นจึงได้พูดและทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสม ตอนนี้คิดได้แล้วก็รู้สึกผิดอยู่บ้าง แต่ในฐานะที่เขาเป็นคนสกุลเดิมของพี่สะใภ้ใหญ่ เมื่อเห็นว่าน้องสาวไม่ได้รับความยุติธรรม ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถนั่งมองอยู่เฉยๆ ได้ ยิ่งไปกว่านั้นข่าวลือที่ว่ามีดวงพิฆาตสามีนั้นก็ล้วนเป็นเรื่องไร้สาระที่คนสกุลฮั่วกุขึ้นมา พวกเขาไม่เคยเห็นแม้แต่วันตกฟากของคุณชายฮั่วด้วยซ้ำ”
เขาถ่ายทอดคำพูดของฟังจี้
“‘คุณชายฮั่วเสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก นายหญิงฮั่วเสียใจมากจนทนไม่ได้ ไม่รู้ว่าไปได้ยินสตรีเร่ร่อนที่ไหนยุยงเข้า บอกว่าการตายของคุณชายฮั่วทั้งหมดนั้นเป็นเพราะหมั้นหมายกับน้องสาวของข้า ฮูหยินฮั่วพานโกรธน้องสาว ดังนั้นทุกครั้งที่มีคนมาขอหมั้นหมาย นางก็จะมาขวางทางแล้วแพร่ข่าวลืออยู่หลายครั้ง ต่อมาท่านย่าได้ไปเยี่ยมเยียนฮูหยินใหญ่สกุลฮั่วด้วยตัวเอง พวกเขาจึงได้หยุดการกระทำนั้น เพียงแต่ว่าข่าวลือได้เกิดขึ้นแล้ว น้องสาวไม่เพียงเสื่อมเสียชื่อเสียงเท่านั้น เพราะว่าสกุลฮั่วเป็นสกุลที่ยิ่งใหญ่ในหูโจว คนในครึ่งเมืองนี้มีความสัมพันธ์กับสกุลของพวกเขา ทุกคนไม่ต้องการให้มีช่องว่างระหว่างญาติพี่น้อง อาสะใภ้ก็ไม่ต้องการให้น้องสาวได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจ การหมั้นหมายจึงถูกเลื่อนไปครั้งแล้วครั้งเล่าจนเสียเวลาไปมาก นี่ก็นับว่าเป็นโชคชะตาที่ต้องแต่งงานมาอยู่แดนไกล น้องสาวกับน้องเขยมีวาสนาต่อกัน ตอนที่พวกเจ้าไปหมั้นหมาย ท่านลุงก็กลัวว่าจะไม่เป็นผลดีต่อน้องเขย จึงได้ตั้งใจให้ที่ปรึกษาข้างกายนำวันตกฟากของทั้งสองคนไปให้พระภิกษุที่มีชื่อเสียงหลายรูปและอาจารย์ดูดวงชะตาที่มีชื่อเสียงในซ่านซีทำนายดวงชะตาให้ ต่างก็บอกว่าเป็นคู่ที่สวรรค์สร้างมา จึงได้ตอบตกลงการหมั้นหมายนี้ หากเจ้าไม่เชื่อก็ไปถามฮูหยินสามดู ตอนนั้นที่น้องสาวกับน้องเขยหมั้นหมายกัน สกุลอื่นคำนวณวันตกฟากต้องใช้เวลาสามวัน แต่สกุลเราผ่านไปห้าถึงหกวันจึงได้ให้คำตอบ เพียงแต่ว่าเรื่องความรักของหนุ่มสาวเล่านี้ไม่อาจพูดต่อหน้าท่านโหวได้ หากทำให้ไท่ฮูหยินกับท่านโหวต้องเข้าใจผิด นั่นก็เป็นความผิดของข้าที่ไม่ได้พูดอย่างชัดเจน ขอให้น้องชายช่วยไปขอขมาแทนข้าด้วย’”
ไม่เพียงแต่หาทางลง ซ้ำยังอธิบายชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องดวงพิฆาตสามีของฟังซื่อ
“ข้าเห็นว่าเขาพูดอย่างจริงใจ พี่ใหญ่เองก็ไม่อยากทำให้เป็นเรื่องใหญ่ จึงพูดไปว่า ‘ท่านเป็นพี่ชายของพี่สะใภ้ใหญ่ ข้าเป็นน้องชายของน้องเขยท่าน พวกเราควรจะไกล่เกลี่ยด้วยเหตุผลและเกลี้ยกล่อมให้พวกเขาคืนดีกันถึงจะถูก ตอนนี้เกิดความเข้าใจผิดกันก็ต้องให้ผู้อาวุโสออกมาชี้แจง’ จากนั้นก็เชิญให้เขามาในวันมะรืน เขาตอบตกลงทันที ซ้ำยังให้ข้าอยู่ทานอาหารแล้วมาส่งที่ประตูด้วยตัวเอง หากยังไม่ถึงจุดที่ประทับลายมือบนหนังสือปลดภรรยา หรือไปรับหนังสือหย่าที่ศาลว่าการ ก็ยังนับว่าเป็นญาติกันและไม่ควรฉีกหน้ากัน”
สืออีเหนียงรู้สึกประทับใจที่สวีซื่ออวี้จัดการเรื่องนี้ได้อย่างใจเย็นสุขุม
“ลำบากเจ้าแล้ว!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “อวี้เกอโตขึ้นแล้ว”
สวีซื่ออวี้ได้ฟังแล้วก็หน้าแดง
เขาลุกขึ้น “ท่านแม่ หากไม่มีอะไรกำชับแล้ว เช่นนั้นข้าขอตัวก่อนขอรับ”
สืออีเหนียงก็จะไปหาไท่ฮูหยินแล้วเช่นกัน ยิ้มพลางพยักหน้า ถามเขาว่ารวบรวมข้อสอบไปถึงไหนแล้ว จากนั้นก็ให้ชิวอวี่ไปส่งเขา
ทางฝั่งเหวินอี๋เหนียงเห็นสวีซื่ออวี้เดินออกมา ก็ถือรายการสินสอดทองหมั้นเดินเข้าไป
สืออีเหนียงอุ้มจิ่นเกอ แล้วไปหาไท่ฮูหยินกับนาง
นางบอกไท่ฮูหยินเรื่องที่สวีซื่ออวี้ไปหาฟังทั่นฮวา
“อวี้เกอเริ่มรู้ความขึ้นเรื่อยๆ แล้ว” ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจเล็กน้อย แต่เป็นการถอนหายใจที่สั้นมาก ไท่ฮูหยินดูท่าทางจะไม่อยากพูดเรื่องนี้มาก รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปพูดเรื่องที่สืออีเหนียงต้องไปพบฟังจี้พรุ่งนี้ “ฟังจี้ผู้นี้ทั้งเย่อหยิ่งทั้งนอบน้อม เกรงว่าจะไม่ใช่คนง่ายๆ ตอนนี้สกุลฟังเข้าโจมตีแล้วถอยมาดูลาดเลา พรุ่งนี้เจ้าไปพบฟังจี้เกรงว่าจะต้องทำตัวให้กระตือรือร้นกว่านี้…”
สืออีเหนียงเห็นว่าตอนที่ฟังจี้มาหาก็เอาแต่โวยวายจะขอหย่า แล้วนึกขึ้นได้ว่าเขาบุกเข้าไปที่ห้องโถงของกรมพิธีการกับบัณฑิตเหล่านั้นก็คิดว่าเขาเป็นคนใช้อารมณ์ มุทะลุ แต่พอได้ยินสวีซื่ออวี้พูดเช่นนี้ ในเรื่องดวงพิฆาตสามีของฟังซื่อ ไม่ว่าเขาจะมาโวยวายต่อหน้าสวีลิ่งอี๋ก็ดี หรือจะทำท่าทางทอดถอนใจต่อหน้าสวีซื่ออวี้ก็ดี ล้วนเป็นวิธีที่จะล้างข่าวลือเรื่องดวงพิฆาตสามีให้ฟังซื่อ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่รู้จักขอบเขต
คนมีเหตุผลจะกลัวการเผชิญหน้ากับคนไร้เหตุผล คนไร้เหตุผลจะกลัวการเผชิญกับความตาย สกุลฟังมีจุดประสงค์ ฟังจี้ก็กระทำการอยู่ในขอบเขต เช่นนั้นเรื่องนี้ก็จัดการได้ง่ายแล้ว
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ถ้าหากข้าไม่สามารถรับมือได้ค่อยเชิญให้ท่านแม่ออกหน้าก็ยังไม่สาย อย่างไรเสียเขาก็เป็นผู้น้อย แม้ว่าข้าจะเป็นนายหญิงดูแลเรือน แต่เหนือข้าก็ยังมีท่านโหวกับไท่ฮูหยิน”
ไท่ฮูหยินเห็นว่านางประพฤติได้อย่างเหมาะสมจึงพยักหน้าเล็กน้อย ยิ้มพลางอุ้มจิ่นเกอที่กำลังนั่งเล่นอยู่คนเดียวบนเตียงเตา แล้วให้สาวใช้น้อยเรียกเหวินอี๋เหนียงเข้ามา หยอกล้อกับจิ่นเกอพลางฟังเหวินอี๋เหนียงรายงานสินสอดทองหมั้นของเจินเจี่ยเอ๋อร์ เงยหน้าขึ้นมาถามคำถามสำคัญๆ เป็นบางครั้ง เวลาในช่วงเช้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว
สวีลิ่งอี๋มาทานอาหารกลางวัน สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นน้อยมาก
ไท่ฮูหยินมีความสุขมากให้คนเพิ่มอาหาร ส่วนเหวินอี๋เหนียงคอยจัดตะเกียบยกน้ำแกงอยู่ข้างๆ ป้าตู้
จิ่นเกอทำกับข้าวหกเลอะเทอะ
ไท่ฮูหยินบ่นพึมพำ “ตัวเล็กแค่นี้ เหตุใดถึงได้ให้เขาทานข้าวเอง!” จากนั้นก็เรียนอวี้ป่าน “ตักน้ำมาให้คุณชายน้อยหกล้างมือล้างหน้า” แล้วกำชับป้าตู้ว่า “ไปเอาช้อนเงินลายใบแปะก๊วยของข้ามา ข้าจะป้อนจิ่นเกอทานข้าว” จากนั้นก็ยิ้มพลางพูดกับจิ่นเกอว่า “พวกเราใช้ช้อนสวยๆ ทานข้าว ทานให้เยอะๆ เถิด!”
สวีลิ่งอี๋นั่งยิ้มอยู่ข้างๆ
สืออีเหนียงรู้สึกว่าเหงื่อออกเต็มหน้าผากไปหมด
จิ่นเกอถือช้อนไม้สนแกะสลักอยู่ในมือพลางหันไปพยักหน้าให้ไท่ฮูหยิน ทำเอาไท่ฮูหยินดีใจจนหุบยิ้มไม่ได้
พอป้าตู้นำช้อนเงินมา ไท่ฮูหยินกำลังจะป้อนเขาทานข้าว เขากลับแย่งช้อนเงินของไท่ฮูหยินแล้วตักกินเอง อาจจะเป็นเพราะไม่ถนัดมือ จึงวางช้อนเงินทิ้งไว้ข้างๆ แล้วหยิบช้อนไม้ของตัวเองมาทานข้าว ทำเอาเม็ดข้าวหล่นไปทั่วโต๊ะ
ไท่ฮูหยินพูดด้วยความประหลาดใจ “ไอ๊หยา เหตุใดจู่ๆ ถึงเปลี่ยนใจเสียแล้ว ไม่อยากได้ของของข้าแล้วหรือ!”
ช้อนเงินคันนั้นสวยมาก หัวช้อนกลม ด้ามจับยาว ตรงปลายเป็นลายใบแปะก๊วย
ป้าตู้ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณชายน้อยหกชอบสิ่งของที่สดใสเจ้าค่ะ” ความหมายก็คือช้อนเงินนั้นไม่สะดุดตา
“ผิดแล้ว” ไท่ฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “หากใช้กับของกิน แน่นอนว่าช้อนเงินนั้นดีที่สุด” แต่ก็ให้ป้าตู้ไปหยิบช้อนทองมา สุดท้ายก็ไม่ได้ป้อน จิ่นเกอถือช้อนไว้ในมือไม่ยอมปล่อย
“เจ้าอย่าวางอำนาจให้มากนัก!” ไท่ฮูหยินยิ้มพลางโน้มตัวไปหาจิ่นเกอ “อีกไม่กี่เดือนพี่หญิงใหญ่ของเจ้าก็จะแต่งงานแล้ว เจ้าอย่าลืมขออั่งเปาจากพี่หญิงใหญ่ของเจ้าเยอะๆ ด้วยเล่า”
“ท่านเขยใหญ่ของพวกเราเป็นคนใส่ใจเจ้าค่ะ” ป้าตู้ยิ้มพลางพูดว่า “ต่อให้ท่านไม่พูด เกรงว่าก็จะเตรียมอั่งเปาไว้เรียบร้อยแล้ว!”
ทุกคนพูดไปหัวเราะไป จากนั้นก็ไปดื่มชาที่ห้องปีกตะวันตก
สวีลิ่งอี๋อาศัยจังหวะที่บรรยากาศดีพูดเรื่องของคุณชายสาม “…ข้าว่าร่างกายเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าหากร่างกายล้มลงแล้ว ต่อให้ตำแหน่งใหญ่แค่ไหนก็อยู่ได้ไม่มั่นคง ต่อให้หาเงินได้มากมายแค่ไหนก็ไม่ได้เอาไปใช้ ทำให้เขาเลือกที่จะลาออกแล้วกลับมา จะว่าไปแล้วเขาก็เคยเข้ารับราชการ การประเมินผลทั้งสามปีก็อยู่ในระดับดี นับว่ามีคำอธิบายต่อบรรพบุรุษแล้ว!”
จากท่าทางตกใจของไท่ฮูหยินกลายเป็นความประหลาดใจ จากความประหลาดใจกลายเป็นความเงียบสงบ
ไท่ฮูหยินยกถ้วยชาขึ้นมาจิบเบาๆ แล้วพูดขึ้นมาเบาๆ หนึ่งประโยคว่า “รู้แล้ว” วางถ้วยชาลงแล้วพูดต่อไปว่า “ข้าเองก็เหนื่อยแล้ว ทุกคนไปพักผ่อนเถิด” มีป้าตู้ช่วยพยุงไปที่ห้องด้านใน
ในใจสวีลิ่งอี๋รู้สึกกระวนกระวาย กลับไปถึงเรือนก็พูดกับสืออีเหนียงว่า “เจ้าไปหาท่านแม่ตอนบ่าย อย่าลืมพาจิ่นเกอไปด้วย!”
สืออีเหนียงเองก็รู้สึกว่าในคำพูดของไท่ฮูหยินมีบางอย่างแอบแฝง ตอนที่ไปปรึกษาเรื่องของเจินเจี่ยเอ๋อร์ ก็อุ้มจิ่นเกอไปด้วยตามที่พูด
ไม่รู้ว่าสีหน้าสงบนิ่งเมื่อเจอลมพายุฝนของไท่ฮูหยินในตอนกลางวันหายไปไหนแล้ว นางกลับมาอารมณ์ดีและร่าเริงตามปกติ หัวเราะพลางหยอกล้อจิ่นเกอ ไม่แม้แต่จะพูดถึงเรื่องของคุณชายสาม
******
ฟังจี้มาพบสืออีเหนียง เห็นได้ชัดว่าเตรียมตัวมาอย่างดี
พออ้าปากพูดก็เอ่ยแสดงความยินดีกับคุณชายสาม “…แม้จะบอกว่าเป็นพระมหากรุณาธิคุณของฮ่องเต้ แต่ผ่านไปสามปีการประเมินผลการปฏิบัติงานอย่างเป็นทางการก็อยู่ในระดับยอดเยี่ยม ในช่วงเวลาอันยิ่งใหญ่เช่นนี้กลับลาออกจากตำแหน่ง ทำให้ผู้น้อยอย่างพวกเรานับถือเป็นอย่างมาก!”
เพื่อชี้ให้เห็นว่าการที่คุณชายสามได้รับการประเมินระดับยอดเยี่ยมนั้นเป็นเพราะมีสกุลฟังช่วยออกแรง
สืออีเหนียงไม่อยากแสดงความอ่อนแอ ยิ้มพลางพูดว่า “พูดถึงเรื่องตำแหน่ง ข้าได้ยินคุณนายน้อยใหญ่ของพวกเราพูดว่านายท่านสกุลฟังอยากอยู่ให้ห่างจากเรื่องราชการมาตลอด แต่เป็นเพราะภาระของครอบครัวจึงต้องทำอย่างไม่เต็มใจ ได้แต่หวังว่าคุณชายฟังจะสอบติดโดยเร็ว นายท่านสกุลฟังจะได้ปล่อยวางภาระ ใครจะไปรู้ว่าก่อนจะสอบกลับได้ยินเรื่องที่คุณชายฟังบุกเข้าไปในกรมพิธีการ ตอนนั้นพวกเราต่างก็ใจเต้นตุ้บๆ ต่อมๆ โดยเฉพาะคุณชายน้อยสองของพวกเรา ท่านโหวเข้มงวดกับเขาเสมอ ไม่เคยปล่อยให้เขาไปรังแกคนอื่น แต่เขากลับวิ่งวุ่นเพื่อคุณชายฟังหลายคืน โชคดีที่คุณชายฟังทำให้เรื่องร้ายกลายเป็นดี ตอนนี้ก็ได้เป็นทั่นฮวาตั้งแต่อายุยังน้อย อนาคตสดใส นายท่านสกุลฟังก็จะได้ลาออกจากตำแหน่งกลับบ้านเกิด ได้ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายบ้าง” แล้วพูดต่ออีกว่า “ต่อไปคุณชายฟังก็ต้องทำหน้าที่ในสำนักฮั่นหลิน ทุกคนอยู่ที่เยี่ยนจิง โอกาสในการไปมาหาสู่กันก็จะมากขึ้น”
ฟังจี้ได้ฟังแล้วก็ยิ้มเจื่อนๆ
แม้ว่าสกุลสวีจะไม่ได้ช่วยในเรื่องนี้ แต่สวีซื่ออวี้กลับเตือนเขาในตอนนั้น และมีพระคุณที่ช่วยเป็นธุระให้เขา
สืออีเหนียงกำลังเตือนเขา สกุลฟังมีเขาเพียงคนเดียวที่รับราชการ สวีลิ่งอี๋อาจจะไม่สามารถช่วยเขาได้ แต่สามารถเป็นอุปสรรคของเขาในเรื่องของกรมพิธีการได้
หากคุยหัวข้อสนทนานี้ต่อไปจะทำให้เขากลายเป็นผู้ถูกกระทำ
เขาจึงพูดเพียงว่า “ข้ากับคุณชายน้อยสองของจวนอันทรงเกียรตินี้ ก็นับว่าเพียงแค่ได้พบก็เหมือนกับรู้จักกันมานาน” จากนั้นก็เปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ไม่ทราบว่าฮูหยินสี่เชิญข้ามามีธุระอะไรหรือ” อยากจะกลับมาเป็นฝ่ายควบคุมอีกครั้ง
ดีที่ฟังจี้เปลี่ยนหัวข้อสนทนา เพราะสืออีเหนียงเองก็ไม่อยากต้อนคนให้จนมุมเช่นกัน
นางยิ้มแล้วพูดว่า “ข้าเคยได้ยินว่าคุณชายฟังเอ่ยปากจะให้น้องสาวหย่า เห็นว่าคุณชายฟังอายุยังน้อย กลัวว่าจะเป็นคนใจร้อน ดังนั้นจึงเป็นกังวล ตอนนี้ได้ฟังที่คุณชายฟังพูดกับคุณชายน้อยสองของพวกเรา จึงได้รู้ว่าคุณชายฟังทำเรื่องที่ยากลำบากด้วยใจ เป็นอย่างที่คุณชายฟังพูด เรื่องระหว่างสามีภรรยาล้วนเป็นความรักของหนุ่มสาว ตอนนั้นคุณชายฟังจึงไม่สามารถพูดกับท่านโหวได้มาก ข้าในฐานะที่เป็นอาสะใภ้ก็ไม่สามารถพูดกับคุณชายฟังได้มาก ตอนนี้คุณชายฟังรับปากคุณชายน้อยสองของพวกเราแล้ว ก็ขอให้ผู้อาวุโสสกุลฟังออกมาชี้แจงสักหน่อย แค่นั้นข้าก็วางใจแล้ว เพียงแต่ว่าอยากจะบอกอีกสักเรื่อง หากคุณนายน้อยใหญ่มีเรื่อง น้อยใจอะไร ก็ต้องคิดถึงความลำบากใจของแม่สามีให้มากๆ เอาใจเขามาใส่ใจเรา เข้าใจกันให้มาก นี่จึงจะเป็นหน้าที่ของลูกสะใภ้ ไม่ใช่ว่าพอมีเรื่องไม่ถูกใจก็เรียกพี่น้องสกุลเดิมมาปรึกษา” พูดพลางยิ้มหยอกล้อ “โชคดีที่คุณชายฟังอยู่ที่เยี่ยนจิง หากไม่ได้อยู่ที่เยี่ยนจิง ก็คงต้องส่งคนกลับไปเชิญที่หูโจวเลยกระมัง”