ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 551 แต่งงาน (ต้น)
“อาการเจ็บหน้าอกของเจ้าดีขึ้นแล้วหรือ” ไท่ฮูหยินรับถ้วยชาที่สืออีเหนียงยกมาให้แล้วจิบเบาๆ
“ดีขึ้นมากแล้วเจ้าค่ะ!” ฮูหยินสามยิ้มแล้วรีบเดินเข้าไป “เดิมทีควรจะมาคารวะท่านให้เร็วกว่านี้ แต่กลัวว่าท่านจะเป็นห่วงจึง…”
ก่อนที่นางจะพูดจบไท่ฮูหยินก็ยกมือขึ้นขัดจังหวะ “ซานหยางอยู่ห่างจากที่นี่หลายพันลี้ เจ้าเองก็เป็นคนที่ต้องเดินทางบ่อย เดินทางมาจากแดนไกล ร่างกายอ่อนแอ อยากจะพักสักสองสามวันแล้วค่อยมาพบแม่สามี นั้jนก็ถือเป็นเรื่องปกติ” จากนั้นก็ถามกลับไปว่า “แล้วทำไมคุณนายน้อยใหญ่ไม่ได้มากับเจ้า” น้ำเสียงอ่อนโยนเป็นอย่างมาก
ฮูหยินสามกับสืออีเหนียงตกตะลึง
สืออีเหนียงรู้ว่าไท่ฮูหยินกับฮูหยินสองไปสำนักดาราศาสตร์เพื่อดูดวงของฟังซื่อกับสวีซื่อฉิน
เว้นเสียแต่จะมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น มิเช่นนั้นคนของสำนักดาราศาสตร์ก็คงไม่ทำนายดวงของคู่สามีภรรยาที่แต่งงานแล้วออกมาดีนัก แต่ก็คงไม่ทำนายออกมาว่ามีดวงพิฆาตเช่นกัน มิเช่นนั้นนางก็คงไม่กล้าออกความคิดเห็นเช่นนี้ แต่ดูจากท่าทางของไท่ฮูหยินแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีท่าทางพอใจฟังซื่อเป็นอย่างมาก หรือว่าคนของสำนักดาราศาสตร์จะทำนายออกมาว่าสองสามีภรรยาคู่นี้มีดวงสมพงษ์กันเป็นอย่างมาก
นางอดหันไปมองไท่ฮูหยินไม่ได้
แต่กลับเห็นฮูหยินสองที่ยืนอยู่ข้างไท่ฮูหยินพยักหน้าให้นางเล็กน้อย
ตอนที่สืออีเหนียงได้ยินว่าไท่ฮูหยินให้ฮูหยินสองไปสำนักดาราศาสตร์เป็นเพื่อน ในใจก็แอบคาดหวังอยู่ไม่น้อย
จากมุมมองทางสังคมเช่นนี้ ฮูหยินสองค่อนข้างเบี่ยงเบนจากบรรทัดฐานทางสังคม ทั้งยังเป็นม่าย คงจะไม่เชื่อข่าวลือที่ว่าฟังซื่อมีดวงพิฆาตสามี และช่วงนี้นางก็ไม่ก้าวออกจากเรือนเลย ได้ยินว่ากำลังศึกษาเกี่ยวกับโหราศาสตร์ เมื่อมีนางไปเป็นเพื่อน ด้วยความรู้ของนางแล้ว ขอเพียงแค่นางเต็มใจก็จะสามารถเปลี่ยนสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยให้กลายเป็นสถานการณ์ที่ดีได้อย่างสมบูรณ์
เพียงแต่ว่าตอนนี้นางยืนอยู่ตรงหน้าไท่ฮูหยิน จึงไม่กล้าส่งสายตากับฮูหยินสอง ยืนอยู่ที่นั่นอย่างสงบเสงี่ยม แม้แต่สีหน้าก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
ฮูหยินสองเห็นดังนั้นก็เลิกคิ้ว ไม่หันไปมองสืออีเหนียงอีก
ฮูหยินสามกลับพึมพำอยู่ในใจ
หรือว่าเมื่อคืนวานกลับมาดึกเกินไป ไท่ฮูหยินก็มีธุระออกนอกจวนตั้งแต่เช้าตรู่ สืออีเหนียงจึงไม่ทันได้พูดเรื่องนี้กับไท่ฮูหยิน
นางหันไปมองสืออีเหนียง
ก็เห็นว่าสืออีเหนียงยืนอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ตรงนั้น
หรือว่าฟังซื่อจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ผู้นั้นมาคารวะไท่ฮูหยินเป็นประจำทุกวัน ไท่ฮูหยินอายุมากแล้ว ชอบฟังคำพูดคนหนุ่มสาว ฟังซื่อยังให้รางวัลแก่บ่าวรับใช้รอบกายไท่ฮูหยินอย่างใจกว้าง? หรือมีใครไปพูดอะไรกับไท่ฮูหยิน ทำให้ไท่ฮูหยินเกิดสับสนจำได้แต่ความดีของฟังซื่อแต่ไม่นึกถึงข้อเสียของฟังซื่อ เลยปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้?
หากเป็นเช่นนี้จริง ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ได้การแล้ว!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ ฮูหยินสามก็กัดฟันแล้วพูดขึ้นมาว่า “ท่านแม่ ข้าให้นางอยู่ที่เรือนไม่ให้ไปเพ่นพ่านที่ไหน ท่านคงยังไม่รู้ ที่ข้ากลับมาครั้งนี้…”
ไท่ฮูหยินโบกมือ ตัดบทสนทนาของนางอีกครั้ง “แม้ว่าข้าจะเป็นแม่สามีเจ้าแต่ก็ไม่เคยเข้าไปยุ่งเรื่องในครอบครัวของพวกเจ้า นั่นก็เพราะกลัวว่าหากบรรดาผู้ดูแลหญิงและสาวใช้ใหญ่ข้างกายเห็นว่าข้าไม่ให้เกียรติเจ้าแล้วจะกำเริบเสิบสานจนไม่ไว้หน้าพวกเจ้า ต้องจำไว้ว่าเจ้านายก็คือเจ้านาย บ่าวรับใช้ก็คือบ่าวรับใช้ หากข้าไม่ไว้หน้าพวกเจ้าเพราะว่าข้าคือแม่สามีเจ้า กระนั้นก็ไม่จำเป็นให้คนเหล่านั้นมาชักสีหน้าใส่พวกเจ้า คุณนายน้อยใหญ่ทำไม่ถูก เจ้าในฐานะที่เป็นแม่สามีก็เพียงแค่อบรมสั่งสอนนางเป็นการส่วนตัวก็พอแล้ว เรื่องอื่นก็ไม่จำเป็นต้องพูดอีก ข้างๆ ยังมีน้องสะใภ้ของเจ้าอยู่ อย่างไรเสียเจ้าก็ต้องให้เกียรติลูกสะใภ้ต่อหน้าผู้อาวุโส!” แล้วพูดต่ออีกว่า “ในเมื่อเจ้าสุขภาพไม่ดี ในจวนก็มีเรื่องไม่เป็นเรื่องมากมาย ช่วงนี้เจ้าก็ไม่ต้องมาคารวะข้าแล้ว ไปจัดการเรื่องในเรือนให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยว่ากัน” จากนั้นก็ยิ้มให้ฮูหยินสอง พูดหยอกล้อว่า “จะได้ไม่มีใครมาบอกว่าข้าเป็นแม่สามีใจร้าย ลูกสะใภ้ป่วยอยู่ก็ยังต้องมาคารวะข้า!”
ขณะที่พูด สีหน้าของฮูหยินสามประเดี๋ยวซีด ประเดี๋ยวแดง ท่าทางกระอักกระอ่วน มุมปากขยับเล็กน้อย กำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ฮูหยินสองก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ดูท่านแม่พูดเข้า หากท่านเป็นแม่สามีใจร้าย เช่นนั้นเกรงว่าเก้าในสิบส่วนของคนในเยี่ยนจิงนี้ก็ล้วนเป็นแม่สามีใจร้ายแล้ว ท่านพูดล้อเล่นได้ แต่ระวังจะไปกระทบคนอื่นเข้าด้วย เดี๋ยวจะมีคนวิ่งมาคิดบัญชีกับท่านนะเจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็หัวเราะ ยกถ้วยชาส่งแขก “เจ้าถอยออกไปก่อนเถิด ข้ายังต้องปรึกษากับสืออีเหนียงเรื่องงานแต่งของเจินเจี่ยเอ๋อร์!”
ฮูหยินสามมองฮูหยินสองที่เท้าไม่ได้ขยับไปไหนแม้แต่นิดเดียว นางหน้าซีดพลางตอบอย่างอ้ำๆ อึ้งๆ ว่า “เจ้าค่ะ” ย่อเข่าคำนับแล้วถอยออกไป
ไท่ฮูหยินสีหน้าเคร่งขรึม
“ข้ากับพี่สะใภ้สองของเจ้าไปสำนักดาราศาสตร์มา เห็นแก่หน้าพี่สะใภ้สองของเจ้า หัวหน้าและรองหัวหน้าของสำนักดาราศาสตร์จึงได้ทำนายดวงให้สวีซื่อฉินกับฟังซื่อ ผลทำนายออกมาเหมือนกัน บอกว่าฉินเกอมีดวงชะตาขาดแคลนธาตุไม้ ช่วงอายุสามสิบถึงสามสิบสี่จะมีอุปสรรค หากไม่ระวังจะตกลงไปในดาวสุ่ยกวน ต้องการคนที่มีธาตุดินมากเพื่อช่วยกำบังให้ ฟังซื่อไม่เพียงแต่มีธาตุดินมากเท่านั้น ทั้งยังมีธาตุทองอีกด้วย ทองเริ่มมาจากดิน นางกับฉินเกอมีดวงสมพงษ์กัน ไม่เพียงแต่จะส่งเสริมสามีเท่านั้น ซ้ำยังส่งเสริมบุตรด้วย” ไท่ฮูหยินมองสืออีเหนียง ท่าทางทอดถอนใจ “ดูเหมือนว่าเจ้าจะพูดถูกแล้ว ฟังซื่อผู้นี้เกิดมาเพื่อคู่กับฉินเกอของพวกเรา” พูดจบไท่ฮูหยินก็ทำสีหน้าจริงจัง “คราวนี้ก็เพียงแค่รอข่าวจากเจ้าสี่แล้ว!”
ในเมื่อเชื่อการทำนายของสำนักดาราศาสตร์ แล้วเหตุใดยังต้องรอผลการตรวจสอบจากหูโจว เพราะสุดท้ายไท่ฮูหยินก็เชื่อในความเป็นจริงมากกว่า การทำนายดวงเหล่านี้ก็เพียงแค่เป็นการปลอบโยนตัวเองเท่านั้น
ในเวลานี้สืออีเหนียงได้แต่หวังว่าฟังซื่อจะไม่โกหก ใช้ความซื่อสัตย์เพื่อตั้งหลักอยู่ในจวนนี้ด้วยความจริงใจ
“ท่านโหวบอกว่าอย่างมากก็ต้องรอกว่าครึ่งเดือนถึงจะมีข่าวจากทางหูโจวเจ้าค่ะ” นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านแม่อย่ากังวลไปเลย ไปไหว้พระที่วัดเย่าหวัง แค่พริบตาเดียวก็ถึงครึ่งเดือนแล้ว”
ไท่ฮูหยินพยักหน้าเล็กน้อย กำชับสืออีเหนียง “ทางฝั่งสกุลฟังจะละเลยไม่ได้ อย่างไรก็ต้องให้ผู้อาวุโสสกุลฟังพาทั่นฮวามาขอขมา!”
สืออีเหนียงขานรับ “เจ้าค่ะ”
ป้าตู้เดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม เมื่อเห็นว่าบรรยากาศค่อนข้างจริงจังจึงพูดหยอกล้อว่า “นี่ก็ใกล้จะเที่ยงแล้ว ท่านนั่งอบรมลูกสะใภ้ไม่รู้จักเหน็ดจักเหนื่อย แต่น่าสงสารฮูหยินของพวกเราทั้งสองท่าน เกรงว่าจะยืนจนขาแข็งแล้วเจ้าค่ะ” จากนั้นก็พูดกับสืออีเหนียงและฮูหยินสองว่า “สองวันก่อนฮองเฮาประทานสมุนไพรเง็กเต็กชั้นดีมา วันนี้ห้องครัวเลยทำไก่ดำตุ๋นเง็กเต็ก ฮูหยินทั้งสองท่านจะยืนโดยเปล่าประโยชน์ไม่ได้ อย่างไรเสียก็ต้องดื่มน้ำแกงสักชามก่อนแล้วค่อยไปเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสองกับสืออีเหนียงพากันยิ้ม
ไท่ฮูหยินกลับชี้ไปที่ป้าตู้แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “สบโอกาสของเจ้าจริงๆ เอาของของข้าไปเอาใจอี๋เจินกับสืออีเหนียง!”
“เพราะว่าของของท่านนั้นเป็นของดี ถึงจะเอาใจฮูหยินทั้งสองท่านได้เจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ พูดกับสืออีเหนียง “พาจิ่นเกอมาด้วย วันนี้ข้ายังไม่เห็นจิ่นเกอเลย”
สืออีเหนียงยิ้มพลางให้จู๋เซียงไปอุ้มจิ่นเกอมา อีกทั้งยังบอกให้จิ่นเกอเรียก ‘ท่านป้าสอง’
ฮูหยินสองยิ้มพลางพยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “เหมือนว่าจะสูงขึ้นอยู่ไม่น้อย”
เมื่อจิ่นเกอเห็นท่าทางเย็นชาของฮูหยินสองจึงรีบซุกเข้าไปในอ้อมแขนของไท่ฮูหยินแล้วเอ่ยเรียก “ท่านย่า ท่านย่า”
ไท่ฮูหยินดีใจอย่างมาก รีบให้อวี้ป่านไปนำขนมกุหลาบเคลือบน้ำตาลที่ในวังพระราชทานให้มา แล้วพูดกับฮูหยินสองว่า “เจ้าคงไม่รู้ แต่ละมื้อเขากินข้าวได้หนึ่งชาม ตั้งแต่คลอดออกมาจนถึงตอนนี้ยังไม่เคยได้ไปเชิญหมอหลวงมาเลย” ไม่ได้สนใจว่าตอนที่จิ่นเกอคลอดออกมานั้นทรมานคนอื่นมากแค่ไหน “หากไม่ใช่เพราะหย่านม ตอนนี้คงจะสูงมากกว่านี้” ขณะที่ไท่ฮูหยินพูดน้ำเสียงก็ดูเศร้าเล็กน้อย
เดิมทีสืออีเหนียงเตรียมจะให้จิ่นเกอหย่านมตอนครบสิบเดือน เนื่องจากการคัดค้านของไท่ฮูหยิน สุดท้ายก็ล่าช้ามาจนครบหนึ่งปี โชคดีที่สืออีเหนียงกระตือรือร้นเตรียมอาหารให้จิ่นเกอ แม้ว่าหลังจากที่จิ่นเกอหย่านมแล้วจะผอมลงมาก แต่ก็กระฉับกระเฉงขึ้น ไท่ฮูหยินจึงไม่ได้พูดอะไรมาก มิเช่นนั้นเรื่องที่ให้จิ่นเกอหย่านมจะราบรื่นเช่นนี้ได้อย่างไร
บางทีอาจจะไม่ใช่หัวข้อสนทนาที่ฮูหยินสองถนัด นางเพียงแต่ยิ้มไม่ได้พูดอะไร
อวี้ป่านนำขนมกุหลาบเคลือบน้ำตาลมา
สืออีเหนียงยิ้มพลางรับมา “ข้าจะช่วยเก็บให้จิ่นเกอเอง รอให้เขาทานข้าวแล้วค่อยทานขนมกุหลาบเคลือบน้ำตาลเจ้าค่ะ!” ปฏิเสธรางวัลของไท่ฮูหยินอย่างอ้อมค้อม
ป้าตู้เห็นดังนั้นก็รีบพูดขึ้นมาว่า “ไท่ฮูหยินมีโหลเครื่องลายครามเล็กๆ หลายโหล เหมาะสำหรับใส่ขนมกุหลาบเคลือบน้ำตาลนี้พอดี คุณชายน้อยหกจะต้องชื่นชอบมากแน่ๆ เจ้าค่ะ” หัวข้อสนทนาตกไปอยู่ที่จิ่นเกอ ไท่ฮูหยินชอบเก็บสะสมสิ่งของสวยงามเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้น ไม่รู้ว่าทำไมแต่จิ่นเกอเองก็ชอบเช่นกัน พอเห็นก็อยากจะเอามาเป็นของตัวเอง ดังนั้นไท่ฮูหยินจึงชมว่าจิ่นเกอฉลาดอยู่บ่อยๆ บอกว่าจิ่นเกอเหมือนกับนาง รู้ว่าอะไรคือของดีและไม่ดีมาตั้งแต่เกิด จึงทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ ขอเพียงแค่เป็นสิ่งที่จิ่นเกอชอบ นางก็จะมอบให้เขา
เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินป้าตู้พูดเช่นนี้ก็หัวเราะขึ้นมา
ป้าตู้อาศัยโอกาสนี้ให้สาวใช้น้อยจัดโต๊ะอาหาร “เดี๋ยวคุณชายน้อยหกของพวกเราจะหิวเอาได้เจ้าค่ะ!”
ไท่ฮูหยินลูบศีรษะจิ่นเกอด้วยความเอ็นดู ยิ้มอย่างเมตตา
ฮูหยินสองมองไปที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า อดเหลือบมองไปที่สืออีเหนียงไม่ได้ พอกลับไปแล้วก็พูดกับเจี๋ยเซียงอย่างครุ่นคิดว่า “ข้าคิดว่าสืออีเหนียงจะรู้จักแต่เชื่อฟังเท่านั้น คิดไม่ถึงว่านางจะมีช่วงที่ดึงดันเช่นกัน”
เจี๋ยเซียงที่นั่งเย็บพื้นรองเท้าอยู่ข้างเตียง ได้ยินดังนั้นก็ยิ้มพลางเงยหน้าขึ้นมาแล้วพูดว่า “คนเป็นแม่ต่างก็รักลูกกันทั้งนั้น ต่อให้ฮูหยินสี่จะเชื่อฟังมากแค่ไหน หากเป็นเรื่องลูกเกรงว่าก็จะดึงความกล้าออกมาเจ้าค่ะ”
ฮูหยินสองนึกถึงท่าทางที่จิ่นเกอใช้ช้อนตักอาหารใส่ปากด้วยตัวเองก็อดยิ้มไม่ได้ “เด็กคนนั้นทำให้คนหลงได้จริงๆ!”
เจี๋ยเซียงพูดด้วยรอยยิ้ม “หากท่านชอบก็เรียกคุณชายน้อยหกมาเล่นที่นี่สิเจ้าคะ!”
ฮูหยินสองกลับส่ายหน้า “ไม่ต้องหรอก!” จากนั้นก็นอนลง “ข้าจะนอนแล้ว”
เจี๋ยเซียงวางเข็มกับด้ายในมือลง ย้ายโคมไฟ แล้วไปพักผ่อนอยู่ที่เตียงไม้ข้างๆ
ในห้องเงียบสงบ หลังจากนั้นไม่นานเจี๋ยเซียงก็เริ่มรู้สึกง่วง แต่หูกลับได้ยินเสียงพูดพึมพำของฮูหยินสอง “เจ้าว่าถ้าตอนนั้นข้าดึงดันให้คุณชายสองรับอนุภรรยา คุณชายสองจะยังคงมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้หรือไม่”
เจี๋ยเซียงตกใจลุกขึ้นนั่ง “ฮูหยินสองเจ้าคะ!” ฮูหยินสองพลิกตัวหันไปทางด้านในเตียง “รีบนอนเถิด!พรุ่งนี้เจ้าไปหาตำราทำนายดวงชะตาจิงโจวมา ข้าจะคัดลอกให้หัวหน้าสำนักดาราศาสตร์หนึ่งชุด”
ตำราทำนายดวงชะตาจิงโจวเป็นหนังสือเกี่ยวกับการดูตำแหน่งดวงดาวฉบับโบราณเพียงเล่มเดียว ล้ำค่าอย่างมาก หลายคนไม่เคยได้ยินแม้แต่ชื่อ ฮูหยินสองหวงแหนไม่น้อย เก็บไว้ในกล่องไม้การบูร เหตุใดจู่ๆ ถึงได้อยากนำหนังสือเล่มนี้ออกมา ซ้ำยังคัดลอกให้คนอื่นอีก?
เจี๋ยเซียงประหลาดใจเล็กน้อย รอยยิ้มอ่อนโยนของคุณชายสองพลันปรากฏขึ้นในหัว ในใจเริ่มสับสนเล็กน้อย
แต่นางขี้เกียจซักถาม จึงขานรับเสียงเบาว่า “เจ้าค่ะ”
******
ในเวลานี้สืออีเหนียงกลับมองสวีลิ่งอี๋ด้วยความประหลาดใจ “ไม่บอกท่านแม่? เช่นนี้เหมาะสมหรือ ไม่ช้าก็เร็วท่านก็ต้องรู้อยู่ดี”
“ก็ไม่ใช่ว่าไม่บอก” สวีลิ่งอี๋ถอนหายใจยาว “แค่ยังไม่บอกเป็นการชั่วคราว หาเหตุผลไปก่อนว่าตั้งแต่พี่สามไปถึงซานหยางก็ปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมที่นั่นไม่ได้มาตลอด ตอนนี้ร่างกายรับไม่ไหวแล้วจริงๆ จึงได้ลาออกจากตำแหน่งแล้วกลับมา ท่านแม่จะได้เตรียมใจเอาไว้ หากท่านแม่รู้ว่าพี่สามกลับมาเช่นนี้ ข้ากลัวว่าท่านจะโกรธมากจนทนไม่ไหว!”