ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 55 เรื่องงานแต่ง (กลาง)
“เพราะเราส่งโสมไปเมื่อเช้านี้ คุณหนูใหญ่จึงส่งของมาตอบแทนเจ้าค่ะ” ป้าสวี่กล่าวเอาใจนายหญิงใหญ่โดยการไปเชิญป้าเถามาด้วยตัวเอง
ป้าเถาได้นำขนมมาสองสามกล่องด้วย นางกล่าวทักทายนายหญิงใหญ่ด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “คุณหนูใหญ่ฝากขอบคุณโสมที่นายหญิงใหญ่มอบให้เจ้าค่ะ”
ป้าสวี่รับกล่องขนมมา แล้วจึงนำไปใส่จานที่ห้องรอง เพราะจงใจที่จะหลีกเลี่ยง
ป้าเถาจึงรีบฉวยโอกาสพูดขึ้นเสียงเบาว่า “คุณหนูใหญ่บอกว่าฮูหยินสกุลเจียงได้กลับเมืองเยี่ยนจิงตั้งแต่เช้าแล้ว ให้ท่านพาเหล่าคุณหนูไปจุดธูปไหว้พระที่วัดฮู่กั๋วเจ้าค่ะ”
จะให้เจอหน้ากันแล้วกระมัง
นายหญิงใหญ่มีความมั่นใจในรูปลักษณ์ของบุตรสาวอนุของนางเป็นอย่างมาก นางพยักหน้าเบาๆ “ข้าเข้าใจแล้ว!”
เมื่อป้าเถาลุล่วงเป้าหมายแล้ว คุยต่อไม่นานก็ขอตัวลากลับ “…หลายวันมานี้ คุณหนูใหญ่มีเรื่องให้ต้องวุ่นวายค่อนข้างเยอะเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่เข้าใจเป็นอย่างดี จึงไม่ได้ให้นางอยู่ต่อ และได้ให้รางวัลไปยี่สิบตำลึงก่อนนางกลับ เมื่อป้าสวี่กลับมา นายหญิงใหญ่ก็ได้สั่งกับนางว่า “พรุ่งนี้พาคุณหนูทั้งสามคนไปจุดธูปไหว้พระที่วัดฮู่กั๋ว เจ้าไปบอกคุณนายใหญ่สักคำ”
ป้าสวี่รับคำสั่งแล้วรีบไปทันที
แต่ตอนที่กลับมารายงานนั้นก็เอาแต่อมยิ้ม “…สหายของคุณชายใหญ่ผู้นั้นน่าสนใจยิ่งนัก ได้ยินว่าพรุ่งนี้เราจะไปที่วัดฮู่กั๋ว ก็รีบร้อนพูดว่าจะไปกับเราด้วย ยังบอกว่า ทานข้าวบ้านเรามาหลายมื้อ ช่วยอย่างอื่นไม่ได้ แต่สามารถช่วยนำทางได้ หากรู้ทิศทางก็ดีไม่น้อยเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่ได้ยินก็ยกยิ้มขึ้นมา “ช่างมีน้ำใจเสียจริง อาจเป็นคนประจบสอพลอหรือไม่”
“คุณชายเฉียนผู้นั้นสง่าผ่าเผยไม่น้อย” ป้าสวี่ยิ้มพร้อมกับพูดคำว่า “ติดแค่ตรงสายตาคู่นั้น ดูค่อนข้างวอกแว่กไปเสียหน่อย ไม่สุขุมเท่าซิ่งเกอของเรา”
ทั้งสองพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้นั่งคำนวณบัญชีต่อ
*****
ไท่ฮูหยินสกุลสวีพึ่งหย่อนตัวนั่งลง ในมือถือถ้วยชาที่ยังไม่ทันดื่ม สวีลิ่งอี๋ก็ได้เข้ามา
ไท่ฮูหยินมองถ้วยชาในมืออยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงหันไปมองบุตรชายของตนที่อยู่ข้างหน้า อดไม่ได้ที่จะยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หลายปีแล้วที่ไม่เห็นเจ้ากระตือรือร้นเช่นนี้”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มขึ้นเล็กน้อย
ไท่ฮูหยินก็ได้หันไปสั่งกับสาวใช้ที่ยืนอยู่ข้างๆ ว่า “ข้ามีเรื่องจะคุยกับท่านโหว!”
เหล่าบรรดาสาวใช้ย่อตัวถอนสายบัวขานรับ “เจ้าค่ะ” แล้วจึงพากันถอยออกไป
ไท่ฮูหยินหันมาแซวบุตรชายของตนว่า “เจ้าบอกเองไม่ใช่หรือ ว่าเช้าวันนี้หากบ้านสกุลเจียงไม่ส่งจดหมายตอบก็ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเกี่ยวดองอีก แล้วนี่เป็นอะไรไป กลัวว่าข้าจะทำเรื่องพังหรือ”
“ดูท่านพูดเข้าสิ” สวีลิ่งอี๋ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หวงฮูหยินเป็นพี่น้องที่ร่วมเติบโตของท่าน ไม่ว่าเรื่องอะไรท่านก็มักจะพูดคุยปรึกษากับนางอยู่เสมอ เรื่องเกี่ยวกับเรือนของเรานางก็คุ้นเคยเป็นอย่างดี ฉะนั้นเราจึงได้เชิญนางไปออกหน้าช่วยคุยเรื่องของจุนเกอ ข้าจะไม่วางใจได้อย่างไรเล่า ข้าก็เพียงแต่เห็นว่าท่านพึ่งจะกลับมาเวลานี้ จึงตั้งใจมาดูเสียหน่อย”
“ถือว่าเจ้าก็พอจะมีความกตัญญูอยู่บ้าง” ไท่ฮูหยินพยักหน้าเล็กน้อย “หวงฮูหยินจะให้ข้าอยู่เล่นไพ่นกกระจอกที่นั่น แต่ข้ามีเรื่องไม่ค่อยสบายใจ ก็เลยกลับมาก่อน”
สวีลิ่งอี๋อึ้งไปเล็กน้อย หันไปสังเกตสีหน้าแววตาท่านแม่ของเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน “เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือ”
“เจ้าลองทายดูสิ ว่าข้าเจอใครที่จวนหย่งชังโหว” ไท่ฮูหยินยิ้มขึ้นพร้อมกับหันไปมองหน้าของบุตรชาย
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงตอบกลับด้วยความลังเลว่า “ไปเจอกับคนของสกุลเจียงหรือ”
สีหน้าแววตาของไท่ฮูหยินผิดหวังไปเล็กน้อย “เด็กคนนี้นี่ จริงๆ เลย…ซื่อตรงเกินไป! จะไม่ให้ข้าได้ดีใจสักหน่อยเลยหรือ”
แววตาของสวีลิ่งอี๋ลุกโชนขึ้นมาทันที “เช่นนี้ ท่านเจอคนสกุลเจียงที่จวนหย่งชังโหว คนสกุลเจียงส่งคนไปพบท่านหรือ เป็นฮูหยินเจียงหรือท่านป้า”
“ไม่ใช่ทั้งคู่” ไท่ฮูหยินส่ายหน้าเบาๆ “เป็นแขกสูงศักดิ์ท่านหนึ่งของบ้านสกุลเจียง แซ่ลู่”
แววตาของสวีลิ่งอี๋เผยความชื่นชมออกมา “นึกไม่ถึงเลยว่าเจียงไป่จะมีวิธีการเช่นนี้”
ไม่ให้คนอื่นพูดแทนตัวเองโดยตรง แต่กลับให้ที่ปรึกษาของที่บ้านอาศัยจังหวะในขณะที่ไท่ฮูหยินไปเยี่ยมเยียนจวนหย่งชังโหว หนึ่งคือแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญเกี่ยวกับเรื่องหมั้นหมาย สองคือฉวยโอกาสเพื่อต้องการจะบอกว่าบ้านสกุลเจียงของตนแข็งแกร่งเพียงพอที่จะเทียบเท่ากับทางตระกูลของเรา
อย่างไรก็ตาม การแสดงออกเช่นนี้ ก็แสดงว่าทางฝั่งนั้นต้องการที่จะเจรจาเงื่อนไขแล้ว!
เขายิ้มขึ้นอย่างพอใจ
มีมิตรสหายเช่นนี้ จะไม่ให้ดีใจได้อย่างไรเล่า!
“ทางบ้านสกุลเจียงว่าอย่างไรบ้าง”
ไท่ฮูหยินเห็นสีหน้าท่าทีที่พอใจของเขา ก็อดที่จะประชดไม่ได้ “ท่านลู่ผู้นั้นได้บอกแล้ว ว่าถึงแม้เจียงไป่ต้องการที่จะเกี่ยวดองกับทางตระกูลเรา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังเป็นท่านลุง จึงยังต้องปรึกษากับทางเจียงซง”
“ก็ควรเป็นเช่นนั้น” สวีลิ่งอี๋ไม่ได้ใส่ใจอะไรมาก “หลายปีมานี้บ้านสกุลเจียงห่างไกลจากวงสังคมค่อนข้างมาก คนที่ได้ทำงานในราชสำนักก็มีแต่เจียงไป่คนเดียวเท่านั้น เขาเอ่ยปากจะเกี่ยวดองกับทางเรา แน่นอนว่าจะต้องสร้างความโกลาหลวุ่นวายในบ้านสกุลเจียงไม่น้อย เราจึงต้องให้เวลาพวกเขาสักหน่อย เจียงซงก็ด้วย ปีนั้นเขาทิ้งตำแหน่งแล้วเดินทางจากไป ต้องมีเรื่องไม่พอใจในราชสำนักอย่างแน่นอน ตอนนี้จะให้บุตรสาวของตัวเองแต่งเข้าตระกูลเรา เกรงว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเท่าไรนัก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมาพูดคุยเจรจาอยู่ดี ข้าพอใจในปฏิกิริยาตอบสนองของเจียงไป่ยิ่งนัก อย่างน้อยก็แสดงให้เราได้เห็น ส่วนเรื่องจะสำเร็จหรือไม่ ก็ต้องรอดูความสามารถของพวกเขาแล้ว หากเขาสามารถโน้มน้าวคนในบ้านสกุลเจียงได้ ข้าเองก็รู้สึกดีใจไม่น้อย แต่หากเขาไม่สามารถที่จะโน้มน้าวคนในบ้านสกุลเจียงได้ ข้าเองก็ถือว่าได้ให้โอกาสเขาแล้ว”
เขาพูดจาฉะฉาน น้ำเสียงอ่อนโยน สีหน้าสงบสุขุม หว่างคิ้วเผยให้เห็นถึงความมั่นคงสงบนิ่ง พลอยทำให้ไท่ฮูหยินอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “บ้านสกุลเจียงจะเล่นลูกไม้กับเจ้าได้อย่างไรกัน”
สวีลิ่งอี๋อึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็ได้หัวเราะเสียงดังลั่น “ท่านแม่ ท่านประเมินบ้านสกุลเจียงต่ำไปเสียแล้ว ท่านอย่าลืมว่าบ้านสกุลเจียงพึ่งพาสิ่งใดเพื่อก่อตั้งรากฐาน ราชครูที่กล่าวถึงกัน จะว่าไปแล้ว ก็เป็นเพียงแค่ขุนนางที่กุมอำนาจเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะเจียงไป่เป็นมหาบัณฑิตที่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้ดูแลสำนักศึกษายาวนานถึงสิบสี่ปี และหากไม่ใช่เพราะหนึ่งในองค์ชายทั้งเจ็ดของฝ่าบาทเป็นฮองเฮาเองที่ให้กำเนิด เจียงไป่จะตัดสินใจต่อสู้อีกครั้งได้อย่างไรกันเล่า ”
“ข้ารู้” ไท่ฮูหยินตอบกลับด้วยสีหน้าที่จริงจัง “ข้ากำลังคิดว่า บ้านสกุลเจียงพยายามยืนหยัดตำแหน่งในราชสำนักมาโดยตลอด ตอนนี้ยังต้องการจะเกี่ยวดองกับทางตระกูลเรา ภายภาคหน้าคงหนีไม่พ้นการถูกไหว้วานหลังม่านของราชสำนัก บ้านสกุลเจียงลงทุนลงแรงทุ่มเทถึงเพียงนี้ ถึงเวลานั้นเกรงว่าอาจจะมาขอตำแหน่งขุนนางก็เป็นได้ กลัวแต่ว่าเราจะแบกรับไม่ไหวน่ะสิ!”
“มีอะไรจะรับผิดชอบไม่ไหวกัน!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มขึ้น “อยากจะกลับไปเป็นราชครูอีกหรือ เฉกเช่นวันนี้ ฮ่องเต้มีองค์ชายถึงเจ็ดพระองค์ ใครจะไปรู้ว่าข่าวดีจะตกที่บ้านไหน และถึงแม้ว่าข้าเองจะเป็นคนต้องการ เขาก็ไม่กล้าหรอก อยากเข้าสู่ราชสำนัก? แค่ปฏิกิริยาท่าทีที่เขาแสดงออกต่อเรื่องงานแต่งของจุนเกอ ก็เพียงพอแล้ว ข้าก็แค่แนะนำเขา ส่วนทางราชสำนักจะรับหรือไม่รับนั่นก็อีกเรื่อง!”
ไท่ฮูหยินที่เงียบมาตลอด อดไม่ได้ที่จะพูดขึ้นว่า “หากเป็นเช่นนี้ เจียงไป่ก็คงทำการลงทุนที่ขาดทุนเสียแล้ว”
“ก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป” สวีลิ่งอี๋ยิ้มขึ้นพร้อมกับพูดขึ้นว่า “หลายปีก่อน ฮ่องเต้องค์ก่อนชื่นชอบขุนนางข้าราชบริพารที่ประจบสอพลอ เขาเป็นลูกของบ้านสกุลเจียง จะทำเรื่องเช่นนี้ออกมาได้อย่างไรกัน ฉะนั้นทุกครั้งที่ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงเรียกเข้าเฝ้า เขามักจะกระทำตรงข้ามกับผู้อื่นเสมอ ปั้นหน้าเข้มทูลปรัชญากับฮ่องเต้องค์ก่อน เมื่อเวลาผ่านไปนานวัน ใครต่อใครก็รู้ว่าเจียงไป่เป็นสุภาพบุรุษผู้สัตย์ซื่อที่กล้าพูดจากล่าวตักเตือนองค์ฮ่องเต้ ดังนั้นเมื่อองค์ฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์แล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะมีใจที่จะประจบสอพลอ ชื่อเสียงที่แพร่ออกไป…แล้วยังมาเกี่ยวดองกับตระกูลของเรา เท่ากับได้เกราะป้องกันอย่างหนึ่ง อีกทั้งยังได้โอกาสในการเปลี่ยนแปลงไปในตัวด้วย ระดับความสามารถของเขา วันที่ประสบความสำเร็จก็ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว หากนำมาเปรียบเทียบกัน เป็นเรามากกว่าที่ขาดทุนเสียเปรียบ”
ไท่ฮูหยินฟังแล้วก็ได้ส่ายหน้าเบาๆ “ชายเฉกเช่นพวกเจ้า คิดการกว้างไกลรอบด้าน แต่กลับเพิกเฉยต่อความรู้สึกของคนข้างกาย!”
สวีลิ่งอี๋นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ
“ก่อนที่ข้าจะไปที่จวนหย่งผิงโหว ข้าได้แวะไปเยี่ยมหยวนเหนียง” น้ำเสียงของไท่ฮูหยินที่ฟังดูไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก “ไม่ว่าอย่างไรนางก็เป็นมารดาของจุนเกอ ข้าคิดว่าเรื่องนี้ควรต้องคุยกับนางด้วย…”
“ท่านแม่” สวีลิ่งอี๋ตัดบทสนทนาของไท่ฮูหยินอย่างเสียมารยาท “ท่านพูดเรื่องนี้กับนางได้อย่างไรกัน ท่านรู้จักนิสัยใจคอของนางดี นางตั้งตัวเองเป็นหลักไม่เคยมองเห็นผู้อื่นในสายตา…” พึ่งพูดจบ ก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ควรพูด จึงได้ขมวดคิ้วขึ้นด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด ถามมารดาว่า “ท่านบอกความประสงค์ของข้ากับนางไปแล้วหรือ”
“เปล่า!” ไท่ฮูหยินมองบุตรชายของตนที่โมโหฉุนเฉียว จึงรู้สึกไม่ค่อยชอบใจเท่าไรนัก “ข้าเพียงแค่ลองใจนาง ดูว่านางจะสามารถเปลี่ยนความคิดได้หรือไม่”
สวีลิ่งอี๋เห็นมารดาสีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไรนัก และรู้ตัวว่าตัวเองได้เสียมารยาทไป จึงรีบเปลี่ยนเรื่องคุยทันควัน “ท่านแม่ ถึงแม้ว่าหวงฮูหยินจะสนิทกับท่านมาก แต่เราไปรบกวนนางอย่างนี้ สิ่งที่ควรตอบแทนก็ควรทำตามมารยาท ท่านว่าอย่างนี้ดีหรือไม่ วันไหนท่านว่างก็ไปไถ่ถามหวงฮูหยิน การขนส่งเกลือฝั่งซานตงขาดทูตคลังเกลือหนึ่งตำแหน่ง ถึงแม้ว่าไม่ใช่ระดับสูง แต่การขนส่งเข้าออกจะต้องผ่านการตรวจสอบจากทูตคลังเกลือเสียก่อน จึงค่อนข้างสำคัญไม่น้อย ดูว่าทางบ้านนางมีคนที่เหมาะสมหรือไม่ ข้าจะได้บอกกล่าวกับทางกระทรวงยุติธรรมสักคำ”
“เจ้าตบหัวแล้วลูบหลังหรือ” ไท่ฮูหยินก็ยิ้มขึ้นมา “เจ้าวางใจเถิด หวงฮูหยินไม่ออกไปเล่าไปทั่วหรอก แต่ในเมื่อเจ้ามีใจ ข้าก็จะนำคำพูดเจ้าไปบอกนาง” เมื่อพูดจบ สีหน้าของนางก็ดูจริงจังขึ้นมาทันที “ในเมื่อเจ้ามีความสามารถเช่นนี้ ทำไมถึงไม่หาตำแหน่งให้พ่อตาของเจ้าเข้าไปทำบ้าง จะว่าไปแล้ว บ้านสกุลหลัวก็ถือว่ามีบุญคุณต่อเราไม่น้อย อีกทั้งยังเป็นญาติพี่น้องกัน ให้ผู้อื่นเอาไปพูด น่าฟังเสียที่ไหน”
สวีลิ่งอี๋อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วขึ้นมา “ท่านแม่ เรื่องนี้ท่านก็อย่างยุ่งเลย ข้ารู้ว่าควรต้องทำอย่างไร”
“เจ้ากลัวว่าหากหยวนเหนียงมีความคิดเห็นอะไรขึ้นมา ก็จะเอาเรื่องนี้ไปเป็นข้ออ้างกับนางล่ะสิ” ไท่ฮูหยินพูดออกไปตรงๆ อย่างไม่อ้อมค้อม “เจ้ากับนางจะเล่นสงครามประสาทอะไรข้าไม่สนใจ แต่เรื่องเกี่ยวกับพ่อตาของเจ้า จะมาซี้ซั้วไม่ได้ ถ้าเจ้าไม่ยอมออกหน้า ข้าจะออกหน้าเอง!” สีหน้าของไท่ฮูหยินเต็มไปด้วยความไม่ยอมแพ้หากเขาไม่ยอมตอบตกลง
“เรื่องบางเรื่องท่านก็ไม่เข้าใจ” สวีลิ่งอี๋ส่ายหน้าอย่างจนใจ “ฝ่าบาททรงยอมรับคำแนะนำของเฉินเก๋อเหล่าแล้ว กำลังเตรียมจะร่างค่าภาษีชาฉบับใหม่ ที่ผ่านมาพ่อตาคอยต่อต้านความคิดการเก็บภาษีชาของเฉินเก๋อเหล่ามาโดยตลอด…และนี่ยังเป็นความประสงค์ของฝ่าบาทอีกด้วย รอให้ผ่านพ้นช่วงนี้ไปก่อน ข้าจะกราบทูลฝ่าบาทเอง ท่านอย่าได้ยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องโดยเด็ดขาด”
“แล้วเจ้าบอกเรื่องนี้กับทางนายท่านญาติฝั่งหญิงแล้วหรือยัง” เรื่องนี้เป็นที่น่าแปลกใจของไท่ฮูหยินไม่น้อย แต่เมื่อเห็นว่าบุตรชายของตนไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องนี้สักเท่าไรนัก นางจึงพูดขึ้นว่า “เจ้าควรที่จะไปคุยเรื่องนี้กับทางพ่อตาของเจ้าให้กระจ่าง เขาจะได้เข้าใจ วันข้างหน้าจะได้รู้ว่าสิ่งไหนควรพูด สิ่งไหนไม่ควรพูด”
“ข้าจะไม่พูดได้อย่างไร” สวีลิ่งอี๋พูดขึ้น “พ่อตากลับพูดเหตุผลกับข้ามากมาย บอกว่าวิธีการของเฉินเก๋อเหล่าไม่ถูกไม่ควร เป็นการทำให้ราษฎรสูญเงินโดยเปล่าประโยชน์…ข้าจึงไม่สามารถพูดถึงเหตุผลเบื้องลึกได้ จึงทำได้เพียงแค่พักไว้ก่อนเท่านั้น”
“แล้วเจ้าได้พูดเรื่องนี้กับหยวนเหนียงแล้วหรือยัง” ไท่ฮูหยินพูดขึ้นอย่างใคร่ครวญว่า “ให้หยวนเหนียงเป็นคนไปโน้มน้าวพ่อตาของเจ้า…เขาเป็นพ่อลูกกัน ไม่ว่าอย่างไรก็คงคุยง่ายกว่าเจ้า”
“มีอะไรให้น่าพูดกัน” สวีลิ่งอี๋ไม่ได้คิดเช่นนั้น “ไม่แน่บางทีนางอาจจะคิดว่านี่คือข้ออ้างที่ข้าไม่อยากจะช่วยผลักดันท่านพ่อของนาง ความคิดทางการเมืองแตกต่างกันมากมาย ความคิดเห็นไม่ตรงกันก็เป็นขุนนางไม่ได้อย่างนั้นหรือ ก็แสดงว่าข้าไม่อยากขายหน้า จึงไม่ได้พยายามร้องขออย่างตั้งใจ ไม่อย่างนั้นท่านกั๋วจิ้วที่สง่าผ่าเผย แม้แต่เรื่องนี้ก็ทำไม่ได้ได้อย่างไรกัน” เขาทิ้งท้ายประโยคด้วยน้ำเสียงที่เย้ยหยันและประชดประชัน
เมื่อไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เงียบไปไม่พูดจา ท้ายที่สุดก็ส่ายหน้าเบาๆ แล้วจึงถอนลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่