ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 54 เรื่องงานแต่ง (ต้น)
“อยู่ อยู่!” ตงชิงรีบเข้าไปแจ้งสืออีเหนียงโดยทันที
สืออีเหนียงจึงได้ให้หู่พั่วอยู่เลือกเครื่องประดับเป็นเพื่อนสือเหนียง ส่วนตัวนางเองก็ไปเปลี่ยนชุดใหม่แล้วจึงไปเข้าพบนายหญิงใหญ่
เมื่อเข้าไปในลานสวนเล็ก ก็เจอเข้ากับป้าสวี่
ป้าสวี่ได้กล่าวทักทายนางอย่างเป็นมิตร “ท่านมาพบนายหญิงใหญ่หรือเจ้าคะ”
“ใช่!” สืออีเหนียงทักทายกลับอย่างยิ้มแย้ม “ท่านกำลังยุ่งอยู่หรือ”
นี่เป็นเพียงบทสนทนาสุภาพทั่วไปเท่านั้น แต่จู่ๆ ป้าสวี่ก็ยกสิ่งของในมือขึ้นมา “นายหญิงใหญ่ให้บ่าวนำโสมร้อยปีในห้องเก็บของไปส่งให้คุณหนูใหญ่เจ้าค่ะ”
เมื่อวานเกิดเรื่องขึ้นมากมายขนาดนั้น นายหญิงใหญ่ก็คงจะกังวลไม่น้อย
สืออีเหนียงยิ้มให้กับป้าสวี่ จากนั้นก็เปิดม่านเข้าไปด้านในของห้องโถง
นายท่านใหญ่ไม่อยู่ นายหญิงใหญ่นั่งทานข้าวคนเดียว ด้านหน้ามีข้าวต้มวางอยู่หนึ่งถ้วย บนโต๊ะมีกับข้าวอยู่สี่ห้าอย่าง
“กินข้าวแล้วหรือยัง” นายหญิงใหญ่พูดขึ้นด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน ไม่รอให้สืออีเหนียงได้ตอบกลับ นางก็ได้หันไปสั่งซานหูที่อยู่ข้างๆ ว่า “ไปเตรียมถ้วยตะเกียบให้คุณหนูสิบเอ็ด”
สืออีเหนียงทานเสร็จเรียบร้อยแล้ว…แต่นางก็ไม่สามารถปฏิเสธคำเชื้อเชิญของผู้ใหญ่ได้
จึงกล่าวขอบคุณด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มพร้อมกับนั่งลง ซานหูตักข้าวต้มให้นางราวครึ่งถ้วยเล็ก
การมีความสัมพันธ์ที่ดีย่อมกระทำการได้ง่าย หู่พั่วและซานหูเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ซานหูจึงดูแลคนในเรือนสืออีเหนียงเป็นอย่างดี เพราะรู้ว่าสืออีเหนียงทานข้าวเช้ามาแล้ว จึงตักข้าวต้มให้เพียงครึ่งถ้วยเท่านั้น เพื่อทำตามความประสงค์ของนายหญิงใหญ่ และเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาทเพราะทานไม่หมด
สืออีเหนียงส่งยิ้มขอบใจให้กับซานหู
เมื่อซานหูรู้ว่าสืออีเหนียงเข้าใจในความตั้งใจของตัวเอง จึงได้ยิ้มตอบกลับไป
ทุกคนต่างทานข้าวด้วยความเงียบเชียบ สืออีเหนียงได้ตามฮูหยินไปยังห้องเตียงเตาที่ติดกับหน้าต่างทางทิศตะวันตก
นายหญิงใหญ่บ่นขึ้นว่า “จะเป็นเตียงก็ไม่เป็น จะเรียกที่นั่งก็ไม่ใช่ หาอะไรมาปูนั่งก็ร้อน ไม่ปูเลยก็แข็ง…เตียงปาปู้ เตียงหลัวฮั่นของเราดีที่สุดแล้ว”
สืออีเหนียงประคองนายหญิงใหญ่ขึ้นไปนั่งบนเตียงเตา เปิดบานหน้าต่างออกครึ่งบาน ลมเย็นสดชื่นที่เต็มไปด้วยกลิ่นฝนแห่งวสันตฤดูพัดโชยกระทบลงบนผิวหน้า
“ข้าทำที่นั่งไม้ไผ่ให้ท่านสักสองสามตัวดีกว่า” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “จะได้นั่งสบายกว่าเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่ยิ้มขึ้นพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ “เจ้ามักคิดรอบคอบเสมอ” จากนั้นก็ได้กุมมือของนาง “สือเหนียงไปเลือกเสื้อผ้าที่ห้องเจ้าอีกแล้วใช่หรือไม่ ลำบากเจ้าแล้ว”
“มีอะไรให้ลำบากกันเล่า” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดคำว่า “บำเพ็ญตนนับร้อยปีกว่าจะได้มีโอกาสนั่งเรือข้ามฟากลำเดียวกัน ชาตินี้ข้ากับสือเหนียงได้เป็นพี่น้องกัน ชาติหน้าไม่รู้ว่าจะยังมีวาสนาด้วยกันอีกหรือไม่ เสื้อผ้าไม่กี่ชุด เครื่องประดับไม่กี่ชิ้น นับประสาอะไรกัน”
นายหญิงใหญ่ยืนขึ้นพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ “เจ้าวางใจเถิด ข้ารู้ดีแก่ใจ ไม่ให้เจ้าเสียเปรียบอย่างแน่นอน” จากนั้นก็ได้เรียกเฝ่ยชุ่ยและใต้เม่าเข้ามาเปิดหีบ แล้วจึงจูงมือสืออีเหนียงเดินไปดู “…ข้าจะให้ชุดกับซานหูและคนอื่นๆ เจ้าสายตาหลักแหลม ช่วยข้าเลือกหน่อยแล้วกัน”
สืออีเหนียงอึ้งไปเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้เรื่องเหล่านี้ล้วนเป็นหน้าที่ของอู่เหนียง…
แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของนายหญิงใหญ่ นางจึงได้ขานตอบไปว่า “เจ้าค่ะ” โดยที่ไม่ได้แสดงสีหน้าใดๆ
แววตาของนายหญิงใหญ่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม
ทุกคนใช้เวลาทั้งเช้าในการเลือกชุดที่หรูหราและสวยงาม
เมื่อถึงเวลาเที่ยง นายหญิงใหญ่ก็ได้ให้สืออีเหนียงอยู่ทานข้าวด้วย สืออีเหนียงปรนนิบัตินายหญิงใหญ่ไปเข้านอนกลางวัน คุณนายใหญ่ก็ได้มาถึง
ตอนกำลังทานมื้อเที่ยงไม่ได้เข้ามา แต่กลับเข้ามาหาในเวลานี้ นึกถึงเรื่องเมื่อคืนที่คุณนายใหญ่กลับมาก่อนเพราะเรื่องของสือเหนียง เช้านี้ทั้งเช้าก็ไม่เห็นแม้แต่เงา…คงมีเรื่องจะที่ต้องการแจ้ง
สืออีเหนียงจึงอ้างว่าจะไปชงชาให้คุณนายใหญ่ แล้วจึงปลีกตัวไปยังห้องเอ่อร์ฝาง [1] ที่อยู่ด้านข้าง
เมื่อนายหญิงใหญ่เห็นว่าสืออีเหนียงออกไปแล้ว สีหน้าก็จริงจังขึ้นมาทันที “ได้ข่าวอะไรมาบ้าง”
คุณนายใหญ่จึงเดินเข้าใกล้ พูดขึ้นเสียงเบาว่า “ถามชัดเจนแล้ว สำนักคุ้มกันเวยหย่วนเป็นคนส่งนางมา แต่นางปิดปากเงียบ ไม่ยอมบอกว่าใครเป็นคนบงการและค่าจ้างเท่าไร เกรงว่าเราคงจะต้องรอฟังจากคนอื่นอีกที เมื่อวานนี้ข้าได้ให้คนไปที่อวี๋หังแล้วเจ้าค่ะ”
“ทำได้ดีมาก!” สีหน้าของนายหญิงใหญ่ผ่อนคลายลง “ที่บ้านเกิดเรื่องขึ้น…รอคนที่เราส่งไปกลับมาก่อนค่อยว่ากัน ช่วงนี้ เจ้าอยู่เฝ้าสือเหนียงดีๆ ก็แล้วกัน อย่าให้นางก่อเรื่อง พูดจามั่วซั่วไปทั่ว” นายหญิงใหญ่สบถ “หึ!” ด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “ตอนนี้สาวใช้คนไหนที่ปรนนิบัติรับใช้นางอยู่”
“คนหนึ่งชื่อจินเหลียน อีกคนชื่ออิ๋นผิง ทั้งสองเคยเป็นบ่าวรับใช้ของข้าเจ้าค่ะ”
“ยังดีที่มีเจ้าคอยช่วย” นายหญิงใหญ่รู้สึกตื้นตันเป็นอย่างมาก “ไม่เช่นนั้น เกรงว่าคงจะโกลาหลไปมากกว่านี้”
“ดูท่านแม่พูดเข้า” คุณนายใหญ่พูดขึ้นอย่างถ่อมตนและเจียมตัวว่า “ข้าเพียงแค่ทำตามคำสั่งของท่านเท่านั้น” พูดจบก็นำตั๋วเงินออกมาจากแขนเสื้อ นางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “นี่คือตั๋วเงินที่ท่านให้ข้าเมื่อครั้งที่แล้ว หนึ่งพันสองร้อยตำลึง ค่าใช้จ่ายในครัวตอนแรกค่อนข้างเยอะ หลังจากนั้นก็เพียงแค่เจ็ด แปดสิบตำลึงเท่านั้น ข้าเบิกออกมาใช้จ่ายในครัวเรือนราวหกร้อยกว่าตำลึง ที่เหลือคืนท่านเจ้าค่ะ!” พูดจบก็ได้นำตั๋วเงินไปยื่นให้กับนายหญิงใหญ่
“เด็กโง่ ของข้าก็เหมือนของเจ้า” นายหญิงใหญ่ไม่ได้รับตั๋วเงิน “เจ้าเก็บไว้เถิด ไปซื้อผงชาดแดง ปิ่นดอกมรกตมาใช้บ้าง”
คุณนายใหญ่ปฏิเสธและยังยืนกรานที่จะคืน นายหญิงใหญ่จึงพูดขึ้นว่า “ข้ายังมีเรื่องที่จะให้เจ้าทำอีก”
“เชิญท่านว่ามาเจ้าค่ะ” คุณนายใหญ่เห็นว่านายหญิงใหญ่ตั้งใจให้นางด้วยใจจริง นางจึงได้รับตั๋วเงินไว้
นายหญิงใหญ่พูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “คนอายุน้อยเช่นพวกเจ้าหัวไว หาเวลาว่างไปดูที่ประตูซีจ้าเสียหน่อย ไปดูเครื่องประดับใหม่ๆ ให้อู่เหนียงกับสือเหนียงไว้เป็นสินเดิม”
คุณนายใหญ่อึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็รีบตอบรับอย่างนอบน้อม “เจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดขึ้นว่า “ซื้อราวคนละห้าร้อยตำลึงก็แล้วกัน!” จากนั้นก็ได้ถามคุณนายใหญ่ว่า “ห้าร้อยตำลึง ไม่น้อยไปใช่หรือไม่”
ตอนที่คุณนายใหญ่แต่งเข้ามา หากไม่รวมที่นา ก็ใช้เงินไปราวห้าพันตำลึงไปแล้ว ห้าร้อยตำลึงจึงไม่นับว่ามาก แต่อู่เหนียงและสือเหนียงไม่เหมือนกัน พวกนางเป็นบุตรีของอนุภรรยา…
นางยิ้มพร้อมกับรีบพูดขึ้นว่า “ไม่น้อย ไม่น้อยเจ้าค่ะ จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับว่าจะใช้จ่ายอย่างไร”
เมื่อเห็นว่าลูกสะใภ้เข้าใจความหมายของตน นายหญิงใหญ่จึงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ พร้อมกับพูดขึ้นว่า “อีกเดี๋ยวเราค่อยมารวมยอดใหม่อีกครั้ง ไปดูว่าทางอวี๋หังมีอะไรให้ใช้ได้บ้าง จะได้ไม่ต้องนำเงินไปซื้อทรัพย์สินที่ดินเพิ่ม”
คุณนายใหญ่พยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “ป้าสวี่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ!”
“รีบให้เข้ามา” นายหญิงใหญ่กำลังรีบสวมรองเท้า ป้าสวี่ก็ได้เปิดม่านเข้ามา
“เป็นอย่างไรบ้าง” นายหญิงใหญ่รีบถามอย่างร้อนใจ “หยวนเหนียงเป็นอย่างไรบ้าง”
ป้าสวี่ย่อตัวทำความเคารพนายหญิงใหญ่ นางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านวางใจเถิด ทุกอย่างราบรื่นดี เช้าตรู่วันนี้ ไท่ฮูหยินสกุลสวีได้ไปเยี่ยมเยียนหวงฮูหยินที่จวนหย่งชังโหวสกุลหวงแล้ว บอกว่าต้องการให้หวงฮูหยินไปเป็นแม่สื่อออกหน้าคุยกับทางสกุลเจียง ท่านรอฟังข่าวดีได้เลยเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่ได้ยินแล้วก็พนมมือไหว้ “พระอมิตาภพุทธะ! หากพระองค์ปกปักรักษา หนุนนำให้จุนเกอตระกูลเราได้สมดังปรารถนา ถึงเวลานั้นลูกจะหล่อพระพุทธรูปทองคำไปถวายให้พระองค์อย่างแน่นอน”
คุณนายใหญ่และป้าสวี่ต่างก็พากันหัวเราะขึ้นมา ป้าสวี่ได้พูดขึ้นว่า “ท่านเตรียมทองคำเปลวได้เลย! บ่าวได้ยินป้าเถาบอกว่า เช้าวันนี้ก่อนที่ไท่ฮูหยินจะออกจากจวน ยังตั้งใจแวะไปเยี่ยมคุณหนูใหญ่ และได้พูดเรื่องสกุลเจียงกับคุณหนูใหญ่ด้วย อีกทั้งยังถามคุณหนูใหญ่ด้วยว่าเลือกคนไหนดีเจ้าค่ะ”
เมื่อนายหญิงใหญ่ได้ยินแล้วก็รู้สึกดีอกดีใจเป็นอย่างมาก นางหัวเราะพร้อมกับพูดขึ้นว่า “แน่นอนว่าต้องเป็นบุตรีของเจียงไป่น่ะสิ!”
“คุณหนูใหญ่เองก็ได้ตอบเช่นนี้เจ้าค่ะ” ป้าสวี่ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “อีกทั้งยังได้พูดถึงหลักการและเหตุผลให้ไท่ฮูหยินฟังอีกด้วย สุดท้ายไท่ฮูหยินก็ไม่ได้พูดอะไร และได้ตรงไปยังจวนหย่งชังโหวสกุลหวงเลยทันที”
“นางฉลาดหลักแหลม” บุตรสาวสามารถจัดการสามีได้ ใบหน้าของนายหญิงใหญ่เต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม นางถามป้าสวี่ว่า “เจ้ากินข้าวแล้วหรือยัง”
ป้าสวี่ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “คุณหนูใหญ่ให้ขนมเป็นรางวัล ยังไม่หิวเลยเจ้าค่ะ นายหญิงใหญ่มีอะไรให้บ่าวรับใช้หรือเจ้าคะ”
นายหญิงใหญ่จึงได้ให้คุณนายใหญ่ไปสั่งกับห้องครัวให้นำอาหารมาให้ป้าสวี่สักหน่อย จากนั้นก็พูดต่อว่า “ข้ากำลังจะคำนวณบัญชีค่าใช้จ่ายกับภรรยาของซิ่งเกอ เจ้ามาได้เวลาพอดี”
เมื่อนางพูดจบ ก็มีสาวใช้เข้ามาเรียนว่า “คุณนายใหญ่ คุณชายใหญ่ให้ท่านเตรียมโต๊ะรับแขกหนึ่งโต๊ะ คุณชายเฉียนมาแล้วเจ้าค่ะ!”
เมื่อคุณนายใหญ่ได้ยินแล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่ก็หันไปสั่งกับสาวรับใช้ว่า “เจ้าไปบอกป้าหัง ให้จัดเหมือนที่ผ่านมา”
สาวใช้ขานรับแล้วไปทำตามคำสั่งทันที
นายหญิงใหญ่หันไปพูดกับคุณนายใหญ่ด้วยสีหน้าที่ครุ่นคิด “เวลานี้ให้เตรียมโต๊ะรับแขก…เป็นแขกที่มาทานข้าวประจำหรือ”
คุณนายใหญ่ตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มว่า “ไม่ใช่แขกที่มาขอทานข้าวเป็นประจำเจ้าค่ะ แต่แค่ขยันมา ทุกครั้งที่มา ก็จะมาดูสิ่งของทุกอย่างในบ้านอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้ไท่ซือที่หลี่จี้ทำขึ้น ถ้วยกระเบื้องล้างพู่กันของซ่งโสวเหมย พู่กันขนหมาป่าที่ตัวเป่าเก๋อ รู้จักทุกอย่าง ชอบพูดคุยถึงอาหารของหอสุราที่ไหนอร่อย น้ำชาที่หอน้ำชาไหนน่าดื่ม ที่เมืองเยี่ยนจิงมีละครอะไรใหม่ ใครเป็นคนแสดง เขาไปเยี่ยมเยียนที่ไหนมา และได้เจออะไรที่แปลกใหม่และหายากบ้าง…ไม่เหมือนคนที่ก้มหน้าก้มตาหมกมุ่นอยู่กับแต่ตำราเรียนเจ้าค่ะ”
สีหน้าของนายหญิงใหญ่ดูจริงจังขึ้นมา นางกลัวว่าบุตรชายของนางจะลุ่มหลงเมืองเยี่ยนจิงที่สุด กลัวว่าบุตรชายจะไม่ตั้งใจร่ำเรียน
“คนผู้นี้ชื่อว่าอะไร อายุเท่าไร เป็นคนที่ไหน เป็นบัณฑิตเจี้ยนเซิงหรือบัณฑิตอินเซิง ” นายหญิงใหญ่ถามขึ้นอย่างละเอียดถี่ถ้วน
คุณนายใหญ่ได้ระวังเรื่องนี้เป็นอย่างมาก จึงได้ตอบกลับอย่างคล่องแคล่วว่า “คนผู้นี้ชื่อเฉียนหมิง อยู่มณฑลซื่อชวน คนอี๋ชวน อายุมากกว่าท่านพี่สองปี เป็นบัณฑิตปิ่งเซิง ได้ยินมาว่าที่บ้านมีที่นาอยู่หลายผืน ดูแล้วไม่เหมือนคนยากคนจน เพียงแต่ว่าสายตาที่ใช้กวาดมองของของผู้อื่นนั้นจ้องตาเป็นมันทีเดียว จึงพลอยทำให้ผู้อื่นไม่สบายใจเท่าไรนักเจ้าค่ะ”
“บัณฑิตปิ่งเซิงหรือ” นายหญิงใหญ่ค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ “มาร่ำเรียนถึงสำนักศึกษากั๋วจื่อเจี้ยงได้ ถือว่ามีความสามารถไม่น้อย เจ้าอย่าตัดสินคนเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก แล้วจึงละเลยคนอื่นเขา ดูแค่ตอนเด็กไม่ดูยามแก่ ดูแค่สิ่งที่เห็นตรงหน้าไม่รอดูวันข้างหน้า ไม่แน่บางทีวันหนึ่งวันใด คนผู้นี้อาจจะเป็นคนใหญ่คนโตมีหน้ามีตาก็ได้!”
คุณนายใหญ่รีบตอบกลับไปว่า “ท่านแม่วางใจเถิด ทุกครั้งที่มาข้าได้ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดีเสมอ ครั้งที่แล้วเขาบอกว่าผัดสุ่ยจิงฮุ่ยที่หอชุนซีอร่อย ข้ายังได้ให้คนใช้ไปซื้อจากหอชุนซีมาต้อนรับเขาโดยเฉพาะเลยเจ้าค่ะ”
นายหญิงใหญ่ตอบ “อืม” ด้วยความพึงพอใจ นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดขึ้นว่า “ในเมื่อซิ่งเกอมีแขก งั้นเจ้าก็ไปทำหน้าที่ของเจ้าเถิด! ข้ายังมีป้าสวี่อยู่ช่วย!”
คุณนายใหญ่ยิ้มขึ้นพร้อมกับตอบกลับไป จากนั้นก็มีสาวใช้ยกปลาเงินทอด ยอดเซียงชุนผัดไข่และข้าวสวยหนึ่งถ้วยเข้ามาในเรือน
เมื่อสืออีเหนียงเห็นแล้ว จึงได้ยกน้ำชาเข้าไปด้านในสองถ้วย
“พี่สะใภ้ใหญ่กลับไปแล้วหรือยังเจ้าคะ”
ป้าสวี่กำลังนั่งทานข้าวอยู่บนเก้าอี้เล็ก เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา จึงได้รีบลุกขึ้นยืน
เวลานี้เอง นายหญิงใหญ่จึงเพิ่งนึกถึงสืออีเหนียงขึ้นมาได้ นางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้ากลับไปพักผ่อนเถิด!”
สืออีเหนียงเลือกอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงยิ้มพร้อมกับออกไป
เมื่อป้าสวี่ทานข้าวเสร็จแล้ว นายหญิงใหญ่จึงได้ปรึกษาหารือเกี่ยวกับเรื่องสินเดิมกับนาง
“…ที่แม่น้ำมีน้ำเพียงไม่กี่ครั้ง ผืนดินแห้งแล้ง แต่มันเป็นสินเดิมของท่าน…”
นายหญิงใหญ่พูดขึ้นอย่างอารมณ์ดีว่า “ไม่ยึดติดกับของพวกนั้นแล้ว ทิ้งให้หมดนั่นแหละ”
ป้าสวี่ขานรับ “เจ้าค่ะ” จากนั้นก็ก้มหน้าก้มตาคำนวณบัญชีกับนายหญิงใหญ่อย่างตั้งใจ “หากเป็นเช่นนี้ เรายังมีป่าเขาอยู่ที่มณฑลอวี๋ ปลูกได้แค่ไม้ผสม ปีที่แล้วตัดไม้ไปผืนหนึ่ง ขายได้ราวหกสิบกว่าตำลึงเจ้าค่ะ…”
“อันนี้ก็รวมเข้าไปด้วย”
ป้าสวี่พยักหน้า หยิบพู่กันขึ้นมาเติมเข้าไปอีกหนึ่งขีด
ในขณะที่กำลังคำนวณอยู่นั้น ป้าเถา บ่าวรับใช้ข้างกายของหยวนเหนียงก็มาพอดี
นายหญิงใหญ่และป้าสวี่ตกตะลึงขึ้นมาเล็กน้อย นายหญิงใหญ่ถามด้วยความกังวลใจว่า “เกิดเรื่องขึ้นหรืออย่างไรกัน”
[1] ห้องเอ่อร์ฝาง ห้องขนาดเล็กที่สร้างขึ้นทั้งสองข้างของตัวเรือน