ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 537 เสร็จสิ้นพิธี (กลาง)
ชีเหนียงเป็นคนตรงไปตรงมา มิเช่นนั้นคงไม่สร้างปัญหาให้คนในสกุลจูภายใต้สถานการณ์ที่เวลาและสถานที่เหมาะเจาะเช่นนี้!
ฮูหยินห้าครุ่นคิดก่อนจะพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้าได้ยินพี่สะใภ้สี่บอกว่าตอนนั้นใต้เท้าอวี๋ก็อยู่ด้วยใช่หรือไม่”
“ข้าเองก็คิดว่าจูอานผิงมุทะลุเกินไป” ชีเหนียงพยักหน้า “ถ้าเขารู้สึกละอายใจจริงๆ ก็แค่พูดกับเจ้าเป็นการส่วนตัวก็พอแล้ว เหตุใดต้องทำเช่นนี้ต่อหน้าพี่เขยสี่ เจ้ารู้หรือไม่ว่าสายตาที่พี่เขยสี่มองมาที่ข้าในตอนนั้นเหมือนจะไม่พอใจอยู่นิดหน่อย!”
ฮูหยินห้ายิ้มเล็กน้อย “เจ้ากับจูอานผิงแต่งงานกันมาได้ห้าปีแล้วกระมัง เจ้าบอกข้าทีว่าจูอานผิงเป็นคนแบบใด”
ชีเหนียงชะงักไปครู่หนึ่ง ครุ่นคิดอยู่นานราวกับไม่รู้ว่าควรจะอธิบายอย่างไรดี!
เพราะว่าเป็นสามีของตัวเอง ดังนั้นจึงไม่เคยคิดอย่างละเอียดรอบคอบกระมัง!
ฮูหยินห้าครุ่นคิดแล้วถามนางว่า “ตามเหตุผลแล้วหากจูอานผิงผิดสัญญาก็ถือว่าเขาทำผิดต่อเจ้า ทำไมเขาไม่คุกเข่าให้เจ้า แต่กลับไปคุกเข่าให้นายหญิงอวี๋เล่า”
ชีเหนียงครุ่นคิดแล้วคาดเดาว่า “เป็นเพราะข้าสร้างปัญหาจนทำให้พี่หญิงสี่ต้องลำบากกระมัง”
“นับว่าเจ้ายังมีสมองอยู่บ้าง” ฮูหยินห้าได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ “ไม่ถึงขั้นกลายเป็นเต้าหู้ที่ตกลงไปในบ่อขี้เถ้า จะล้างก็ไม่ได้ จะปัดก็ปัดไม่ออก”
“ตอนนี้ข้าก็เป็นเช่นนี้แล้ว เจ้ายังจะมาหัวเราะข้าอีก!” ชีเหนียงไม่ยอม จะหยิกฮูหยินห้า
ฮูหยินห้าหัวเราะพลางเบี่ยงตัวหลบนาง ทั้งสองคนไปนั่งอยู่ที่ม้านั่งหินอ่อนข้างๆ หินไท่หูในลานเล็กๆ
“ที่เขาคุกเข่า เขาไม่ได้คุกเข่าให้เจ้า” ฮูหยินห้าพูดเสียงเบา “ที่เขาคุกเข่าเพราะผิดสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้า และที่เสียมารยาทกับใต้เท้าอวี๋และนายหญิงอวี๋” นางจับมือชีเหนียง “บางเรื่องจะมองเพียงผิวเผินไม่ได้ เจ้าต้องคิดให้รอบคอบจึงจะถูก” จากนั้นก็ถามนางว่า “ข้าขอถามเจ้าหน่อย ตกลงจูอานผิงได้คุกเข่าให้เจ้าหรือไม่ ทำไมเจ้าถึงได้มีสีหน้าภาคภูมิใจ”
ชีเหนียงรู้สึกว่าในโลกใบนี้ ฮูหยินห้าคือคนที่รู้ใจนางมากที่สุดและเป็นคนหนึ่งที่ปฏิบัติดีต่อนางอย่างจริงใจ จึงไม่ได้ปิดบัง พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เขายึดถือคำมั่นสัญญามาตลอด ตอนนี้เขาผิดสัญญาจึงคุกเข่าขออภัยแก่คนสกุลเราถือเป็นการสำนึกผิด สุดท้ายก็ยอมรับว่าข้ามีเหตุผล”
“เจ้าก็ดีแต่รู้จักถือสาแต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้” ฮูหยินห้าได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะลั่น รู้สึกว่าชีเหนียงไร้เดียงสาเป็นอย่างมาก
ชีเหนียงมีท่าทางลำบากใจ พูดพึมพำว่า “เรื่องใหญ่ๆ ข้าก็เอาชนะเขาไม่ได้ แม้แต่เรื่องเล็กข้าก็ต้องยอมให้เขาด้วยหรือ”
ฮูหยินห้าได้ยินแล้วก็หัวเราะขึ้นอีกครั้ง หลังจากหยุดหัวเราะแล้วก็กลับมามีสีหน้าจริงจัง พูดขึ้นมาว่า “เช่นนั้นเจ้าก็บอกความจริงกับข้ามา เจ้าให้นายหญิงอวี๋มอบบุตรชายคนเล็กมาเป็นผู้สืบสกุลให้สกุลจู ในใจเจ้าไม่รู้สึกผิดบ้างเลยหรือ”
ชีเหนียงก้มหน้า เงียบไปนานก่อนจะพูดเสียงเบาว่า “ข้า…ข้าก็เพียงแค่ต้องการให้จูอานผิงต้องทนทุกข์ทรมานกับผลที่ตามมาก็เท่านั้น!”
ฮูหยินห้าถามอีกว่า “เช่นนั้นเจ้ารู้หรือไม่ว่าเพื่อเจ้าแล้วพี่หญิงสี่ของเจ้าทำอะไรลงไปบ้าง ”
ชีเหนียงเงยหน้ามองนางด้วยความตกใจ
ฮูหยินห้าพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “นางบอกว่าเจ้ายืนกรานที่จะให้ฉี่เกอมาเป็นบุตรบุญธรรม ด้วยความที่นางรักน้องสาวมากจึงทำได้เพียงตอบตกลง แต่ก็กลัวว่าเมื่อถึงเวลานั้นคนสกุลจูจะไม่ยอมแล้วไปฟ้องร้องที่ฝ่ายราชการ จึงไปขอร้องพี่สะใภ้สี่ นั่นก็คือน้องหญิงสิบเอ็ดของเจ้าให้ช่วย ให้พี่สะใภ้สี่ขอให้ท่านโหวช่วยออกหน้าพูดคุยกับฝ่ายราชการให้ เรื่องของศาลบรรพชนเป็นเรื่องสำคัญ พี่สะใภ้สี่กลัวว่าท่านโหวจะเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย นางจึงนำเงินส่วนตัวที่เก็บออมไว้ไปที่ตรอกกงเสียนเพื่อเกลี้ยกล่อมให้พี่ใหญ่ของเจ้าช่วยออกหน้าเชิญท่านลุงใหญ่ของเจ้าออกมาเป็นประธานในเรื่องนี้ เพื่อที่สถานการณ์จะได้ไม่ต้องบานปลายขึ้นเรื่อยๆ จนถึงขั้นต้องเดือดร้อนคนในสกุล…” นางไม่อาจพูดได้ว่าสืออีเหนียงไปขอให้นางพูดเกลี้ยกล่อมชีเหนียง กลัวชีเหนียงจะรู้สึกว่าคนในสกุลรวมหัวกันต่อต้านชีเหนียงทั้งหมด แล้วจะไม่สามารถฟังสิ่งที่นางพูดต่อไปได้ เมื่อฮูหยินห้าพูดถึงตรงนี้ก็จ้องมองชีเหนียงอย่างลึกซึ้ง “เจ้าลองคิดให้ดีว่าเจ้าพูดออกมาเพียงแค่ประโยคเดียว แต่พี่หญิงสี่ของเจ้ากลับต้องใช้ความคิดและความพยายามมากแค่ไหน!”
ชีเหนียงได้ฟังดังนั้นก็ตกใจเป็นอย่างมาก
ท่านพ่อเห็นด้วยที่นางให้ฉี่เกอมาเป็นบุตรบุญธรรมของสกุลจู ดังนั้นนางจึงไม่ได้คิดให้ดีว่าพี่หญิงสี่เต็มใจหรือไม่
เพราะว่าในใจของตนนั้นพี่หญิงสี่เป็นคนเก่งกาจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอันใดพอมาอยู่ในมือนางก็กลายเป็นเรื่องง่าย ในบรรดาพี่น้อง แม้ว่าท่านพ่อจะเอ็นดูตนมากที่สุด แต่กลับให้ความสำคัญกับพี่หญิงสี่มากที่สุด จิตใต้สำนึกของนางจึงบอกว่าหากพี่หญิงสี่ไม่ยินยอมให้ฉี่เกอเป็นบุตรบุญธรรมของตน ใครก็ไม่สามารถบังคับได้ ในเมื่อพี่หญิงสี่ตอบตกลงแล้วก็ย่อมคิดว่าเรื่องนี้มีความเป็นไปได้ ดังนั้นนางจึงมีความมั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ
คำพูดของฮูหยินห้าทำให้ทิฐิของนางราวกับทลายลงมาทันที
เป็นเพราะพี่หญิงสี่ไม่มีทางเลือกอื่น ดังนั้นจึงได้คิดหาวิธีเชิญท่านลุงใหญ่มาหยุดท่านพ่อโดยผ่านทางสืออีเหนียงอย่างนั้นหรือ
เช่นนั้นท่านพ่อพูดอะไรกับพี่หญิงสี่กันแน่ ถึงขั้นทำให้คนที่ฉลาดเป็นกรดอย่างพี่หญิงสี่ต้องคิดวิธีนี้ออกมา
นางนึกขึ้นได้ว่าตอนเป็นเด็กพี่หญิงสี่มักจะยอมให้นางอยู่เสมอ มีของอร่อยอะไรก็จะให้นางทานก่อน หากนางชอบอะไรก็เพียงแค่บอก พี่หญิงสี่ก็จะยกให้นางโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่นิดเดียว…นางบีบนิ้วแน่น เริ่มนั่งไม่เป็นสุข
ฮูหยินห้าเห็นดังนั้นก็พยักหน้าเล็กน้อยแล้วเติมฟืนลงไป
“คุณนายน้อยใหญ่คนใหม่ที่เข้าจวนพวกเรามา เจ้าเห็นแล้วใช่หรือไม่”
ชีเหนียงไม่รู้ว่าทำไมจู่ๆ นางถึงได้เอ่ยถึงภรรยาของสวีซื่อฉิน นางชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ได้ยินมาว่าเกิดจากสกุลใหญ่ในเจียงหนาน รูปร่างหน้าตาและนิสัยใจคอโดดเด่นมาก!”
ฮูหยินห้าพยักหน้า ยิ้มพลางถามนาง “เจ้าคิดว่าอย่างไร”
ชีเหนียงคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “แม้ว่าจะพึ่งเจอกันเป็นครั้งแรก แต่เมื่อได้เห็นนางต้อนรับแขกก็รู้สึกว่าไม่เลวเลยทีเดียว คิดว่าข่าวลือค่อนข้างน่าเชื่อถืออยู่บ้าง”
ฮูหยินห้าพยักหน้าแล้วเล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างฮูหยินสามกับฟังซื่อให้ชีเหนียงฟังอย่างละเอียด “…เจ้าคิดดู แม้แต่คนอย่างคุณนายน้อยใหญ่ของพวกเราก็ยังต้องยอมเชื่อฟังอย่างว่าง่าย” จากนั้นก็พูดถึงตัวเอง “เรื่องราวในตอนเด็กๆ จำได้ไม่ชัดเจนเท่าไร แต่จำได้ว่าตอนอายุเจ็ดแปดขวบเป็นเพราะอากาศร้อนจึงนอนไม่หลับก็เลยให้บรรดาสาวใช้มาผลัดกันพัดให้ ในตอนกลางวันมีสาวใช้คนหนึ่งเผลอหลับไปทำให้ข้าร้อนจนตื่นขึ้นมา ท่านพ่อจึงให้คนนำสาวใช้ผู้นั้นไปที่เรือนนอก ถอดกางเกงออกแล้วใช้ไม้กระดานตียี่สิบที พอกลับไปถึงเรือนสาวใช้ผู้นั้นก็แขวนคอตาย”
ต่อหน้าต่อตาของทุกคน หญิงสาวตัวน้อยต้องถูกถอดกางเกงและเฆี่ยนตีด้วยไม้กระดาน…ได้รับความอับอายเช่นนี้ นอกจากฆ่าตัวตายแล้วจะยังทำอะไรได้อีก
ชีเหนียงเป็นแก้วตาดวงใจของบิดามาตั้งแต่เด็ก แต่ก็ไม่เคยเอาชีวิตสาวใช้เพียงเพราะไม่ตั้งใจพัดจนทำให้ตื่น!
ชีเหนียงมองฮูหยินห้าด้วยความตกใจ
ฮูหยินห้าพูดเป็นนัยๆ ว่า “ท่านพ่อรักและเอ็ดดูข้าเช่นนี้ พอข้าแต่งเข้าสกุลสวี เจ้าเคยเห็นข้าวางอำนาจของเซี่ยนจู่หรือไม่”
ชีเหนียงส่ายหน้า
ฮูหยินห้าถามอีกว่า “เจ้าเคยเห็นข้าทำท่าทางไม่พอใจใส่บรรดาสาวใช้ข้างกายของไท่ฮูหยินหรือไม่”
ชีเหนียงส่ายหน้าอีกครั้ง
“เจ้าเคยเห็นข้าเดินนำหน้าคุณชายห้าหรือไม่”
“ไม่เคย!” ชีเหนียงเริ่มเข้าใจความหมายของฮูหยินห้าอยู่บ้าง นางพูดพึมพำว่า “คุณชายห้าอ่อนโยนและใส่ใจเจ้า มักจะกระทำการทุกอย่างตามความต้องการของเจ้า บรรดาสาวใช้ก็ให้ความเคารพเจ้า ไม่กล้าละเลย ไท่ฮูหยินก็ปฏิบัติต่อเจ้าเหมือนเป็นบุตรสาวแท้ๆ …” ขณะที่นางพูดก็นึกขึ้นได้ว่าตอนที่นางพึ่งจะแต่งงานกับจูอานผิง ความไม่พอใจเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเองจูอานผิงก็ต้องคาดเดาหาสาเหตุอยู่นาน แต่ตอนนี้…
ดวงตาของชีเหนียงเหม่อลอย ใจวูบไหวเล็กน้อย
ฮูหยินห้ารู้ว่าในใจของนางเหมือนกำลังมีฝนตกหนักจึงไม่ไปรบกวน เพียงแต่นั่งเป็นเพื่อนอยู่เงียบๆ
******
เมื่อถึงเวลาอาหารก็ยังไม่เห็นฮูหยินห้ากับชีเหนียง สืออีเหนียงกับซื่อเหนียงต่างก็วิตกกังวลเล็กน้อย
ฮูหยินห้าเป็นคนมีเหตุผล รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ถ้าหากไม่มีเรื่องอันใดเกิดขึ้นก็จะไม่หายไปโดยไร้สาเหตุแน่นอน
สืออีเหนียงคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ คิดว่าในโอกาสเช่นนี้ฮูหยินห้ากับชีเหนียงคงจะอดไม่ไหวที่จะหาสถานที่พูดคุยกันเป็นการส่วนตัว
นางไม่กล้าให้สาวใช้ไปตามหา ซื่อเหนียงก็ไม่อยากทำให้คนอื่นๆ ต้องตกใจ สองพี่น้องไปตามหาที่ลานเล็กในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันโดยไม่ได้นัดหมาย
สาวใช้ข้างกายไม่กล้าส่งเสียง สืออีเหนียงกับซื่อเหนียงจึงได้ยินคำพูดของฮูหยินห้าอย่างชัดเจน
สืออีเหนียงรู้สึกว่าหากฮูหยินห้าเกลี้ยกล่อมด้วยวิธีนี้ บวกกับที่ชีเหนียงก็เป็นคนฉลาด บางทีจากนี้ไปอาจจะสามารถแก้นิสัยได้ จึงเหลือเพียงชิวอวี่ไว้คอยเฝ้าอยู่ที่ด้านนอกลานเล็ก “พอฮูหยินห้ากับชีเหนียงออกมา เจ้าช่วยจัดเตรียมโต๊ะอาหารให้พวกนางเป็นการส่วนตัวด้วย” จากนั้นก็ออกจากลานเล็กอย่างเบามือเบาเท้า
ซื่อเหนียงตามไปด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ
“น้องหญิงสิบเอ็ด…” นางทั้งอายทั้งรู้สึกผิด “ข้าเองก็หมดหนทางแล้ว…”
คนเป็นบุตรไม่อาจตำหนิความผิดพลาดของบิดาได้
สืออีเหนียงเข้าใจที่ซื่อเหนียงไม่มีทางเลือก
ก็เหมือนกับตัวเองที่ไม่อยากให้สวีลิ่งอี๋เข้าไปเกี่ยวข้อง จึงทำได้เพียงคิดหาวิธีให้หลัวเจิ้นซิ่งขอให้ท่านพ่อช่วยออกหน้าให้
“พี่หญิงสี่ไม่ต้องเก็บไปใส่ใจเจ้าค่ะ โชคดีที่เรื่องนี้ถูกแก้ไขได้อย่างดี” นางยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “พี่หญิงสี่รีบไปนั่งที่โต๊ะเถิด! ท่านเป็นแขกหลักของวันนี้ อีกอย่างน้องสะใภ้ห้าของข้าก็เป็นคนสงบเสงี่ยม ชีเหนียงอยู่กับนางไม่มีทางเกิดเรื่องขึ้นอย่างแน่นอน! พี่หญิงสี่วางใจเถิด”
ซื่อเหนียงหน้าแดงยิ่งกว่าเดิม
นางเดินตามสืออีเหนียงไปที่ห้องโถงบุปผาอย่างเงียบๆ เห็นอู่เหนียงกำลังยิ้มพลางพูดคุยอยู่กับกานฮูหยิน “…เมื่อถึงฤดูใบไม้ผลิก็จะต้องลงสนามแล้ว สามีข้าตั้งใจอ่านหนังสือไม่พบใครมาสามปี คิดว่าคงจะสามารถสอบได้ระดับทอง”
กานฮูหยินยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นข้าต้องแสดงความยินดีกับนายหญิงเฉียนล่วงหน้าแล้ว เดือนสามปีหน้าอย่าลืมชวนพวกเราไปดื่มสุราด้วย”
“แน่นอน แน่นอน” อู่เหนียงหน้าแดง ยิ้มอย่างเบิกบานใจ
มีคนดึงแขนเสื้อซื่อเหนียง
ซื่อเหนียงหันกลับมาปรากฏว่าเป็นสือเอ้อร์เหนียง
“พี่หญิงสี่เจ้าคะ พี่หญิงห้าดื่มสุราแล้ว ท่านรีบไปห้ามพี่หญิงห้าเถิด!” ท่าทางเป็นกังวล
ซื่อเหนียงพยักหน้า เดินไปหาอู่เหนียงอย่างเงียบๆ “คุยอะไรกันท่าทางดูดีใจเชียว!” แล้วพูดต่อว่า “พวกเราพี่น้องไม่ได้เจอกันมาหลายวันแล้ว ซินเกอสบายดีหรือไม่”
“ข้าสบายดี!” ดวงตาของอู่เหนียงดูสับสนเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่านางดื่มมากเกินไป “สามีข้าตั้งใจอ่านหนังสือ บุตรชายของข้าก็ร่างกายแข็งแรงดี พี่หญิงสี่ ต่อไปนี้ชีวิตของข้าจะดีขึ้นเรื่อยๆ !”
“เช่นนั้นก็ดี!” ซื่อเหนียงพูดพลางพยุงนางมานั่งที่โต๊ะบรรดาพี่สาวน้องสาวสกุลหลัว “ยากนักที่บรรดาพี่สาวน้องสาวอย่างพวกเราจะได้อยู่ด้วยกัน มานั่งคุยกันหน่อยเถิด”
ขณะที่กำลังพูด ใครบางคนที่โต๊ะของคุณนายใหญ่สกุลหลินก็พูดอะไรบางอย่างขึ้นมา ทำเอาทั้งห้องมีเสียงหัวเราะและดึงดูดสายตาทุกคน
ซื่อเหนียงโล่งใจ
ได้ยินอู่เหนียงบ่นพึมพำว่า “พี่หญิงสี่ ทั้งๆ ที่เป็นกิจการที่ทำกำไร ท่านว่าเหตุใดข้าถึงได้เอาแต่ขาดทุน”
ซื่อเหนียงอดขมวดคิ้วไม่ได้
อู่เหนียงรินสุราให้ตัวเองจนเต็มจอกแล้วกระดกจนหมด
******
เมื่อผ่านต้นฤดูหนาวไปก็จะเป็นวันตรุษจีนแล้ว
เจี่ยงอวิ๋นเฟยกลับราชสำนักและได้เลื่อนขั้นเป็นอาลักษณ์กระทรวงกลาโหม
ทุกถนนและตรอกซอกซอยในเยี่ยนจิงกำลังพูดถึงเรื่องนี้
สืออีเหนียงกลับมาดูแลเรื่องในจวนอีกครั้ง กำลังยุ่งอยู่กับการตรวจสอบผลผลิตประจำปีที่ส่งมาจากไร่นา จัดเตรียมของสำหรับตรุษจีน บางครั้งที่สวีซื่อจุนมาคารวะเขาก็จะพูดเรื่องที่เจี่ยงอวิ๋นเฟยเลื่อนตำแหน่งอยู่บ้าง นางเพียงแต่ยิ้มแล้วฟังเขาพูด
และในเวลานี้ ฮูหยินของหลี่จงผู้บัญชาการทหารฝูเจี้ยนก็มาเยี่ยม