ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 530 เกลี้ยกล่อม (ต้น)
“น้องสะใภ้ห้ากับชีเหนียงสนิทสนมกันเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูด “รู้ว่าพี่หญิงเจ็ดอยู่ที่เยี่ยนจิง นางจึงอยากมาหา”
เช่นนั้นสืออีเหนียงได้เล่าเรื่องของชีเหนียงให้ฮูหยินห้าฟังหรือไม่
ซื่อเหนียงครุ่นคิด เห็นสืออีเหนียงไม่พูดอะไร นางก็ไม่กล้าถาม สุดท้ายนางก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วเชิญสืออีเหนียงเข้าไปให้ห้องปีก “เราเข้าไปนั่งข้างในกันเถิด!”
สืออีเหนียงพยักหน้า
ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องไห้ดังออกมาจากห้องปีก
ใบหน้าของซื่อเหนียงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
แต่สืออีเหนียงกลับถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ตนกลัวว่าชีเหนียงจะไม่ยอมพูดอะไรกับฮูหยินห้า แต่ตอนนี้นางพูดแล้ว เรื่องราวก็จะง่ายขึ้น
สืออีเหนียงดึงแขนเสื้อของซื่อเหนียง “พี่หญิงสี่เจ้าคะ ปล่อยให้น้องสะใภ้ห้าและพี่หญิงเจ็ดคุยกันเถิด!”
ซื่อเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เดินไปนั่งในห้องกับสืออีเหนียง
สืออีเหนียงกลัวว่านางจะถามว่าสวีลิ่งอี๋คิดเช่นไรกับเรื่องนี้ จึงพูดถึงเรื่องอวี๋อี๋ชิงกับซื่อเหนียง “…ได้ยินมาว่าโต้วเก๋อเหล่าที่พึ่งได้รับตำแหน่งดีกับพี่เขยสี่มาก อยากให้พี่เขยสี่ไปรับตำแหน่งศาลพลเรือนที่กระทรวงขุนนาง พี่เขยสี่ปฏิเสธไปแล้วหรือ”
ซื่อเหนียงก็กำลังกังวลเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน ได้ยินสืออีเหนียงถามเช่นนี้ก็รีบพูดว่า “เจ้าได้ยินมาจากท่านโหวใช่หรือไม่”
สืออีเหนียงพยักหน้า
ซื่อเหนียงพูดเบาๆ “เช่นนั้นท่านโหวได้บอกหรือไม่ว่าการที่พี่เขยสี่ของเจ้าทำเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่เหมาะสม”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านโหวไม่ค่อยอยากพูดเรื่องนี้กับข้านัก แต่นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพี่เขยสี่ ข้าจึงพูดขึ้นมา ข้าไม่ค่อยมีโอกาสพูดเรื่องพวกนี้กับพี่หญิงสี่เท่าไร จึงมาถามเรื่องนี้กับพี่หญิงสี่เจ้าค่ะ”
ซื่อเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ถอนหายใจ “พี่เขยสี่ของเจ้าเป็นคนซื่อสัตย์และจงรักภักดี บอกว่าถึงแม้ว่าโต้วเก๋อเหล่าเป็นคนกล้าหาญและเด็ดเดี่ยว แต่เขากลับเป็นคนโหดเหี้ยม…” พูดถึงตรงนี้ นางก็หยุดชะงักไปครู่หนึ่ง สายตาของนางมีความเสียใจ ราวกับพยายามปิดบังอะไรบางอย่าง จากนั้นก็รีบผลักชามลายครามสีฟ้าที่วางอยู่ด้านหน้าสืออีเหนียง “พูดเรื่องพวกนี้ทำไมกัน เมล็ดทานตะวันที่พึ่งคั่วมาใหม่ๆ เจ้าลองชิมดู หากอร่อย ประเดี๋ยวข้าให้เจ้านำกลับไปให้ไท่ฮูหยินชิม”
ความในใจที่สามีพูดในห้องนอน แล้วยังเป็นเรื่องเกี่ยวกับราชสำนัก ถึงแม้ว่าจะเป็นพี่น้องกัน แต่ก็ไม่ควรเล่าให้ฟัง… ปกติซื่อเหนียงเป็นคนเก็บความลับอยู่ แต่วันนี้… หากไม่ใช่เพราะว่าเรื่องนี้กระทบต่ออวี๋อี๋ชิง เช่นนั้นก็เรื่องของพี่หญิงเจ็ดทำให้นางไม่ค่อยมีสติสัมปชัญญะเหมือนปกติ
“ได้เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงนั่งทานเมล็ดทานตะวันแล้วพูดเรื่องทั่วไปกับซื่อเหนียง “ประเดี๋ยวก็จะถึงฤดูหนาวแล้ว เรื่องในจวนจะค่อยๆ เยอะขึ้นเรื่อยๆ ท่านโหวบอกให้ข้ากลับไปดูแลเรื่องในจวน ข้ากำลังคิดว่าของปีใหม่ปีนี้จะซื้อจากไหนบ้างดี พี่หญิงสี่ซื้อเมล็ดทานตะวันนี้มาจากไหนหรือ รสชาติดีอย่างมาก ข้าจะได้บอกให้ผู้ดูแลไปซื้อกลับมาทานตอนปีใหม่”
“ร้านเหมาจี้บนถนนถนนตงต้า!” ซื่อเหนียงกลัวว่าสืออีเหนียงจะถามอะไรอีก นางจึงพูดออกนอกเรื่องไปไกล
พวกนางสองคนนั่งคุยเรื่อยเปื่อยอยู่ประมาณสองก้านธูป ฮูหยินห้าก็ยังไม่ออกมา ซื่อเหนียงเห็นว่ามันสายแล้ว จึงบอกให้โรงครัวเตรียมอาหาร จากนั้นก็ลุกขึ้นไปเชิญฮูหยินห้าและชีเหนียงออกมาทานข้าว
สืออีเหนียงห้ามซื่อเหนียงเอาไว้ “…ปล่อยให้พวกนางคุยกันเถิด ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญ เกรงว่าพี่หญิงเจ็ดคงจะทานอะไรไม่ลงกระมัง”
ซื่อเหนียงครุ่นคิดแล้วพูดว่า “เช่นนั้นข้าจะบอกให้โรงครัวเหลืออาหารไว้ให้พวกนาง!”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า ทานข้าวกลางวันที่จวนของซื่อเหนียง นอนกลางวัน จากนั้นก็เล่นกับฉี่เกอ เห็นฟ้าเริ่มมืดลงจนถึงเวลาต้องจุดโคมไฟแล้ว ก็นึกขึ้นมาได้ว่าจิ่นเกอไม่เคยห่างตัวเองนานขนาดนี้ ไม่รู้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง นางก็ไม่สบายใจขึ้นมาทันที อยากมีปีกสองข้างบินกลับไปที่เรือนตอนนี้ทันที แต่ก็พลันนึกขึ้นได้ว่าวันนี้ฮูหยินห้าทานแค่ของว่างที่ซื่อเหนียงบอกให้สาวใช้ยกเข้าไปแค่สองสามชาม…ก็รู้สึกไม่สบายใจ กำลังลังเลว่าจะเข้าไปขัดจังหวะฮูหยินห้ากับชีเหนียงดีหรือไม่ ก็มีสาวใช้วิ่งเข้ามารายงาน “นายหญิง ฮูหยินเจ้าคะ คุณนายสกุลจูและตานหยางเซี่ยนจู่ออกมาแล้วเจ้าค่ะ”
พวกนางสองคนได้ยินเช่นนี้ก็รีบลุกขึ้นเดินไปที่เรือนหลังทันที จากนั้นก็เจออกับฮูหยินห้าและชีเหนียงที่กำลังจับมือกันอยู่
ฮูหยินยิ้มแย้มอย่างมีชีวิตชีวา ชีเหนียงถึงแม้ว่าจะตาแดง แต่บนใบหน้ากลับมีรอยยิ้มจางๆ
ซื่อเหนียงเห็นเช่นนี้ก็ดีใจ สืออีเหนียงเองก็ยิ้มเหมือนกัน
“คิดว่าพวกเจ้าจะคุยกันนานกว่านี้เสียอีก” ซื่อเหนียงเดินเข้าไป “หิวแล้วใช่หรือไม่” นางบอกสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ “จัดอาหารเร็วเข้า”
“นายหญิงอวี๋เจ้าคะ” ฮูหยินห้ารีบพูด “วันนี้ค่ำแล้ว เราค่อยมารบกวนท่านวันอื่นดีกว่า”
“ได้อย่างไรกัน!” ซื่อเหนียงพูด แต่ชีเหนียงกลับพูดแทรกขึ้นว่า “พี่หญิงสี่ อย่ารั้งพวกนางเลยเจ้าค่ะ เซินเกออยู่ที่เรือนคนเดียวทั้งวัน ตานหยางคงคิดถึงเขาแล้ว วันอื่นเราค่อยเชิญพวกนางมาทานข้าวด้วยกันก็ได้! “
“พูดเช่นนี้ได้อย่างไร!” ซื่อเหนียงได้ยินแล้วก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก
แต่ชีเหนียงกลับพูดอีกว่า “ข้ากับตานหยางไม่ใช่คนอื่น ไม่ต้องเกรงใจกัน!” นางสนิทสนมกับตานหยางมากขึ้นกว่าแต่ก่อน
ดูเหมือนว่าพวกนางสองคนจะคุยกันได้ไม่เลวเลยทีเดียว
สืออีเหนียงแอบพยักหน้าในใจ พูดคุยกับซื่อเหนียงและชีเหนียงสองสามประโยค จากนั้นพวกนางก็เดินออกมาส่งขึ้นรถม้าหน้าประตู
ชีเหนียงยืนร่ำฮูหยินห้าอยู่หน้ารถม้า “ทันทีที่มีข่าว ข้าจะให้ป้ารับใช้ของข้าไปรายงานเจ้าทันที” จากนั้นก็พูดกับสืออีเหนียง “ทางฝั่งของไท่ฮูหยิน น้องหญิงสิบเอ็ดช่วยพูดให้ข้าด้วย บอกว่าข้าสบายใจขึ้นแล้วจะไปก้มหัวคารวะนาง หากไปตอนนี้ สีหน้าดูย่ำแย่เช่นนี้ ประเดี๋ยวนางจะไม่สบายใจเอาได้”
“รู้แล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงขอตัวลา
จากนั้นรถม้าก็แล่นออกไปจากตรอก
สีหน้าของฮูหยินห้าหม่นหมองลง
“พี่สะใภ้สี่ ข้าคิดว่าเรื่องนี้ เราไปปรึกษากับคุณชายที่ตรอกกงเสียนดีกว่า”
สืออีเหนียงได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ “เกิดอะไรขึ้นหรือ”
“เรื่องที่ชีเหนียงจะรับบุตรชายคนเล็กของสกุลอวี๋ไปเลี้ยง เหตุผลครึ่งหนึ่งเพราะว่าตอนนั้นจูอานผิงเคยสัญญากับชีเหนียงเอาไว้ แต่ตอนนี้จูอานผิงเปลี่ยนใจ ชีเหนียงคิดว่าจูอานผิงไม่รักษาคำสัญญา นางจึงไม่ยอม แต่เหตุผลอีกครึ่งหนึ่งคือนายท่านสองสกุลหลัว!”
“ท่านลุงสองเช่นนั้นหรือ” สืออีเหนียงงุนงง
ฮูหยินห้าพยักหน้า จากนั้นก็พูดว่า “ชีเหนียงเป็นคนบอกเอง ตอนนั้นนางกลับไปสกุลเดิมเพราะเรื่องนี้ นายท่านสองตำหนินาง ต่อมาได้ยินว่ามีคนในสกุลจูยุยงนายหญิงผู้เฒ่าสกุลจู เขาจึงเปลี่ยนใจ บอกว่า บรรดาสกุลญาติของสกุลจูแยกย้ายกันไปตั้งแต่สมัยท่านปู่ของจูอานผิงแล้ว ทรัพย์สมบัติครึ่งหนึ่งของสกุลจู ครึ่งหนึ่งเป็นของบิดาของจูอานผิง เป็นของที่ท่านปู่ทิ้งเอาไว้ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งจูอานผิงเป็นคนหามาเอง บรรดาสกุลญาติเหล่านั้นมีสิทธิ์อะไรมาแบ่งไป จากนั้นก็เขียนจดหมายฉบับหนึ่งบอกให้ชีเหนียงนำมาให้นายหญิงอวี๋…”
ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้จะเดาว่านายท่านสองและนายหญิงสองต้องรู้เรื่องนี้แน่นอน แต่เพราะว่ารักและตามใจบุตรสาวมากเกินไปจึงปล่อยให้ชีเหนียงทำเช่นนี้ แต่กลับคิดไม่ถึงว่านายท่านสองจะมีบทบาทหลักในเรื่องนี้!
สืออีเหนียงรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมา
ตอนนี้แม้แต่ซื่อเหนียงที่ใจกว้างและฉลาดยัง…
นางไม่อยากจะเชื่อ รีบขัดจังหวะฮูหยินห้าแล้วพูดเบาๆ “เช่นนั้นพี่หญิงสี่ของข้าว่าเช่นไร”
“นายหญิงอวี๋คิดว่าเรื่องนี้เหลวไหลเกินไป ไม่ต้องพูดถึงนาง แม้แต่ใต้เท้าอวี๋ ก็ไม่มีทางยอมให้บุตรของตัวเองไปเป็นบุตรบุญธรรมขงสกุลจู เกลี้ยกล่อมให้ชีเหนียงรีบกลับเกาชิง ไม่ว่าเช่นไรก็ต้องอยู่ที่เรือนหลักให้ได้ แล้วประเดี๋ยวนางจะตามไปที่เกาชิง ไปช่วยชีเหนียงพูดกับสกุลจู แต่เรื่องที่จะรับเด็กมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม อย่าแม้แต่จะคิด ให้จูอานผิงแต่งตั้งอี๋เหนียง หากคลอดบุตรชาย ก็ไปรายงานที่ฝ่ายราชการแล้วเลี้ยงในนามของชีเหนียง หากไม่มีบุตร เช่นนั้นก็ขึ้นอยู่กับสกุลหลัว ถึงตอนนั้นจะทำให้คนที่บอกให้รับเด็กมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรมอับอายขายขี้หน้าให้หมด”
นี่คือซื่อเหนียงที่ตัวเองรู้จัก!
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“แต่ชีเหนียงในตอนนั้นมาหาพี่หญิงสี่ด้วยความดีใจ” นางพูดเบาๆ “จะให้พี่หญิงสี่คืนความยุติธรรมให้ตัวเอง ให้จูอานผิงทำตามสัญญา เช่นนี้ นางจะยอมฟังได้อย่างไร”
“ใช่แล้ว!” ฮูหยินห้าถอนหายใจ “ตอนนั้นนางคิดว่านายท่านสองพูดถูก แล้วยังบอกว่า หากคนในสกุลจูเคารพนางก็คงดี แต่ตั้งแต่นางแต่งเข้าไปในสกุลจู ตั้งแต่เรื่องอาหารการกินจนถึงเรื่องเสื้อผ้าหน้าผม ญาติผู้ใหญ่ในสกุลจูและบรรดาลูกสะใภ้ก็เอาแต่จับผิดนาง รู้ว่าจูอานผิงไม่ยอมรับอนุภรรยาเพราะนาง ทุกคนก็เอาแต่รอหัวเราะเยาะ ตอนนี้บอกให้นางรับอนุภรรยาให้สามีตัวเอง เช่นนั้นก็เหมือนให้นางตบปากตัวเองน่ะสิ”
“เพราะอย่างนั้นนางจึงอาละวาดหรือ” สืออีเหนียงคาดเดา
ฮูหยินห้ายิ้มอย่างขมขื่น “นางหยิบกรรไกรแทงเข้าไปที่หน้าอกตัวเอง…หากไม่ใช่เพราะสาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ไหวพริบดี เกรงว่า…” จากนั้นนางก็พูดต่อไปว่า “โชคดีที่แทงถูกมือของสาวใช้คนนั้น!”
โชคดีที่แทงถูกมือของสาวใช้คนนั้น!?
เห็นท่าทีที่ไม่สนใจคนอื่นของฮูหยินห้า สืออีเหนียงก็ลังเลที่จะพูด
แต่ฮูหยินห้ากลับไม่ได้คิดอะไรมาก
ไม่ว่าใครเจอเรื่องที่เกี่ยวข้องกับญาติผู้ใหญ่ของสกุลเช่นนี้ก็คงจะลำบากใจ! ยิ่งไปกว่านั้นตนเป็นน้องสะใภ้ของสืออีเหนียง สืออีเหนียงรู้สึกอึดอัดก็เป็นเรื่องธรรมดา
นางแสร้งทำเป็นไม่เห็นแล้วพูดต่อ “หลังจากนายท่านสองรู้ว่านายหญิงอวี๋ไม่ยอมมอบบุตรของตัวเองให้ชีเหนียง เขาก็เขียนจดหมายมาตั้งหลายฉบับ แล้วยังส่งสหายของตัวเองมาที่เยี่ยนจิง บอกว่าหากนายหญิงอวี๋ไม่ยอมพูด เช่นนั้นนายท่านสองก็จะมาหาบุตรเขยที่นายท่านสองเลี้ยงดูเหมือนบุตรชายแท้ๆ คนนี้เอง นายหญิงอวี๋จึงต้องตอบตกลง”
ดังนั้นซื่อเหนียงจึงพูดอะไรไม่ได้…
สืออีเหนียงก้มหน้าก้มตา นั่งเงียบไม่พูดไม่จาอยู่นาน
ฮูหยินห้าเห็นความเศร้าและความโมโหปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสืออีเหนียง ก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจ
นางอยากปลอบใจสืออีเหนียง แต่ปกติพวกนางสองคนไม่ค่อยไปมาหาสู่กันมากนัก นางจึงไม่รู้ว่าพูดอย่างไรถึงจะเหมาะสม
ท่ามกลางความเงียบงัน เสียงของผู้คนที่อยู่นอกรถม้าดังขึ้นเรื่อยๆ
ผ่านถนนซีต้าที่เรียงรายเต็มไปด้วยร้านค้า ก็จะเป็นถนนเจิ้งอานที่เงียบสงบ สามารถมองเห็นตรอกเหอฮวาหลี่ที่อยู่ไกลๆ
คิดเช่นนี้ นางก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “พี่สะใภ้สี่เจ้าคะ ข้าคิดว่ากุญแจสำคัญของเรื่องนี้คือนายท่านสอง รุ่นลูกอย่างเราคงทำอะไรไม่ได้แล้ว พี่สะใภ้สี่คงต้องรีบคิดหาวิธี!”
สืออีเหนียงเงยหน้าขึ้นด้วยสีหน้าซาบซึ้ง “น้องสะใภ้ห้า ขอบคุณเจ้าที่เตือนข้า พรุ่งนี้เช้าข้าจะไปตรอกกงเสียนทันที” นางถามฮูหยินห้า “แล้วพี่หญิงเจ็ดของข้า…ตอนนี้นางคิดเห็นอย่างไร”
ฮูหยินห้าได้ยินแล้วก็มีสีหน้าพอใจ “ข้าบอกนางว่า แทนที่จะให้จูอานผิงทำตามสัญญา ไม่สู้บอกว่าจูอานผิงผิดสัญญายังจะดีกว่า!”
สืออีเหนียงมองดูฮูหยินห้าด้วยความตะลึง
ฮูหยินดูมีท่าทีสบายใจราวกับดื่มชาร้อนในฤดูหนาว
สายตาของนางมีร่องรอยของความพอใจ
“ผู้ชาย เมื่อมีความสุขก็พูดออกมาจนหมด หากผู้หญิงอย่างเราเอาแต่เก็บทุกเรื่องเอาไว้ในใจ เช่นนั้นคงต้องหาสมุดบันทึก คอยบอกให้สาวใช้บันทึกเอาไว้” ฮูหยินห้ายิ้ม “ชีเหนียงไม่มีบุตร มันคือความผิดของชีเหนียง แต่จูอานผิงที่สัญญาว่าจะรับบุตรชายของใครสักคนในบรรดาพี่น้องมาเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม มันคือความผิดของจูอานผิง เมื่อเทียบกันแล้ว ก็ถือว่าหายกัน”
คนบางคน เกิดมาก็มีความสามารถในการจัดการความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยา
ฮูหยินห้าคือคนที่มีพรสวรรค์เช่นนี้!
หลายปีมานี้ ชีเหนียงรู้สึกผิดที่มีบุตรให้สกุลสามีไม่ได้ ดังนั้นนางจึงชอบอาละวาด เรื่องเล็กๆ น้อยๆ นางก็สามารถทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่ได้ และคำพูดของฮูหยินห้านั้นช่วยเติมเต็มช่องว่างในใจของชีเหนียง