ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 529 เกิดความขัดแย้ง (ปลาย)
หวังซื่อ อี๋เหนียงของหลัวเจิ้นซิ่งยกน้ำชาเข้ามาด้วยความเคารพ จากนั้นก็เดินออกไปแล้วปิดประตูเงียบๆ
“เหตุใดจู่ๆ ถึงมาหาข้าเล่า” หลิวเจิ้นซิ่งยกถ้วยชาขึ้นมาจิบ
“ข้าพึ่งไปหาพี่หญิงสี่มาเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงยกถ้วยชาขึ้นมาจิบแล้วมองตาหลิวเจิ้นซิ่ง “ได้ยินพี่หญิงสี่บอกว่า จะให้พี่ใหญ่ออกหน้าพูดกับสกุลจูเรื่องที่จะรับบุตรธรรมมาเลี้ยง”
สายตาของสืออีเหนียงมีความเคร่งขรึม ไร้ความอ่อนโยนเหมือนเดิม ทำเอาหลัวเจิ้นซิ่งแปลกใจ
“น้องหญิงสี่เคยพูดเรื่องนี้กับข้าจริงๆ” เขาพูดเบาๆ “แต่ว่าข้าต้องฟังความคิดเห็นของท่านอาสองก่อน ข้าเขียนจดหมายแล้วส่งคนนำไปส่งที่มณฑลซานตงแล้ว”
หลิวเจิ้นซิ่งทำอะไรรอบคอบมาตลอด
สืออีเหนียงรู้สึกโล่งใจ “พี่เขยเจ็ดเคยสัญญากับพี่หญิงเจ็ดว่า หากพี่หญิงเจ็ดไม่มีบุตร สามารถรับบุตรของใครสักคนในบรรดาพี่น้องไปเลี้ยงในนามของพี่หญิงเจ็ดเจ้าค่ะ…” นางเล่าที่ไปที่มาให้หลิวเจิ้นซิ่งฟังอย่างละเอียด หลิวเจิ้นซิ่งได้ยินเช่นนี้ก็ขมวดคิ้ว “ท่านอาสองรู้เรื่องนี้หรือไม่”
“ข้าไม่รู้ว่าท่านอาสองรู้เรื่องนี้หรือไม่” สืออีเหนียงพูดต่ออีก “แต่ว่าพี่หญิงสี่รู้เจ้าค่ะ ตอนนี้พี่หญิงเจ็ดบอกให้พี่เขยเจ็ดทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้ แล้วเราก็ยังไม่ได้เจอกับพี่เขยเจ็ด ไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นกับสกุลจู พี่หญิงสี่บอกให้ข้าพูดกับท่านโหว บอกว่าหากสกุลจูไปฟ้องส่วนราชการ ให้ท่านโหวออกหน้าพูดให้หน่อย ข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะสม จึงยังไม่ได้บอกท่านโหว และมาปรึกษากับพี่ใหญ่ก่อนเจ้าค่ะ”
หลิวเจิ้นซิ่งครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เจ้าทำถูกแล้ว เรื่องนี้เจ้าอย่าพึ่งบอกท่านโหวตอนนี้ รอจดหมายของท่านอาสองก่อน ให้ข้าได้เจอกับน้องเขยเจ็ดก่อนแล้วค่อยว่ากัน หากน้องหญิงสี่ไปหาเจ้าอีก เจ้าก็บอกนางตามตรงเถิด”
สืออีเหนียงขานรับแล้วพูดว่า “ครั้งนี้พี่หญิงสี่ท่าทางโมโห แล้วท่านอาสองก็รักและเอ็นดูพี่หญิงเจ็ดมาตลอด แต่เราเป็นเพียงหลาน พี่ใหญ่เจ้าคะ พี่ใหญ่คิดว่าเราควรเล่าเรื่องนี้ให้ท่านพ่อฟังดีหรือไม่ พี่หญิงเจ็ดรับบุตรของพี่หญิงสี่ไปเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม ถึงตอนนั้นเราจะอธิบายให้สกุลอวี๋ฟังเช่นไรเล่า ตอนนี้ท่านอาสองและพี่หญิงสี่กำลังโมโห ไม่แปลกหากจะลำเอียง แต่เราจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ไม่ได้ ทำดีหวังสิ่งตอบแทน อาจทำให้ชื่อเสียงของสกุลเสียหายเอาได้”
“ถูกต้องแล้ว” หลิวเจิ้นซิ่งพยักหน้าเบาๆ “เรื่องนี้ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องของครอบครัวท่านอาสอง แต่มาขอความช่วยเหลือจากเรา หากเรารับปากก็ฟังดูไม่สมเหตุสมผล แต่หากปล่อยให้ชีเหนียงก่อเรื่องเช่นนี้ต่อไป ไม่เพียงแต่จะเกิดความขัดแย้งกับสกุลจู แล้วยังอาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งกับสกุลอวี๋ ทางฝั่งท่านอาสอง คงต้องเชิญท่านพ่อออกหน้าพูดให้” พูดจบ เขาก็ครุ่นคิด “เอาอย่างนี้ดีกว่า ข้าเขียนจดหมายฉบับหนึ่ง สกุลสวีมีม้าเร็วในสถานีส่งสาร เจ้าบอกให้ฝ่ายรายงานของสกุลสวีรีบนำจดหมายส่งไปที่อวี๋หัง ต้องให้ท่านอาสองจัดการชีเหนียง หากไม่ได้ผล ก็เชิญท่านพ่อมาที่เยี่ยนจิง”
“เช่นนั้นข้าฝนหมึกให้พี่ใหญ่ดีกว่าเจ้าค่ะ” เรื่องนี้จะล่าช้าไม่ได้ สืออีเหนียงรีบลุกขึ้นยืน
หลิวเจิ้นซิ่งก็เป็นคนที่พึ่งพาได้ เขาเดินไปที่ห้องหนังสือกับสืออีเหนียง
หลังจากได้รับจดหมาย สืออีเหนียงก็ขอตัวลาทันที
หลิวเจิ้นซิ่งออกไปส่งนางหน้าประตู “ทางฝั่งน้องหญิงเจ็ด ช่วงนี้เจ้าไปหานางบ่อยๆ นางไม่เคยเจอเรื่องเช่นนี้มาก่อน นางเองก็คงเสียใจ มีเจ้าไปอยู่เป็นเพื่อนปลอบใจ นางจะได้สบายใจ”
“พี่ใหญ่ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ!” ป้าซ่งประคองสืออีเหนียงขึ้นรถม้า “ข้ารู้ว่าต้องทำเช่นไร”
หลิวเจิ้นซิ่งพยักหน้าแล้วมองดูสืออีเหนียงจากไป
หวังอี๋เหนียงยืนขมวดคิ้วอยู่ด้านหลังเขา
*****
กลับมาถึงตรอกเหอฮวาหลี่ สืออีเหนียงก็บอกให้ป้าซ่งไปหาพ่อบ้านไป๋ทันที จากนั้นตัวเองก็รีบกลับไปที่เรือนหลัก
ไม่ได้เจอมารดาตั้งครึ่งค่อนวัน ทันทีที่เห็นมารดา จิ่นเกอก็น้ำตาคลอเบ้าแล้วโผตัวเข้ามาในอ้อมกอดของสืออีเหนียงทันที
สืออีเหนียงยิ้มแล้วอุ้มเขา “หากเจ้าเรียกท่านแม่ได้จะดีแค่ไหนกันเชียว”
จิ่นเกอเบิกตากว้างมองสืออีเหนียงด้วยท่าทีสงสัย
สืออีเหนียงยิ้ม นางหอมแก้มจิ่นเกอแล้วพูดกับเขาอย่างอ่อนโยน “ท่านแม่ไม่อยู่ เจ้าดื้อหรือไม่”
จิ่นเกอยกมือเล็กๆ ขึ้นมาปิดปากแล้วยิ้ม ราวกับกำลังพูดว่า ‘ข้าไม่บอกท่านหรอก’
สืออีเหนียงหัวเราะ “ตอบไม่ตรงคำถาม ไม่รู้ว่าเจ้าฟังออกหรือไม่!” จากนั้นก็ไปนั่งบนเตียงเตากับจิ่นเกอ
พ่อบ้านไป๋ก็มาพอดี
สืออีเหนียงยื่นจดหมายให้เขา “ทางฝั่งตรอกกงเสียนมีเรื่องสำคัญ อยากส่งจดหมายฉบับนี้ไปที่อวี้หังโดยเร็วที่สุด ข้ารู้ว่าท่านโหวเป็นคนแยกแยะเรื่องงานกับเรื่องส่วนตัว แต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา ขอร้องให้พ่อบ้านไป๋จัดการให้ข้าด้วยเถิด”
ความหมายก็คือไม่ให้พ่อบ้านไป๋บอกสวีลิ่งอี๋
เรื่องบางเรื่อง ก็ต้องปิดบังกันบ้าง
พ่อบ้านไป๋ยิ้มแล้วขานรับ “ขอรับ” รับจดหมายมาแล้วขอตัวออกไป
สืออีเหนียงไปเปลี่ยนเสื้อผ้า
นางไม่อยากให้สวีลิ่งอี๋เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
เดิมทีคิดว่าจะเกลี้ยกล่อมซื่อเหนียงได้ เช่นนี้ หนึ่งคือชีเหนียงจะไม่มีคนคอยสนับสนุน นางอาจจะยอมฟังอะไรบ้าง แต่ตอนนี้ซื่อเหนียงกลับมีท่าทีแบบนี้ หลิวเจิ้นซิ่งบอกให้นางไปเกลี้ยกล่อมชีเหนียง คำพูดที่หวังดีมักไม่น่าฟัง บางทีเกลี้ยกล่อมไปเกลี้ยกล่อมมา ผลลัพธ์ที่ได้นั้นอาจจะตรงกันข้าม ทำให้ชีเหนียงไม่พอใจ ตัวเองบอกให้ชีเหนียงไปทางซ้าย แต่ชีเหนียงอาจจะไปทางขวา…
ทันใดนั้น นางก็นึกถึงตามหยางฮูหยินห้าขึ้นมา
นางกับชีเหนียงพูดกันได้ทุกเรื่องไม่ใช่หรือ แล้วอีกอย่างพี่ชายคนปัจจุบันของนางคือทายาทผู้สืบสกุล สำหรับเรื่องรับเด็กมาเลี้ยงเป็นบุตรธรรม นางและชีเหนียงน่าจะมีเรื่องที่คุยด้วยกันได้…แล้วอีกอย่าง ถึงแม้ว่าฮูหยินห้าจะเป็นคนเย่อหยิ่ง แต่นางไม่เคยไม่รู้ความเมื่อต้องเผชิญกับเรื่องใหญ่ ขอแค่ไม่ทำให้ชื่อเสียงของสกุลสวีเสียหาย ตนยอมถูกนางหัวเราะเยาะเพราะเรื่องของสกุลเดิม
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว สืออีเหนียงแต่งตัวแล้วไปที่เรือนของฮูหยินห้า
ฮูหยินห้ากำลังเล่นขว้างถุงทรายกับซินเจี่ยเอ๋อร์ ได้ยินว่าสืออีเหนียงมาหานางก็ตกใจ ถึงแม้ว่าพวกนางจะยิ้มให้กัน แต่มันราวกับมีผ้าม่านบางๆ กั้นอยู่ตรงกลางระหว่างพวกนาง ทำให้พวกนางดูไม่สนิทสนมกัน นอกจากนั้นสืออีเหนียงก็คงไม่มีทางมาหานางหากไม่มีเรื่องอันใด
นางออกไปต้อนรับสืออีเหนียงที่หน้าประตูด้วยรอยยิ้ม “ทำไมวันนี้พี่สะใภ้สี่ถึงมีเวลามานั่งที่เรือนข้าเล่า” เห็นสืออีเหนียงพาสาวใช้มาด้วยแค่สองคน นางก็ยิ่งแปลกใจ แต่รอยยิ้มบนใบหน้ากลับไม่จางหายไป “แล้วทำไมไม่พาจิ่นเกอมาด้วยเล่า ซินเจี่ยเอ๋อร์ชอบเล่นกับจินเกอมาก แล้วยังบอกข้าบ่อยๆ ว่า น้องหกไม่เหมือนน้องเจ็ดที่เอาแต่ร้องไห้”
ในเมื่อมาขอร้องให้ฮูหยินห้าช่วย สืออีเหนียงก็ไม่อยากอ้อมค้อม
นางทักทายฮูหยินห้าสองสามประโยค จากนั้นก็พูดว่า “เมื่อครู่ข้ากลับมาจากจวนของพี่หญิงสี่ พี่หญิงเจ็ดอยู่ที่เรือนของพี่หญิงสี่”
“หา!” ฮูหยินห้าได้ยินเช่นนี้ก็ทั้งตกใจและดีใจ “ชีเหนียงคนนี้ หลอกให้ข้าบ่นถึงนางทุกวัน มาเยี่ยนจิงก็ไม่มาหาข้า” นางเห็นว่าสืออีเหนียงไม่มีท่าทีดีใจเลยเม้แต่น้อย สีหน้าของนางก็เคร่งขรึมขึ้น “หรือว่าเกิดอะไรขึ้นหรือ”
สืออีเหนียงพยักหน้า “เราเข้าไปคุยกันข้างในเถิด!”
ฮูหยินห้าพยักหน้าด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม พวกนางสองคนเข้าไปนั่งในห้องข้างในแล้วไล่สาวใช้ออกไปจนหมด
“ข้าไปหาพี่หญิงเจ็ดโดยเฉพาะ” สืออีเหนียงเล่าที่ไปที่มาของเรื่องราวให้ฮูหยินห้าฟังเบาๆ
ฮูหยินห้ามองสืออีเหนียงด้วยความงุนงง พลันสับสนไปหมด
คิดไม่ถึงว่าสืออีเหนียงจะเล่าเรื่องในสกุลเดิมให้ตัวเองฟัง แล้วยังขอให้นางช่วยเกลี้ยกล่อมชีเหนียงอีกด้วย
แต่นางกลับแอบรู้สึกนับถือ
ฟังจากน้ำเสียงแล้ว ตอนนี้ชีเหนียงไม่ยอมฟังใครแล้ว แต่สืออีเหนียงยังสามารถจัดการเรื่องราวได้อย่างถูกต้องเหมาะสมเช่นนี้ ถือว่านางเป็นคนฉลาด
“เราจะอ้างว่าเลี้ยงต้อนรับนางเพื่อเชิญนางมาที่จวน หรือว่าข้าไปเยี่ยมอวี๋ฮูหยินกับพี่สะใภ้สี่ดี” ฮูหยินห้าถามสืออีเหนียง
ฮูหยินห้าตอบตกลงช่วยนางเกลี้ยกล่อมชีเหนียงแล้ว สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เราไปหาพี่หญิงสี่ด้วยกันเถิด!” สืออีเหนียงพูด “ตอนนี้นางไม่ค่อยมีสติ เชิญนางมา นางต้องไปทักทายคนนั้นคนนี้ ข้ากลัวว่านางจะทนไม่ไหว”
“เจ้าค่ะ!” ฮูหยินห้าพูด “เช่นนั้นเราไปพรุ่งนี้กันเถิด ข้าก็อยากเจอนาง พูดคุยกับนางเหมือนกัน”
“เช่นนั้นก็รบกวนน้องสะใภ้ห้าแล้ว!” สืออีเหนียงขอบคุณนางอย่างจริงใจ
จากนั้นฮูหยินห้าก็ถามถึงของขวัญที่ฟังซื่อมอบให้จิ่นเกอ “…คือหนังสืออะไรหรือ พี่สะใภ้สี่นำออกมาให้ข้าดูได้หรือไม่ เมื่อถึงวันเกิดเซินเกอ ข้าจะได้คัดลอกเอาไว้สักเล่ม”
“เจ้าหาเวลาไปที่เรือนของข้า ประเดี๋ยวข้านำออกมาให้ดู!” สืออีเหนียงยิ้ม พูดคุยกับฮูหยินห้าอีกสองสามประโยค จากนั้นก็ลุกขึ้นกลับไปที่เรือนของตัวเอง
สวีลิ่งอี๋กำลังเล่นซ่อนแอบกับจิ่นเกอ เมื่อเห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา เขาก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ชีเหนียงเป็นเช่นไรบ้าง เหตุใดเจ้าถึงไปหาตานหยาง”
“พี่หญิงเจ็ดสบายดีเจ้าค่ะ นางมาเยี่ยนจิง ข้าจึงไปบอกน้องสะใภ้ห้า” นางพูดด้วยรอยยิ้ม “เราตกลงกันว่าพรุ่งนี้จะไปหาพี่หญิงเจ็ดด้วยกัน”
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้สงสัยอะไร เขาพูด “ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้จูอานผิงอยู่ที่จี่หนาน”
“พี่หญิงเจ็ดจึงต้องรอจูอานผิงมารับเจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้ม “ช่วงนี้ข้าคงจะต้องไปหาพี่หญิงสี่บ่อยหน่อยนะเจ้าคะ!”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้ารับรู้แล้วพูดว่า “อีกสองสามวันจูอานผิงจะไปเจียงหนาน เจ้าบอกให้นางอยู่ที่เยี่ยนจิง จูอานผิงกลับมาแล้วจะได้ไม่ต้องออกไปตามหานาง ทำให้เวลาออกเดินทางไปเจียงหนานต้องล่าช้า”
ประเดี๋ยวก็จะถึงฤดูหนาวแล้ว จูอานผิงยังจะไปเจียงหนาน ดูเหมือนว่าเรื่องนี้สำคัญไม่น้อย
แย่ขนาดนี้แล้วยังแย่กว่าเดิมอีก
ดันมาเกิดเรื่องบุตรบุญธรรมตอนนี้
“ท่านโหวไม่ต้องเป็นห่วง!” สืออีเหนียงแอบถอนหายใจในใจ “ยังมีพี่หญิงสี่อยู่เจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ไม่ถามอะไรอีก
*****
วันต่อมา สืออีเหนียงและฮูหยินห้าไปที่เรือนของไท่ฮูหยิน
ฮูหยินสามและฟังซื่อมาถึงตั้งนานแล้ว ฮูหยินสามนั่งอยู่บนเตียงเตาข้างหน้าต่างในห้องกับไท่ฮูหยิน ไม่รู้ว่าพวกนางกำลังพูดอะไรกัน ฟังซื่อยืนอยู่ข้างฮูหยินสามด้วยสีหน้าที่เขินอาย ไท่ฮูหยินจิบชาด้วยสีหน้าที่ดูสงบและผ่อนคลาย
เห็นสืออีเหนียงและฮูหยินห้าเดินเข้ามา ฮูหยินสามก็หยุดพูดทันที นางเดินเข้าไปคำนับพวกนางสองคน จากนั้นก็อ้างว่าต้องนำสมุดบัญชีรายจ่ายในงานเลี้ยงวันเกิดของจิ่นเกอไปให้ฝ่ายรายงาน แล้วก็พาฟังซื่อขอตัวลา
ฮูหยินห้ารีบเดินเข้าไปกอดไท่ฮูหยิน “ท่านแม่เจ้าคะ พี่สะใภ้สามมาหาท่านมีเรื่องอันใดหรือ”
ไท่ฮูหยินพูดอย่างเฉยเมย “ชื่นชมว่าคุณนายน้อยใหญ่กตัญญู รู้ความ รู้หนังสือแล้วยังเย็บปักถักร้อยเป็น อีกทั้งยังเป็นบุตรสาวสกุลใหญ่สกุลโต ไม่จำเป็นต้องให้นางสอนกฎเกณฑ์”
เช่นนี้ ฮูหยินสามก็สามารถเดินทางกลับมณฑลซานหยางได้แล้ว
ไม่รู้ว่าสวีลิ่งอี๋เล่าเจตนาของคุณชายสามให้ไท่ฮูหยินฟังแล้วหรือยัง
สืออีเหนียงครุ่นคิด จากนั้นก็เห็นฮูหยินห้าถามอย่างเป็นกังวล “เช่นนั้นท่านบอกว่าอย่างไรเจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินมองหน้าฮูหยินห้า “ข้ากำลังจะบอกว่า ในเมื่อคุณนายน้อยใหญ่ไม่ต้องเรียนรู้กฎเกณฑ์แล้ว ฮูหยินสามก็กลับมณฑลซานหยางเถิด แต่พวกเจ้ามาเสียก่อน เรื่องนี้คงต้องรอไปก่อน” นางพูดด้วยสายตาเข้มงวด เตือนนางว่าอย่าไปยุ่ง
ฮูหยินห้าตกใจ พวกนางสองคนพูดคุยกับไท่ฮูหยิน รายงานไท่ฮูหยิน จากนั้นก็ออกไปที่จวนของซื่อเหนียง
ซื่อเหนียงเห็นฮูหยินห้านางก็อึดอัด เมื่อฮูหยินห้าไปหาชีเหนียงที่ห้องปีก นางก็อดไม่ได้ที่จะพูดกับสืออีเหนียงเบาๆ “เหตุใดถึงพาฮูหยินห้ามาด้วยเล่า”
เพิ่มขนาดช่อง ดึงมุมขวามือลง