ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 525 จับเสี่ยงทาย (กลาง)
ความไม่สบายใจของสวีลิ่งอี๋ดำรงอยู่เพียงแค่คืนเดียว ตื่นนอนในเช้าวันต่อมา เขาก็กลับมาสุขุมเหมือนเดิม เขายัดถุงเงินให้สืออีเหนียงตั้งหลายถุง “ไม่ต้องคิดมาก ควรให้รางวัลก็ให้ อย่าทำให้ตัวเองและลูกลำบากใจ”
สืออีเหนียงพยักหน้าซ้ำๆ จากนั้นก็อุ้มจิ่นเกอเข้าไปในพระราชวัง
หวงกูกู นางในของฮองเฮาออกมาต้อนรับพวกเขาที่ประตูทางทิศตะวันออก
พอเห็นจิ่นเกอที่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูและเฉลียวฉลาด นางก็อดไม่ได้ที่จะลูบหัวเขา “คุณชายน้อยหกหน้าตาหล่อเหลาเสียจริง!”
“หวงกูกูชมเกินไปแล้ว!” สืออีเหนียงเดินเข้าไปในพระตำหนักคุนหนิงกับนาง
ทันทีที่เข้าไป ก็เจอกับนางในจากในวังที่รีบเดินออกมา เมื่อเห็นพวกนาง นางในก็รีบคำนับหวงกูกู จากนั้นก็รีบเดินออกไปทางหลังพระตำหนักของฮองเฮา
นี่เป็นพฤติกรรมที่ไม่มีมารยาทอย่างมาก!
สืออีเหนียงประหลาดใจ
หวงกูกูยิ้มแล้วอธิบาย “นางคือนางในขององค์หญิงใหญ่” จากนั้นก็อธิบายต่อไปว่า “องค์หญิงใหญ่ได้ยินว่าวันนี้คุณชายน้อยหกจะมา เมื่อวานจึงนอนที่พระตำหนักคุนหนิง คิดว่าน่าจะรอไม่ไหวแล้ว จึงบอกให้นางในมาดูกระมัง”
สืออีเหนียงแอบร้องในใจอย่างขมขื่น
ในพระราชวังมีกฎเกณฑ์เข้มงวด หากปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ก็จะไม่ทำให้เกิดเรื่อง แล้วก็จะปลอดภัย แต่หากเจอกับองค์หญิงใหญ่ที่ไม่รู้ความและไม่ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ จะเกิดอะไรขึ้นกันแน่ นางเดาไม่ออกจริงๆ!
เมื่อตั้งสติได้แล้วก็เดินไปยังเรือนหน่วนฝังกับหวงกูกู
ฮองเฮาสวมชุดอ่าวสีเขียวลายดอกไม้นั่งอยู่บนพระที่นั่ง ส่วนองค์หญิงใหญ่สวมชุดอ่าวสีแดงนั่งอยู่ข้างๆ กำลังนั่งตัวตรง วางมือไว้ตรงเข่าแล้วยิ้มมุมปากอย่างแผ่วเบา บนใบหน้ามีรอยยิ้มที่เป็นมิตร ท่าทีสง่างามอ่อนช้อยเป็นอย่างมาก ทำเอาสืออีเหนียงแปลกใจไม่น้อย แต่ท่าทีนี้ไม่ได้อยู่นานนัก เมื่อสืออีเหนียงถวายบังคมฮองเฮาเสร็จแล้ว นางก็เห็นเท้าที่ซ่อนอยู่ใต้กระโปรงขององค์หญิงใหญ่ขยับไปมาด้วยความเบื่อหน่าย
ดูเหมือนว่า ถึงแม้ว่าองค์หญิงใหญ่จะยังเด็ก แต่นางก็คุ้นเคยกับพระราชวังดี นางเรียนรู้ที่จะเก็บซ่อนอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองแล้ว
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะยิ้ม จากนั้นก็ได้ยินน้ำเสียงที่อ่อนโยนของฮองเฮาดังขึ้นมา “เชิญหย่งผิงโหวฮูหยินนั่งเถิด!”
นางรีบดึงสติกลับมา ย่อเข่าขอบพระทัย จากนั้นก็นั่งลงบนเก้าอี้จิ่นอู้
ฮองเฮาหันไปบอกหวงกูกู “อุ้มคุณชายน้อยหกมาให้ข้าดูเถิด!” พูดด้วยน้ำเสียงที่เฝ้ารอ
ถึงแม้ว่าจะมีตำแหน่งเป็นถึงฮองเฮา แต่ตอนนี้นางเป็นเพียงท่านป้าที่รักและเอ็นดูหลานชายของตัวเองเท่านั้น
สืออีเหนียงโล่งใจ นางยิ้มแล้วยื่นจิ่นเกอส่งให้หวงกูกู
หวงกูกูอุ้มจิ่นเกอเดินเข้าไปหาฮองเฮา
ฮองเฮายื่นมือออกมาอุ้มจิ่นเกอแล้วสำรวจมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
จิ่นเกอไม่กลัวคนแปลกหน้า เขาเอียงหัวเบิกตากลมโตจ้องมองฮองเฮา ราวกับกำลังสงสัยว่าคนที่อยู่ตรงหน้าตัวเองตอนนี้คือใคร
ฮองเฮาเห็นเช่นนี้หัวใจของนางก็ราวกับจะละลาย
“ดูเจ้าตัวเล็กนี่สิ” นางยิ้มแล้วลูบหัวจิ่นเกอด้วยท่าทีที่อ่อนโยน “หน้าตาหล่อเหลาเสียจริง!” น้ำเสียงเต็มไปด้วยความจริงใจ เห็นได้ชัดว่านางโปรดปรานจิ่นเกอเป็นอย่างมาก
องค์หญิงใหญ่ชะเง้อคอออกไปดู
หวงกูกูเอ่ยประจบประแจงฮองเฮา “ใช่เพคะ! ตอนแรกที่เจอยังมองไม่ค่อยออก แต่ตอนนี้โตขึ้นแล้ว หน้าตาเหมือนหย่งผิงโหวราวกับแกะ แล้วยังมีความคล้ายคลึงกับองค์ชายสามของเราอีกด้วยเพคะ”
ฮองเฮาได้ยินเช่นนี้สีหน้าของนางก็อ่อนโยนมากขึ้นกว่าเดิม ยิ้มแล้วพยักหน้า “ลูกพี่ลูกน้องสายเลือดเดียวกัน กระดูกหักก็ยังเหลือเส้นเอ็น พวกเขาต้องเหมือนกันอยู่แล้ว !” พูดจบก็ลูบหัวจิ่นเกอด้วยความเอ็นดูอีกครั้ง
องค์หญิงใหญ่มองดูจิ่นเกอด้วยสายตาที่เป็นประกาย นางดึงแขนเสื้อของฮองเฮาแล้วตะโกนเรียก “เสด็จแม่” เบาๆ ราวกับกำลังขอร้องอะไรฮองเฮา
สืออีเหนียงเห็นเช่นนี้ก็ฉงนใจ
ฮองเฮาคงไม่ได้เรียกจิ่นเกอเข้ามาในพระราชวังเพราะองค์หญิงใหญ่ขอร้องใช่หรือไม่
กำลังคิดเช่นนี้ ก็เห็นฮองเฮาส่ายหน้าเบาๆ แล้วพูดว่า “เจ้ายังเด็ก อุ้มจิ่นเกอไม่ได้”
สืออีเหนียงจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
แต่องค์หญิงใหญ่กลับดื้อดึง นางยังดึงแขนเสื้อของฮองเฮา “เสด็จแม่เพคะ…”
ฮองเฮาส่ายหน้าอย่างอ่อนโยน “ฝูหรง ไม่ได้ เจ้าต้องรู้ว่าจิ่นเกอคือบุตรชายของท่านอาของเจ้า ไม่ใช่บุตรชายของคนอื่น เจ้าต้องปกป้องเขา”
“เสด็จแม่เพคะ…” องค์หญิงใหญ่พูดเบาๆ นางมองไปที่ฮองเฮาด้วยสายตาที่น่าสงสาร
สายตาของฮองเฮามีความลังเลขึ้นมา
สืออีเหนียงรู้สึกเป็นกังวล กำลังจะลุกขึ้น หวงกูกูที่ยืนอยู่ข้างฮองเฮาก็พูดขึ้นว่า “ฮองเฮาเพคะ องค์หญิงใหญ่ชอบน้องชายคนนี้มาก ท่านให้องค์หญิงใหญ่อุ้มคุณชายน้อยหกสักประเดี๋ยวเถิด เราคอยดูอยู่ข้างๆ ไม่เป็นอะไรหรอกเพคะ!” จากนั้นก็หันหน้ามาถามสืออีเหนียง “หย่งผิงโหวฮูหยิน ท่านคิดว่าเช่นไรบ้าง”
“หวงกูกูพูดถูแล้ว” สืออีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบา “แต่ว่าองค์หญิงใหญ่ยังเด็กจึงไม่ค่อยมีแรง อีกทั้งจิ่นเกอยังอ้วนท้วม หากทำให้ลมปราณขององค์หญิงใหญ่เป็นอะไรไปมันคงจะไม่ดีเจ้าคะ!”
คนในห้องได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ พวกนางมองไปที่ฮองเฮา
แต่ฮองเฮากลับพยักหน้าเบาๆ สายตาของนางมีความพอใจ ยื่นจิ่นเกอให้หวงกูกู บอกให้นางอุ้มเขาไปให้สืออีเหนียง
สืออีเหนียงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หวงกูกูยิ้มแล้วเดินไปข้างหน้า โน้มตัวลงกำลังอุ้มจิ่นเกอ…แต่องค์หญิงใหญ่กลับกระโดดลงจากเก้าอี้จิ่นอู้แล้ววิ่งเข้าไปโอบเอวจิ่นเกอเอาไว้ “ข้าอุ้มเขาไปให้หย่งผิงโหวฮูหยินเองเพคะ” พูดจบ นางก็จะอุ้มจิ่นเกอออกมาจากอ้อมแขนของฮองเฮา
จิ่นเกอขยับตัวมาข้างหน้าเตรียมพุ่งขึ้นไปบนไหล่ขององค์หญิงใหญ่ทันที
ฮองเฮารีบอุ้มจิ่นเกอเอาไว้ จากนั้นก็ตำหนิองค์หญิงใหญ่เบาๆ “ฝูหรง อย่าดื้อ!”
จิ่นเกอขยับตัวออกมาข้างหลัง กลับเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนของฮองเฮาอีกครั้ง
จากนั้นก็ได้ยินองค์หญิงใหญ่ร้องไห้ นางร้องไห้พร้อมกับใช้มือจับที่หูแล้วขยับหน้าเข้าไปแนบตัวจิ่นเกอ “เสด็จแม่เพคะ ข้าเจ็บเพคะ!”
สีหน้าของคนในห้องพลันเปลี่ยนไป
หวงกูกูที่ยืนอยู่ข้างฮองเฮารีบคุกเข่าลง “องค์หญิงใหญ่ เจ็บตรงไหนเพคะ”
ฮองเฮารีบถามด้วยความเป็นห่วง “ฝูหรง เจ้าเป็นอะไรไป”
สืออีเหนียงเห็นว่าองค์หญิงใหญ่บอกว่าเจ็บแต่กลับเอาหน้าแนบตัวจิ่นเกอ นางเป็นห่วง สนใจอะไรมากไม่ได้ จึงรีบเดินเข้าไปหาฮองเฮากับแม่นมขององค์หญิงใหญ่…จากนั้นก็เห็นนิ้วเล็กๆ ของจิ่นเกอสอดเข้าไปในต่างหูพระจันทร์ครึ่งเสี้ยวสีทองขององค์หญิงใหญ่
“จิ่นเกอ!” สืออีเหนียงรีบจับมือจิ่นเกอ กลัวว่าเขาจะกระชากต่างหูขององค์หญิงใหญ่
หวงกูกูและคนอื่นๆ ต่างก็เห็นแล้ว
ฮองเฮาลูบหัวองค์หญิงใหญ่แล้วปลอบใจนาง “ฝูหรงเด็กดี อย่าขยับ จิ่นเกอดึงต่างหูของเจ้าอยู่”
องค์หญิงใหญ่ไม่กล้าขยับตัว นางซบหน้าอยู่ตรงตักของฮองเฮาแล้วสะอึกสะอื้น
หวงกูกูกำลังดึงนิ้วของจิ่นเกอออกมาจากต่างหูอย่างระมัดระวัง
สุดท้ายนางพึ่งจะออกแรงดึง จิ่นเกอก็ร้องไห้ขึ้นมาทันที มือเล็กๆ ของเขาค่อยๆ แดงก่ำ
สืออีเหนียงเจ็บปวดหัวใจ “หวงกูกูเจ้าคะ ต้องหาวิธีอื่น นิ้วของจิ่นเกอติดอยู่ในต่างหูแล้ว!”
ทันใดนั้นหวงกูกูก็ไม่รู้จะทำเช่นไร นางหยุดชะงักอยู่ตรงนั้นด้วยความลำบากใจ
ฮองเฮาเองก็ตื่นตระหนก “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี”
อาจจะเป็นเพราะว่ากังวลมากเกินไป ทุกคนจึงคิดอะไรไม่ออก
ความกังวลไม่สบายใจของผู้ใหญ่แพร่กระจายให้เด็กสองคน องค์หญิงใหญ่และจิ่นเกอจึงพากันร้องไห้
แม่นมขององค์หญิงใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างๆ ก็ออกความคิดเห็น “หรือว่า ถอดต่างหูออกเพคะ”
หวงกูกูได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจ จากนั้นก็รีบถอดต่างหูออกอย่างระมัดระวัง
องค์หญิงใหญ่พุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของฮองเฮาแล้วร้องไห้ จิ่นเกอเองก็พุ่งเข้าไปในอ้อมแขนของสืออีเหนียงแล้วร้องไห้เช่นกัน
ในเรือนหน่วนฝังพลันเต็มไปด้วยเสียงสะอึกสะอื้น
ฮองเฮากอดองค์หญิงใหญ่เอาไว้ ส่วนสืออีเหนียงอุ้มจิ่นเกอแล้วตบก้นเขาเบาๆ พวกนางสองคนกำลังปลอบประโลมบุตรของตัวเอง
ฟังเจี่ยเอ๋อร์ก็มาพอดี
นางมองดูองค์หญิงใหญ่ที่ร้องไห้อยู่ในอ้อมแขนของฮองเฮา แล้วก็มองดูจิ่นเกอที่กำลังร้องไห้แล้วมุดหน้าลงบนไหล่ของสืออีเหนียง นางพูดด้วยความตกใจ “เกิดอะไรขึ้นเพคะ”
“ไม่มีอะไร ไม่มีอะไรเพคะ” หวงกูกูพูดกอบกู้สถานการณ์ “คุณชายน้อยหกเผลอสอดนิ้วเข้าไปในต่างหูขององค์หญิงใหญ่ เพียงแค่ตกใจกันเท่านั้นเพคะ”
ฟังเจี่ยเอ๋อร์เรียนรู้ที่จะไม่เค้นถามตั้งนานแล้ว
นางยิ้มแล้วเดินเข้าไปพูดปลอบองค์หญิงใหญ่
องค์หญิงใหญ่หันหน้าหนี จะให้ฮองเฮาอุ้มเท่านั้น ฮองเฮาปลอบใจบุตรสาวของตัวเอง นางไม่ได้พูดอะไร
ฟังเจี่ยเอ๋อร์ยิ้ม จากนั้นก็เดินไปหาสืออีเหนียง
จิ่นเกอหันหน้ามามองนาง จากนั้นก็ซบลงบนไหล่ของสืออีเหนียงอีกครั้ง
ดวงตาที่เคลือบไปด้วยน้ำตานั้นดูแวววับ ตัวของนางราวกับสะท้อนอยู่ในดวงตาของเขา
ฟังเจี่ยเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะลูบหัวจิ่นเกอเบาๆ
สืออีเหนียงส่งยิ้มให้นาง
หวงกูกูยกเก้าอี้จิ่นอู้เข้ามาให้ฟังเจี่ยเอ๋อร์
สืออีเหนียงเห็นแล้วก็ตกใจ
ฟังเจี่ยเอ๋อร์พูดเบาๆ “ข้าตั้งครรภ์อีกแล้ว!”
สืออีเหนียงถึงได้สติกลับมา แต่เห็นสีหน้าของนางไม่มีความดีใจ กลับเจือไว้ด้วยความขมขื่น สายตาของสืออีเหนียงก็หม่นหมองลง ยื่นมือออกไปจับมือฟังเจี่ยเอ๋อร์
ฟังเจี่ยเอ๋อร์เข้าใจทันที นางส่ายหน้าเบาๆ แล้วฝืนยิ้ม บอกให้สืออีเหนียงไม่ต้องเป็นห่วงนาง
สืออีเหนียงครุ่นคิดแล้วพูดเบาๆ “ท่านช่วยข้าอุ้มจิ่นเกอเถิด!”
ฟังเจี่ยเอ๋อร์ตกใจ
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เขาทำให้น้องสะใภ้ห้ามีเซินเกอ หวังว่าเขาจะทำให้ท่านมีบุตรชายเช่นกัน!”
ฟังเจี่ยเอ๋อร์ได้ยินแล้วก็น้ำตาคลอเบ้า จากนั้นก็อุ้มจิ่นเกออย่างอ่อนโยน
*****
ระหว่างทางกลับบ้านสวีลิ่งอี๋พูดกับสืออีเหนียง “เรื่องพวกนี้เจ้าไม่ต้องสนใจ!”
สืออีเหนียงห่มผ้าให้จิ่นเกอที่นอนหลับไปแล้ว จากนั้นก็พูดเบาๆ “ข้าก็แค่ปลอบใจนางเจ้าค่ะ ตั้งครรภ์ตั้งสิบเดือน หากไม่มีความสุขเหมือนทุกวันนี้ ข้ากลัวนางยังไม่ทันได้คลอดบุตรชายก็จะล้มป่วยไปเสียก่อน”
สวีลิ่งอี๋ไม่พูดอะไร
ยามที่รถม้าวิ่งเข้าไปในตรอกเหอฮวาหลี่ เขากลับพูดเบาๆ ว่า “องค์ชายสามไม่เด็กแล้ว ควรหมั้นหมายได้แล้ว!”
สืออีเหนียงได้ฟังแล้วก็ตกใจ
นางมักจะรู้สึกว่าการที่เขาพูดเช่นนี้ตอนนี้นั้นฟังดูมีความหมายแฝงเอาไว้
นางอยากเอ่ยถามเขา แต่ก็ไม่กล้าถาม กลัวว่าจะได้ยินคำตอบที่เย็นชา
หลังจากลังเลอยู่สองสามวัน โจวฮูหยินก็มาหานาง
“ข้ารู้แล้ว!” นางแต่งหน้าอ่อนๆ สวมเสื้อผ้างดงาม แต่กลับปกปิดสีหน้าที่ไม่สบายใจของนางเอาไว้ไม่อยู่ “ยังไม่รู้ว่าเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง สกุลเราจึงไม่กล้าเอะอะโวยวาย”
สืออีเหนียงจึงปลอบใจนาง “พี่หญิงไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ ไท่จื่อเฟยคือคนที่มีวาสนา ต้องมีเรื่องดีเกิดขึ้นแน่นอน!”
แต่โจวฮูหยินกลับไม่มีความมั่นใจเช่นนั้นอีกต่อไป
นางยิ้มอย่างขมขื่น “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!”