ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 516 เจ้าสาว (กลาง)
ได้ยินคำพูดของฮูหยินสามแล้ว ไท่ฮูหยินก็ยิ้มขึ้นบางๆ
“‘เงินทองและอาหารจะมากแค่ไหน ก็ไม่สู้วันคืนที่มาก’ ไม่ควรที่จะควักเงินจนหมดเนื้อหมดตัวเพียงเพื่องานแต่งของฉินเกอคนเดียว ยิ่งไปกว่านั้นเจี่ยนเกอก็กำลังจะต้องหาคู่หมั้นหมายแล้ว ข้าว่าสู้สร้างเรือนหอที่ตรอกซานจิ่งดีกว่า เช่นนี้พวกเจ้าก็สามารถประหยัดค่าใช้จ่ายไปหนึ่งก้อน หากเจ้ารู้สึกว่าเจ้าสาวอายุน้อย ยังไม่สามารถเป็นผู้ดูแลหลักอย่างสมบูรณ์ได้ เช่นนั้นเจ้าก็อยู่ชี้แนะนางที่เมืองหลวงต่อไม่ดีกว่าหรือ ส่วนทางฝั่งเจ้าสาม” น้ำเสียงของไท่ฮูหยินครุ่นคิดและไตร่ตรอง “อี้อี๋เหนียงเสียไปก็ร่วมหนึ่งปีแล้วกระมัง หากไม่ได้จริงๆ ก็ยกอี๋เหนียงขึ้นมาหนึ่งคนติดตามไปดูแลเจ้าสามที่โน่น ข้าว่าชิวหลิงสาวใช้ข้างกายเจ้าคนนั้นก็ไม่เลวทีเดียว เช่นนั้นก็เป็นเด็กคนนั้นก็แล้วกัน”
ฮูหยินสามอึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นสีหน้าก็ย่ำแย่ขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
คำพูดของไท่ฮูหยินยังคงวนเวียนอยู่ในใจของนาง
“ท่านแม่!” ฮูหยินสามรีบเข้าไปดึงชายแขนเสื้อของไท่ฮูหยินเบาๆ “ถึงจะไม่มีเงินแค่ไหน แต่เงินที่จะให้บุตรแต่งงานนั้นอย่างไรก็ต้องมี เพียงแต่ว่าเรื่องในบ้านคุณชายสามเป็นคนตัดสินใจทุกอย่าง ดังนั้นข้าก็เลยรอคุณชายสามส่งเงินมา หลักการที่ว่า ‘ลำธารเล็ก หลั่งไหลได้นาน’ ข้าเข้าใจเป็นอย่างดี ย่อมไม่ควักเงินจนหมดเนื้อหมดตัวเพียงเพราะต้องการได้หน้าอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ” นางพูดขึ้นพลางกวาดสายตามองไปรอบๆ “ทางสกุลฟังได้เริ่มทำเครื่องเรือนไปแล้ว ขบวนสินเดิมก็อยู่ในระหว่างทางแล้ว ถึงเวลาหากต้องเข้าเรือนหอที่ตรอกซานจิ่ง…เช่นนั้น เครื่องเรือนที่เกินออกมาเล่า จะทำอย่างไร หากคนสกุลฟังรู้เรื่องเข้า ไม่พากันคิดว่าเราหย่งผิงโหวกำลังละโมบสินเดิมของลูกสะใภ้หรอกหรือ”
ไท่ฮูหยินไม่ได้พูดอะไร
ฮูหยินสามเห็นแล้วก็ได้ใจยิ่งขึ้น นางจึงรีบพูดต่อไปว่า “ท่านแม่ ข้าเองได้คำนวณไว้ตั้งแต่แรกแล้ว การแต่งงานของบุตรนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ คุณชายสามเองก็รู้ดี ย่อมต้องส่งเงินกลับมาอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าซานหยางห่างจากที่นี่ค่อนข้างไกล กลัวว่าเงินที่คุณชายสามส่งมาให้นั้นจะไม่ทันการณ์ ข้าจึงคิดว่าจะกลับไปยืมเงินกับทางสกุลเดิมสักก้อน หลังจากที่จัดการเรื่องทางนี้เสร็จเรียบร้อยแล้ว รอเงินคุณชายสามมาถึงแล้วค่อยไปคืนก็ยังไม่สาย”
“ยืมเงินหรือ!” ไท่ฮูหยินยกถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบ จากนั้นก็ได้พูดขึ้นเสียงเบาว่า “เจ้าเป็นคนที่เคยเป็นผู้ดูแลหลักมาก่อน การที่เด็กแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝานั้น ไม่ใช่แค่จัดการเรือนหอแล้วก็จะเสร็จเรื่อง เงินค่าจัดงานเลี้ยง เงินค่าซองแดงที่ใช้เปิดประตู คนยกหาบสินเดิมทุกชิ้นทุกอัน…มีสิ่งไหนที่ไม่ต้องใช้เงินบ้าง”
ถึงแม้ว่าจะไม่เห็นด้วย แต่ก็ไม่ได้บอกปัดไปเสียทีเดียว ว่าให้นางอย่ากลับไปยืมเงินกับทางสกุลเดิม
ฮูหยินสามก็เริ่มร้อนใจขึ้นมา
หากว่าไท่ฮูหยินตัดสินใจให้ฉินเกอแต่งงานเข้าเรือนที่ตรอกซานจิ่งจริงๆ นางจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน พลันนึกเสียใจว่าตนไม่น่าไปซื้อเรือนที่ตรอกซานจิ่ง มิเช่นนั้นก็คงจะไม่ถูกไท่ฮูหยินต้อนกระทั่งจนมุมเช่นนี้ จากนั้นนางก็ครุ่นคิดอีกครั้ง หากว่าไม่มีเรือนที่ตรอกซานจิ่ง แล้วนางจะได้เครื่องเรือนมูลค่ากว่าหกพันตำลึงจากทางสกุลฟังได้อย่างไรกัน…ทันใดนั้นเอง จิตใจของนางก็รู้สึกสับสนวุ่นวายไปหมด เอาแต่ครุ่นคิดว่าควรจะทำอย่างไรถึงจะสามารถทำให้ไท่ฮูหยินละทิ้งความคิดนี้ไป
“ข้าเองก็ได้คำนวณมาแล้วเจ้าค่ะ” นางรีบพูดขึ้น “ถึงเวลานั้นแต่ละจวนก็จะส่งมอบของขวัญมาร่วมแสดงความยินดี เพียงพอกับค่าใช้จ่ายของงานแต่งพอดี ยืมเงินกับทางสกุลเดิมของข้าสักสองพันตำลึงก็คงจะเพียงพอแล้ว!”
ไท่ฮูหยินได้ยินแล้วก็พยักหน้าเบาๆ “ในเมื่อเจ้าคำนวณไว้ตั้งแต่แรก เช่นนั้นข้าก็จะไม่พูดอะไรให้มากความแล้ว” จากนั้นก็ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบแล้วจึงพูดขึ้นว่า “ข้าเหนื่อยแล้ว เจ้าเองก็มีเรื่องมากมายให้ต้องทำ รีบกลับไปพักผ่อนเถิด!”
ฮูหยินสามไม่กล้าอยู่ต่อ นางรีบลุกขึ้นพร้อมกับถอยออกไปทันที
เมื่อเดินไปถึงเรือนนอก แสงแดดสีขาวกระทบลงบนตัวนาง เวลานั้นเองนางเพิ่งรู้สึกตัวว่าตนนั้นเสียเปรียบแล้ว
“เหตุใดข้าจึงไม่พูดถึงเรื่องเงินส่วนกลางเล่า!” นางพูดขึ้นพึมพำ “การที่อยู่จวนเดียวกัน ตามหลักแล้ว สามารถที่จะเบิกเงินจากส่วนกลางได้สามร้อยตำลึงนี่! ตอนนั้นเจ้าห้าแต่งงาน เจ้าสี่ก็เพิ่งจะแต่งงานใหม่ ต่างก็เบิกเงินจากส่วนกลางทั้งนั้น แต่ไท่ฮูหยินกลับไม่พูดถึงเรื่องนี้เลยแม้แต่คำเดียว เป็นเพราะไม่อยากจะออกเงินสามร้อยตำลึงนี้หรืออย่างไรกัน เหตุใดฉินเกอจึงเบิกเงินก้อนนี้จากส่วนกลางไม่ได้ ถึงเวลานั้นจะต้องออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดคนเดียวหรอกหรือ”
เมื่อพูดจบ…
นางก็รู้สึกเสียใจมากขึ้นกว่าเดิมที่พูดกับไท่ฮูหยินเช่นนั้น
เงยหน้าขึ้นมาก็มองเห็นชายหลังคาที่โค้งงอนโผล่พ้นจากกิ่งก้านใบของต้นไม้
นางชะงักฝีเท้าลงในทันที จากนั้นก็หันไปสั่งกับสาวใช้ที่อยู่ข้างกายว่า “เราไปที่เรือนของฮูหยินสี่กัน!”
สาวใช้ที่อยู่ข้างๆ ขานรับเสียงเบาว่า “เจ้าค่ะ”
ฮูหยินสามชำเลืองตามองใบหน้าที่อ่อนโยนและว่านอนสอนง่าย
ชิวหลิง…
นางเม้มปากเล็กน้อย จากนั้นก็หมุนตัวเดินตรงไปยังเรือนหลัก
*****
“สนับสนุนเงินค่าแต่งงานให้ฉินเกอหรือ” สืออีเหนียงจ้องมองฮูหยินสามด้วยสีหน้าที่แปลกใจ
ฮูหยินสามพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เท้าแขนลงบนโต๊ะเตียงเตาพร้อมกับโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย “น้องสะใภ้สี่ไม่ใช่คนอื่นคนไกล จึงไม่กลัวว่าเจ้าจะหัวเราะเยาะ หลายปีมานี้ ข้าสองสามีภรรยาอาศัยเงินรายเดือนในการใช้ชีวิต ที่ผ่านมาพี่สามของเจ้ารับหน้าที่นอกเมืองหลวง เงินทองจึงค่อยคล่องมือขึ้นมาบ้าง แต่ดันต้องมาเกี่ยวดองกับสกุลฟัง สินเดิมเต็มสองลำเรือ เพื่อเป็นหน้าเป็นตาให้กับฉินเกอแล้ว ทางฝั่งข้าก็ไม่ควรจะน้อยหน้า จึงต้องเขย่งเท้าเพื่อเชิดหน้าชูตาให้กับบุตรชายคนโตบ้าง นำเงินส่วนตัวที่เก็บหอมรอมริบมาหลายปีออกมาสมทบจนหมดก็ยังไม่พอ ตอนนี้ข้าเองก็เตรียมจะกลับไปยืมเงินกับทางสกุลเดิมเพื่อนำมาต่อเติมเรือนหอ…”
แต่กลับไม่พูดถึงเรื่องแบ่งมรดกของก่อนหน้านี้เลย
สืออีเหนียงอดรู้สึกโชคดีเสียไม่ได้ที่ตนไม่ได้เป็นผู้ดูแลหลักของจวนแล้ว
“เรื่องนี้จะต้องปรึกษาหารือกับท่านแม่” นางพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ตอนนี้ธุระภายในจวน…”
นางไม่ทันจะพูดจบ ฮูหยินสามก็พูดแทรกขึ้นว่า “ข้าเองก็รู้ แต่เรื่องแบบนี้ข้าไม่มีหน้าจะไปพูดกับท่านแม่ หลายปีมานี้ข้าไม่ได้จัดงานใหญ่โตอะไร บุตรชายคนโตจะแต่งงาน แต่กลับมาบอกว่าไม่มีเงิน เกรงว่ายังไม่ทันจะได้เงิน จะถูกท่านแม่ตำหนิติติงยกใหญ่เสียก่อน ข้าเลยอยากจะมายืมเงินกับน้องสะใภ้สี่สักก้อน รอเงินของขวัญอวยพรงานแต่งมาถึงแล้วจะรีบคืนเจ้าทันที”
“งานแต่งของฉินเกอถือเป็นเรื่องใหญ่” สืออีเหนียงพูดต่อไปว่า “ตอนนี้ข้าไม่ได้เป็นผู้ดูแลหลักของจวนแล้ว ส่วนทางร้านขายของมงคลสมรสจะแบ่งกำไรอีกทีก็ปลายปีโน่น ไม่ทราบว่าพี่สะใภ้สองต้องการยืมเท่าไรหรือเจ้าคะ”
หากว่ายืมเยอะ เกรงว่าคงจะต้องไปรบกวนสวีลิ่งอี๋ ถึงเวลานั้นไท่ฮูหยินก็คงจะทราบเรื่องอย่างแน่นอน
ฮูหยินสามครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พูดขึ้นว่า “ค่าขึ้นสีเคลือบเงาประมาณหนึ่งร้อยกว่าตำลึง ค่าต่อเติมกำแพงประมาณหนึ่งร้อยกว่าตำลึง ยังมีฉากผ้าม่าน ค่าแรง…ข้าว่าอย่างน้อยก็คงจะต้องสองร้อยตำลึงเห็นจะได้”
สืออีเหนียงถอนหายใจออกมาเบาๆ จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พี่สะใภ้สามเรียกจำนวนเงินเหมือนได้เห็นกล่องเงินของข้าอย่างไรอย่างนั้น หลายวันก่อนท่านโหวเพิ่งจะให้เงินในเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ข้ามาสองร้อยตำลึง พี่สะใภ้สามเอาไปใช้ก่อนเถิด!” จากนั้นก็หันไปสั่งกับจู๋เซียงที่กำลังจะไปเปิดกล่องเงินว่า “อย่าลืมเอาพู่กัน หมึกและกระดาษมาด้วย พี่สะใภ้สามจะได้เขียนสัญญาไว้เป็นลายลักษณ์อักษร!”
“เขียนสัญญาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรหรือ!” ฮูหยินสามจ้องมองสืออีเหนียงด้วยสีหน้าที่ตกใจ อดไม่ได้ที่จะรู้สึกฉุนเฉียวขึ้นมาทันที
หากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ ก็คงจะไปหาฮูหยินสองเสียยังดีกว่า นางออกจะใจกว้างและไม่คิดเล็กคิดน้อย…หากต้องเขียนสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร ก็เท่ากับว่าตนจะต้องคืนเงินก้อนนี้!
พูดอ้อมค้อมตั้งไกล สุดท้ายก็กลัวแต่ว่าตัวเองนั้นจะเสียแรงเปล่า!
“ข้าว่าเรื่องการเขียนสัญญาให้เป็นลายลักษณ์อักษรก็ไม่ต้องแล้วกระมัง!” สายตาของฮูหยินสามเป็นประกายแพรวพราว “นอกเสียจากว่าเจ้าจะไม่เชื่อใจข้า!”
ย่อมเชื่อใจไม่ได้อยู่แล้ว
สืออีเหนียงยิ้มขึ้นบางๆ จากนั้นก็ให้จู๋เซียงไปนำตั๋วเงิน กระดาษ พู่กันและหมึกมา
นางนำกระดาษไปวางไว้ด้านหน้าของฮูหยินสาม
“ใช่ว่าข้าจะไม่เชื่อใจพี่สะใภ้สาม โบราณกล่าวไว้ได้ถูกต้อง บัญชีระหว่างญาติพี่น้องควรบันทึกด้วยความชัดเจนและโปร่งใส ไม่ควรพัวพันกับดอกเบี้ยและผลประโยชน์ใดๆ ความสัมพันธ์ก็จะแน่นแฟ้นและสนิทสนมกันมากขึ้น ข้าเองใช่ว่าจะคิดทวงเงินก้อนนี้กับพี่สะใภ้สาม เพียงแต่ว่าที่ต้องเก็บหลักฐานเป็นลายลักษณ์อักษรไว้ ก็เพื่อที่จะสามารถรายงานกับท่านโหวได้”
“เช่นนั้นก็ช่างเถิด!” ฮูหยินสามพูดขึ้น “เงินของเจ้ายังต้องรายงานกับท่านโหว ข้าเองก็ไม่อยากจะทำเจ้าลำบากใจ ข้ากลับไปยืมเงินกับสกุลเดิมดีกว่า!”
“อยู่สกุลเดิมจะต้องเชิดหน้าชูตาให้กับบ้านแม่สามี เมื่ออยู่บ้านแม่สามีก็จะต้องเชิดหน้าชูตาให้กับสกุลเดิม หากพี่สะใภ้สามจะกลับไปยืมเงินกับทางสกุลเดิม สู้ยืมเงินของเราที่เป็นลูกสะใภ้ด้วยกันไปหมุนก่อนไม่ดีกว่าหรือ” สืออีเหนียงยิ้มพร้อมกับพูดต่อไปว่า “กังวลว่าวันข้างหน้าข้าจะมายืมเงินกับพี่สะใภ้สามหรืออย่างไรกัน อีกอย่างเงินส่วนนี้ข้าเองก็ยังไม่ได้จะใช้เร็วๆ นี้ พี่สะใภ้สามจะคืนข้าเมื่อไรก็ย่อมได้”
เมื่อฮูหยินสามได้ยินแล้ว แววตาของนางก็เป็นประกายขึ้นมาทันที
ยังดีที่ตนได้ติดตามคุณชายสามออกไปเปิดหูเปิดตาข้างนอก มิเช่นนั้นตนก็คงจะเป็นเหมือนสืออีเหนียง คิดว่าเงินนี้ถือไว้ในมือก็ไม่ได้ใช้ เอาไปให้คนอื่นยืมก็จะได้คืน อีกทั้งยังได้ผลประโยชน์เชิงบุญคุณ แต่กลับไม่รู้ว่าเงินนั้นสามารถงอกเงยเงินขึ้นมาได้อีก ให้คนที่กำลังเดือดร้อนยืมเงิน แล้วเก็บดอกเบี้ย หลายปีผ่านไป ก็จะมีเงินเพิ่มขึ้นอีกหลายร้อยตำลึง
เมื่อนึกถึงตรงนี้ นางก็รู้สึกลังเลขึ้นมาเล็กน้อย ใครจะไปนึกว่าจู่ๆ จู๋เซียงจะนำพู่กันที่จุ่มหมึกแล้วมายื่นให้กับนาง…
ยืมมาใช้จ่ายก่อนก็ยังดี!
ฮูหยินสามจึงรับพู่กันมา จากนั้นก็ลงนามเป็นลายลักษณ์อักษร
สืออีเหนียงรีบหันไปส่งสายตาให้กับจู๋เซียง ให้นางรีบนำสัญญาฉบับนี้ไปเก็บ
ชิวอวี่มาส่งผ้าฝ้ายเนื้อละเอียดให้กับหู่พั่วที่ใกล้จะคลอดตามคำสั่งของสืออีเหนียง และก็ได้เล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในเรือนให้หู่พั่วฟัง อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องที่ฮูหยินสามมายืมเงิน “…ไหนๆ ก็จะเขียนสัญญาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรขึ้นมาทั้งที สู้เขียนเวลาที่ฮูหยินสามจะมาคืนเงินให้ชัดเจนไม่ดีกว่าหรือ มิเช่นนั้น เงินจำนวนนี้เกรงว่าจะเป็นการเตะหมูเข้าปากหมา ให้ไปแล้วก็ยากที่จะได้คืน”
หู่พั่วเท้าสะเอวแล้วค่อยๆ ยืนขึ้น จากนั้นก็หยิบผลส้มออกมาจากหีบหนึ่งผลยื่นให้กับชิวอวี่ “ฮูหยินไม่คิดจะให้นางคืนตั้งแต่แรกแล้ว ที่ฮูหยินทำเช่นนี้ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้นางกลับมายืมซ้ำอีกก็เท่านั้น”
ชิวอวี่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็รู้สึกว่ามีเหตุผล
หนี้คราวก่อนยังไม่ทันจะคืน ก็ไม่สมควรจะมายืมเพิ่มกระมัง!
เงินเพียงสองร้อยตำลึง…ถึงแม้จะมากไปหน่อย…แต่ทว่าตอนนี้การเงินของฮูหยินค่อนข้างคล่องมือ…ตอนเทศกาลวันไหว้พระจันทร์ ท่านโหวก็พึ่งให้ฮูหยินไปตั้งหนึ่งพันตำลึง…คงจะไม่มาคิดเล็กคิดน้อยกับเงินแค่นี้…
เมื่อคิดเช่นนี้แล้ว กลายเป็นนางเองที่กระโตกกระตากเกินหน้าเกินตา
นางจึงยิ้มพร้อมกับละทิ้งเรื่องนี้ไป จากนั้นนางก็หยิบผลส้มสีเหลืองขึ้นมาหนึ่งผล “ฮูหยินให้มาหรือ สองวันก่อน ในวังเพิ่งจะประทานมาให้ฮูหยินหนึ่งตะกร้า!”
ตอนนี้ยังไม่ถึงฤดูกาลของส้ม
“ไม่ใช่!” หู่พั่วยิ้มด้วยสีหน้าท่าทีที่เขินอาย “พี่เขยของเจ้าไหว้วานคนอื่นช่วยซื้อให้”
ชิวอวี่จ้องมองผลส้มในมือ จากนั้นก็ปิดปากพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ “พี่หญิงคนดี ท่านเอามาให้ข้าทานแล้ว หากพี่เขยรู้เรื่องเข้า จะไม่มาคิดบัญชีกับข้าหรอกหรือเจ้าคะ”
หู่พั่วใบหน้าแดงก่ำ “มีของกินอยู่แท้ๆ แต่กลับปิดปากเจ้าไม่มิดจริงๆ”
ชิวอวี่หัวเราะเสียงดังด้วยความชอบใจ
หลังจากที่กลับเรือนไปแล้วก็ได้เล่าเรื่องนี้ให้สืออีเหนียงฟัง
สืออีเหนียงฟังแล้วก็หัวเราะตาม
ตกกลางคืน นางก็เล่าเรื่องนี้ให้สวีลิ่งอี๋ฟัง
สวีลิ่งอี๋จ้องมองสืออีเหนียงที่สีหน้าท่าทีเต็มไปด้วยความตื่นเต้น อดไม่ได้ที่จะหยอกล้อนาง “ส้มแค่ผลเดียว ถึงแม้ว่าจะหายาก แต่ก็ไม่เห็นจะต้องดีใจขนาดนี้!”
รู้ทั้งรู้ว่านางพูดถึงอะไร แต่ก็จะถกเถียงกับนางให้ได้จึงจะสบายใจ
สืออีเหนียงถลึงตาใส่เขาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าไปในห้องชำระ
สวีลิ่งอี๋หัวเราะออกมาเบาๆ
เขาพูดคุยกับนางผ่านบานประตูเก๋อซ่าน
“พรุ่งนี้โต้วเก๋อเหล่าเชิญข้าไปเดินเขา ให้ข้าพาจุนเกอไปด้วย พรุ่งนี้เจ้าช่วยดูหน่อยว่าจะให้เขาแต่งตัวอย่างไร”
โต้วเก๋อเหล่าคือเก๋อเหล่าอาวุโสที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่งใหม่หลังจากทำ ‘คดีค้ากำไรที่ผิดกฎหมายของตระกูลหยาง’ ได้ยินมาว่าอายุเพิ่งพ้นสี่สิบปี วัยแห่งความหนักแน่นไร้ซึ่งความสับสน เป็นคนซื่อสัตย์อดทนและกล้าพูดกล้าทำ
สืออีเหนียงหัวเราะออกมาเบาๆ “เขาเพิ่งจะรับตำแหน่งก็เชิญท่านไปเดินเขาแล้วหรือ”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “มิเช่นนั้น เขาจะสามารถเป็นเก๋อเหล่าได้อย่างไรกัน!”
ก็จริง!
สืออีเหนียงจึงพูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้มีใครไปบ้าง พาจุนเกอไปด้วยเหมาะสมหรือไม่เจ้าคะ”
“ก็แค่เดินเขาเท่านั้นเอง ไม่ใช่เนื่องในโอกาสพิเศษอะไร ถึงเวลานั้นยังมีเหล่าบรรดาบ่าวรับใช้ชายและคนอื่นๆ ติดตามไปเป็นโขยง ถือเป็นการให้เขาได้ออกไปเปิดหูเปิดตาเสียบ้าง!”
สวีซื่อเจี้ยได้ยินแล้วก็รู้สึกอิจฉาเป็นอย่างมาก
สวีซื่อจุนดึงแขนเสื้อของสืออีเหนียงเบาๆ “ท่านแม่ ท่านช่วยพูดกับท่านพ่อให้หน่อยขอรับ ว่าให้น้องห้าไปกับข้าด้วยได้หรือไม่! น้องห้าแข็งแรงปราดเปรียวกว่าข้า ไม่เป็นตัวถ่วงของทุกคนอย่างแน่นอน!”
นี่ไม่ใช่ปัญหาว่าเป็นตัวถ่วงหรือไม่
แต่เป็นการที่หย่งผิงโหวพาซื่อจื่อของตัวเองออกงานสังสรรค์พบปะผู้คนต่างหาก