ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 513 ร้อนระอุ (กลาง)
ฮูหยินห้าได้ยินแล้วก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “คุณชายห้า ท่านตั้งชื่อให้ลูกทีเถิด!”
คุณชายห้าแสดงสีหน้าครุ่นคิดขึ้นมา
ฮูหยินสามยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เด็กพึ่งจะคลอดออกมา จะรีบร้อนไปทำไมเล่า รอให้ฉินเกอของข้าแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาแล้วค่อยมาตั้งชื่อก็ยังไม่สาย”
เด็กที่พึ่งเกิดปกติแล้วจะตั้งชื่อเล่นให้ก่อน จากนั้นก็รอให้เด็กโตขึ้นอีกหน่อยค่อยตั้งชื่อจริงให้ เพราะกลัวว่าจะโชคดีจนเกินไปแล้วเด็กจะรับไม่ไหว แต่เมื่อถูกฮูหยินสามพูดเช่นนี้ ฮูหยินห้าก็พลอยรู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก
บุตรของตนเป็นทายาทสูงศักดิ์และมีชาติตระกูล จะรับความโชคดีไม่ไหวได้อย่างไรกัน
ยิ่งไปกว่านั้น จิ่นเกอบุตรของสืออีเหนียงที่พึ่งคลอดออกมาก็ยังตั้งชื่อให้ทันทีเลย
สวีลิ่งควนเองได้ยินแล้วก็ไม่ค่อยสบายใจเท่าไรนัก แต่เมื่อพิจารณาดีๆ แล้วก็มีเหตุผล เขากำลังจะหันไปโน้มน้าวภรรยาสักคำสองคำ แต่กลับเห็นสีหน้าของภรรยาเต็มไปด้วยความน้อยอกน้อยใจ เขาจึงเปลี่ยนความคิดทันที “ข้าว่าใช้นามว่า ‘เซิน’ ดีกว่า อักษรตัวนี้ประกอบไปด้วยคำว่า ‘วาจา’ และคำว่า ‘ก่อน’ เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกของพี่น้อง วันข้างหน้าจะนำมาซึ่งพี่น้องที่มากมายกว่าเดิม…”
‘เซิน’ มีความหมายแฝงมากมาย
ไท่ฮูหยินก็หันไปมองฮูหยินสามอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ชื่อนี้ความหมายดีทีเดียว” จากนั้นก็หันไปถามฮูหยินห้าว่า “เจ้าคิดอย่างไรบ้าง”
เขาคือลำดับที่เจ็ดของพี่น้องในตระกูล แต่สำหรับครอบครัวของเขาแล้วถือว่าเป็นบุตรชายคนโต ฮูหยินห้ารู้สึกว่าสวีลิ่งควนควรจะตั้งชื่อที่ยิ่งใหญ่กว่านี้สักหน่อย แต่ไท่ฮูหยินได้เห็นด้วยแล้ว ความหมายของคุณชายห้าก็คือให้นางเพิ่มพูนลูกหลานมากมาย นางจึงยิ้มพร้อมกับพยักหน้าเบาๆ หันไปรับบุตรชายแล้วหอมแก้มของเขาเบาๆ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “เซินเกอของเรามีชื่อแล้ว”
ป้าสือที่อยู่ข้างๆ ก็รีบแสดงความยินดีทันที “ยินดีกับคุณชายน้อยเจ็ดด้วยที่มีชื่อแล้วเจ้าค่ะ!”
ฮูหยินห้าก็ยิ้มขึ้น
เหล่าบรรดาบ่าวรับใช้ต่างก็พากันเรียกชื่อพร้อมๆ กัน “เซินเกอ”
ฮูหยินสามเลิกคิ้วขึ้นสูงทันที
นางคลอดบุตรชายถึงสองคน ไม่เห็นว่าจะไร้สาระเช่นนี้
ไท่ฮูหยินที่ได้หลานคนใหม่ไม่รู้สึกไร้สาระเลยแม้แต่น้อย นางกำชับฮูหยินห้าด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้มว่า “บำรุงรักษาร่างกายให้ดี ธุระในจวนยังมีป้าสืออีกทั้งคน ถึงแม้ว่าอากาศร้อน แต่ก็ห้ามเปิดหน้าต่างรับลมโดยเด็ดขาด…”
ไท่ฮูหยินเอ่ยหนึ่งคำ ฮูหยินห้าขานตอบหนึ่งคำ จนไท่ฮูหยินเห็นสีหน้าของฮูหยินห้าเริ่มมีอาการอ่อนเพลีย จึงหยุดพูดไป จากนั้นก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พรุ่งนี้ค่อยมาเยี่ยมเจ้าใหม่” แล้วจึงให้สืออีเหนียงและฮูหยินสามประคองกลับเรือน
เมื่อถึงวันที่จัดพิธีสรงสาม ก็มีคนจากตรอกหงเติงมาเป็นจำนวนมาก แต่ล้วนเป็นญาติห่างๆ ทั้งนั้น ฮูหยินห้าจึงแนะนำเพียงซุนฮูหยิน ภรรยาเอกของติ้งหนานโหวซื่อจื่อให้กับสืออีเหนียงเท่านั้น
ซุนฮูหยินอายุราวยี่สิบเจ็ด ยี่สิบแปดปีเห็นจะได้ รูปร่างปานกลาง ผิวขาวหมดจด ใบหน้างดงาม เพียงแต่ว่าเป็นคนขี้อาย แค่เอ่ยปากใบหน้าก็แดงไปหมด
“พวกเจ้าดูสิ” คุณนายสามสกุลหวงพูดหยอกล้อขึ้นมา “พอเทียบกับซุนฮูหยินแล้ว พวกข้าก็กลายเป็นคนไม่มียางอายไปโดยปริยายเชียว”
ซุนฮูหยินได้ยินแล้วก็ตกใจเป็นอย่างมาก รีบพูดขึ้นมาทันทีว่า “เป็นข้าที่ไม่ค่อยออกมาเปิดหูเปิดตา จึงด้อยประสบการณ์ พอได้เจอฮูหยินมากมายขนาดนี้ ก็วางตัวไม่ถูกขึ้นมา ฮูหยินจะไม่มียางอายได้อย่างไรกันเล่า”
“พี่สะใภ้อย่าไปฟังที่คุณนายสามสกุลหวงพูด” ฮูหยินห้าก็ทำท่าทีเข้ามาปกป้องพี่สะใภ้ของตัวเอง “นางแค่ล้อเล่นกับท่านเท่านั้น!” จากนั้นก็พูดต่อไปว่า “พี่สะใภ้ยังไม่เคยเจอหน้าองค์หญิงฝูเฉิงใช่หรือไม่ นางกำลังคุยอยู่กับแม่สามีของข้าในเรือน!”
ฮูหยิน นายหญิงและคุณนายทุกคนต่างก็คุ้นเคยและสนิทสนมกัน บทสนทนาที่คุยกันตนก็ฟังไม่ค่อยเข้าใจ จะเข้าไปพูดคุยด้วยก็ตามไม่ทัน
ซุนฮูหยินได้ยินแล้วก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็รีบพูดขึ้นว่า “ข้าจะไปคารวะองค์หญิงฝูเฉิงประเดี๋ยวนี้เลย!” จากนั้นนางก็รีบเอ่ยขอตัวลากับคุณนายสามสกุลหวง คุณนายใหญ่สกุลหลิน และคนอื่นๆ แล้วไปยังเรือนของไท่ฮูหยินโดยมีป้าสือช่วยนำทาง
คุณนายใหญ่สกุลหลินก็หัวเราะพร้อมกับหยอกล้อฮูหยินห้าว่า “ตานหยาง เจ้าพูดปกป้องพี่สะใภ้ของเจ้าเกินไปแล้ว”
ฮูหยินห้าไม่ได้คล้อยตาม นางพูดขึ้นอย่างไม่เห็นด้วยว่า “คำพูดของข้าไม่ถือว่ามากไปกระมัง!”
เวลานี้เอง ทุกคนต่างก็พากันจับจ้องไปยังโจวฮูหยินที่เข้าเรือนมาก็เอาแต่เงียบ ไม่ยอมพูดอะไรจนถึงตอนนี้
ตั้งแต่ฟังเจี่ยเอ๋อร์ให้กำเนิดบุตรสาว โจวฮูหยินก็พูดจาค่อนข้างน้อยลง
เมื่อนางสังเกตเห็นสายตาของทุกคน นางก็ยิ้มพร้อมกับรีบพูดขึ้นว่า “เวลาข้าพูด ทุกคนก็หาว่าข้าพูดมาก เวลาข้าเงียบ ทุกคนก็หาว่าข้าพูดน้อย” นางพูดพลางแสดงสีหน้าเศร้า พร้อมกับถอนหายใจออกมาเบาๆ “ข้าผู้น่าสงสาร จะยืนฝั่งขวาก็ไม่ถูก ยืนฝั่งซ้ายก็ไม่ใช่…จะยืนอยู่ตรงไหนก็ต้องคอยรับสายตาที่ติติงข้าของพวกเจ้าอยู่ตลอดเวลา”
เมื่อคำพูดถูกพูดออกไป ก็ทำให้คนในเรือนพากันหัวเราะเสียงดังออกมาด้วยความตลกขบขัน
คุณนายสี่สกุลถังก็เข้าไปกุมมือของโจวฮูหยิน “อย่าไปสนใจคนเหล่านี้เลย พวกเราไปคุยกันเองดีกว่า” จากนั้นทั้งสองก็พากันไปนั่งเก้าอี้ไท่ซือที่อยู่ข้างๆ ชวนคุยเรื่องสินเดิมของบุตรสาวขึ้นมา “…ไท่ฮูหยินคนก่อนได้เก็บสร้อยข้อมือไข่มุกให้สองเส้น เม็ดกลมโตทั้งนั้น หาได้ยากยิ่ง ข้อมือบุตรสาวของข้าค่อนข้างเล็ก เวลาสวมก็จะหลวมไปหน่อย ครั้นจะเอาไปใส่เป็นสร้อยคอก็สั้นไป แต่พอจะเอาไปทำเครื่องประดับผมก็เสียดาย ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี!”
โจวฮูหยินก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าหาผิดคนแล้ว เรื่องเช่นนี้เจ้าควรจะไปหาฮูหยินสี่สกุลสวีถึงจะถูก” น้ำเสียงฟังดูไม่ค่อยสนใจเท่าไรนัก
“เจ้าสายตากว้างไกล เห็นอะไรมาก็มาก ส่วนฮูหยินสี่สกุลสวีนั้นมีฝีไม้ลายมือที่ดี” คุณนายสี่สกุลถังพูดจาน่าฟัง “สามารถเชิญพวกท่านทั้งสองมาช่วยชี้แนะออกความคิดเห็นให้กับบุตรสาวของข้า ข้ายังมีอะไรต้องกลุ้มใจอีก เพียงแต่ว่าฐานะบรรดาศักดิ์ของทั้งสองสูงส่ง บางครั้งก็ไม่กล้าจะใฝ่สูง แต่ในเมื่อวันนี้ท่านพูดออกมาถึงขนาดนี้ เช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว” จากนั้นนางก็หันไปจับมือของสืออีเหนียงไว้ “ท่านทั้งสองช่วยข้าออกความคิดที จะได้ให้บุตรสาวของข้าแต่งงานออกเรือนอย่างสมศักดิ์ศรี!”
ตั้งแต่รู้ว่าอาจารย์จ้าวไม่พอใจในทัศนคติของสกุลถังจึงลาออกจากสำนักแล้ว สืออีเหนียงก็ค่อนข้างระมัดระวังตัวจากคนสกุลถัง ไม่อยากที่จะสนิทสนมกับคนสกุลถังมากจนเกินไป นางยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “ข้าทำของตระกูลของข้าเองก็พอจะไหว แต่ไม่มีฝีมือถึงขั้นช่วยบุตรสาวของท่านออกแบบกระมัง ควรจะให้พี่หญิงโจวช่วยออกความคิดเห็นจะดีกว่า!”
คุณนายสี่สกุลถังไม่ได้คล้อยตาม นางยืนยันที่จะพาสืออีเหนียงไปนั่งข้างโจวฮูหยินให้ได้
คุณนายใหญ่สกุลหลินเห็นแล้วก็หันไปพูดกับคุณนายสามสกุลหวงเสียงเบาว่า “ได้ยินมาว่าสกุลถังจะให้คุณชายสามสกุลถังหย่าร้างกับภรรยา ดูท่าแล้ว สกุลถังคงจะตั้งใจทุ่มให้กับสกุลโจวอย่างเดียวกระมัง”
คุณนายสามสกุลหวงเม้มปากเบาๆ ไม่ได้ออกความคิดเห็นแต่อย่างใด
หลายวันมานี้นางมักจะไปมาหาสู่กับจวนสกุลสวีอยู่เสมอ คุณนายสี่สกุลถังเคยใช้เหตุผลว่าสุขภาพร่างกายของสืออีเหนียงไม่ค่อยดี ก็เลยส่งโสมอายุร้อยปีมาให้สี่ราก สืออีเหนียงรู้สึกว่าของฝากมีค่ามากเกินไป นางก็เลยมอบให้ฮองเฮาแทน ต่อมาก็คอยส่งผ้าที่ใช้ทำเสื้อผ้าจำนวนหลายพับมาให้อยู่หลายครั้ง สืออีเหนียงจดเข้าหนังสือบัญชีทุกรายการ และได้ส่งของที่มีราคาเท่ากันกลับไปให้นาง สองวันมานี้คุณนายสี่สกุลถังจึงพึ่งจะหยุดไป
สาวใช้น้อยก็ได้เปิดม่านออก ฮูหยินสามก็ได้พาขบวนสาวใช้และป้ารับใช้เดินเข้ามา “โต๊ะอาหารจัดเตรียมเสร็จเรียบร้อยแล้ว เชิญทุกท่านไปนั่งได้ตามอัธยาศัย!”
เมื่อวานนี้จู่ๆ ฮูหยินสามก็ออกตัวขอช่วยจัดงานเลี้ยงพิธีสรงสามของเซินเกอกับไท่ฮูหยินและฮูหยินห้า
คนที่สนิทกับนางก็ยิ้มพร้อมกับทักทายนางว่า “ไอ๊หยา เจ้ากลับมาที่เมืองเยี่ยนจิงตั้งแต่เมื่อไรกัน”
“กลับมาตั้งแต่ปีใหม่แล้ว” ฮูหยินสามตอบกลับด้วยสีหน้าที่ยิ้มแย้ม “ฉินเกอของเราจะแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาแล้ว กำหนดเป็นวันที่สิบหกของเดือนเก้า จัดงานแต่งเสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยเดินทางไปที่ซานหยาง ถึงเวลานั้นพวกท่านต้องมาร่วมงานเลี้ยงมงคลสมรสด้วยถึงจะถูก”
“ต้องมาอยู่แล้ว”
จากนั้นนางก็ได้เชิญคุณนายใหญ่สกุลหลิน คุณนายสามสกุลหวง คุณนายสี่สกุลถังและคนอื่นๆ “ถึงเวลานั้นพวกท่านต้องมาร่วมงานให้ได้เชียว” และก็ได้หันไปกำชับกับคุณนายสี่สกุลถังว่า “หากพี่หญิงได้เจอกับคุณนายเก้าสกุลถังก็ช่วยข้าเชิญนางด้วย อีกสักวันสองวันข้าค่อยไปเชิญนางที่จวนด้วยตัวเองอีกที”
คุณนายสี่สกุลถังได้ยินก็ยิ้มพร้อมกับตอบกลับว่า “ข้าจะต้องบอกนางอย่างแน่นอน”
คุณนายสามสกุลหวงก็หันมาถามสืออีเหนียงเสียงเบาว่า “จวนของเจ้าได้ไปมาหาสู่กับจวนทางซีย่วนของสกุลถังด้วยหรือ”
จวนที่ซีย่วนของสกุลถัง เป็นญาติห่างๆ ที่แยกมาห้าชั่วอายุคนแล้ว
สืออีเหนียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตอบกลับไปว่า “พี่สะใภ้สามคงจะรู้จักกันเป็นการส่วนตัวกระมัง!”
หลังจากที่เขียนเทียบเชิญเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงค่อยรู้ว่าที่แท้แล้วฮูหยินสามเคยไปร่วมงานเลี้ยงที่จวนสกุลถัง นางเคยมอบผ้าต่วนให้ทางนั้นไปสองพับเป็นของขวัญ
ฮูหยินห้าโกรธจนหน้าดำหน้าแดงไปหมด “ข้ากะไว้แล้วเชียว จู่ๆ นางก็มีน้ำใจขึ้นมาดื้อๆ ช่วยทั้งพิธีสรงสามของเซินเกอและงานเลี้ยงวันครบเดือนของเซินเกอ ที่แท้แล้วก็ต้องการจะช่วยฉินเกอของนางเชิญแขกนี่เอง” จากนั้นก็หันไปพูดกับสืออีเหนียงว่า “พี่สะใภ้สี่คงจะยังไม่รู้เรื่องใช่หรือไม่ นางยังได้เชิญพี่สะใภ้ที่เป็นญาติห่างๆ ทางฝั่งมารดาของข้ามาอีกสองคนด้วย…ถึงเวลานั้นนางก็จะทิ้งเด็กทั้งสองไว้ แล้วตัวนางเองก็จะเดินทางไปที่ซานหยางคนเดียว พี่สะใภ้ของข้าทั้งสองคนนั้นไม่ว่าจะเป็นงานมงคลหรืองานอะไร จะให้ข้าบีบบังคับให้พี่สะใภ้เป็นคนควักเงินออกมาตอบแทนน้ำใจหรืออย่างไรกัน! ทำเรื่องที่น่าอับอายเช่นนี้ออกมาได้ จะให้ข้าเอาหน้าไปไว้ที่ไหน!”
เซินเกอท้องเสียอ่อนๆ สืออีเหนียงก็เลยมาดูอาการ แต่นึกไม่ถึงเลยว่าฮูหยินห้าจะพูดเรื่องพวกนี้กับนาง
เรื่องแบบนี้ฮูหยินห้าทำไม่ได้ สืออีเหนียงเองก็ทำไม่ได้เช่นกัน
สืออีเหนียงค่อยๆ ตบหลังเซินเกออย่างเบามือ ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “บางทีก็อิจฉาเหล่าบรรดาสตรีที่ตลาด ที่ไม่พอใจอะไรก็เข้าปะทะทันที ถึงอกถึงใจกว่าเราเป็นไหนๆ!”
ฮูหยินห้าชะงักไปชั่วขณะ จากนั้นนางก็หัวเราะเสียงดังออกมาด้วยความตลกขบขัน
นางจ้องมองสืออีเหนียงด้วยสายตาที่สนิทสนมกว่าเดิม
“เดือนเก้าบรรยากาศของฤดูใบไม้ร่วงเย็นสบายกำลังดี เป็นเทศกาลทานปู เชยชมดอกเบญจมาศพอดี เดิมทีข้าตั้งใจอาศัยงานเลี้ยงครบร้อยวันของเซินเกอเชิญชีเหนียงมาพักที่เมืองเยี่ยนจิงสักระยะหนึ่ง” พูดจบนางก็ขมวดคิ้วขึ้นมาอีกครั้ง “ตอนนี้ดูท่าแล้ว คงต้องรอฉินเกอแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาเสร็จเรียบร้อยเสียก่อนจะดีกว่า! ถึงเวลานั้นนางจะได้ไม่ต้องรีบเข้าเมืองจนเกินไป จะชนกันเอาได้”
สืออีเหนียงก็ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เจ้าเขียนจดหมายไปเถิด พี่สะใภ้สามไม่ได้เชิญพี่หญิงสี่กับน้องสิบสองของข้าเสียหน่อย นางจะไปเชิญพี่หญิงเจ็ดได้อย่างไรกัน!”
ฮูหยินห้าได้ยินแล้วก็อ้าปากเหวอขึ้นมาทันที ผ่านไปครู่หนึ่งนางจึงค่อยพูดขึ้นว่า “เราประเมินค่านางต่ำไปเสียแล้ว!”
สืออีเหนียงได้ยินแล้วก็หัวเราะไปยกใหญ่
เซินเกอที่ถูกห่อตัวในผ้าอ้อมก็เริ่มขมวดคิ้วขึ้นมา
สืออีเหนียงก็รีบหยุดหัวเราะลงทันที “เกือบทำเซินเกอของเราตื่นเสียแล้ว!”
ฮูหยินห้าเห็นว่าสายตาที่สืออีเหนียงจ้องมองเซินเกอด้วยความอ่อนโยนนั้นเต็มไปด้วยแววตาที่รักและเอ็นดู เหมือนสายตาที่ใช้มองจิ่นเกอไม่มีผิด มุมปากของนางก็ค่อยๆ ยิ้มขึ้นมา
“สุขภาพของพี่สะใภ้สี่ไม่ค่อยดี ท่านส่งเขาให้แม่นมดีกว่า!”
ฮูหยินห้าเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับบุตรมาก สืออีเหนียงเองก็ไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด นางยิ้มพร้อมยื่นเด็กให้กับแม่นมไป จากนั้นฮูหยินห้าก็ได้พูดคุยถึงเรื่องของชีเหนียงขึ้นมา
“ไม่มีอะไรคืบหน้าเลย นายหญิงผู้เฒ่าสกุลจูก็เอาแต่ใช้วาจาประชดประชัน คุณชายจูเองก็จนปัญญา ช่วงหลายวันก่อน ชีเหนียงกลับมาอยู่ที่จวนสกุลเดิมตั้งครึ่งเดือนกว่า นี่ก็พึ่งจะกลับไป”
เรื่องเหล่านี้ สำหรับสืออีเหนียงแล้ว ชีเหนียงไม่เคยพูดถึงเลย
“ตอนนี้นางเป็นอย่างไรบ้างแล้ว!”
“ถึงแม้ว่านางจะไม่พูดออกมา แต่ข้าคิดว่านางคงจะใช้ชีวิตลำบากไม่น้อย” ฮูหยินห้าถอนหายใจออกมาเบาๆ “ดังนั้นข้าก็เลยจะรับนางมาอยู่ที่เมืองเยี่ยนจิงสักระยะเวลาหนึ่ง ดูว่าจะสามารถหาหมอมาตรวจดูอาการของนางอย่างละเอียดได้หรือไม่”
สืออีเหนียงเหงื่อซึมทั่วทั้งตัว
ตนเป็นพี่น้องกับชีเหนียงแท้ๆ แต่กลับสนิทสู้ฮูหยินห้าไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
“ข้าเองก็ได้โน้มน้าวนางไปตั้งหลายครั้ง ว่าให้นางรับอนุภรรยา” ฮูหยินห้าพูดขึ้น “แต่นางไม่ฟังข้าเลย นางบอกว่านางยอมหย่าร้างเสียยังดีกว่า ข้าเองก็ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรดี หากนางมาแล้ว พี่สะใภ้สี่ก็ลองเกลี้ยกล่อมนางดูเถิด!”
สืออีเหนียงค่อนข้างเข้าใจในความรู้สึกของชีเหนียง
สำหรับชีเหนียงแล้ว จูอานผิงไม่ใช่แค่สามีของนางเท่านั้น แต่ยังเป็นคนรักที่นางรักมาก ดังนั้นนางจึงไม่สามารถที่จะทำใจยอมรับได้ นางยินยอมที่จะหย่าร้างมากกว่ายอมประนีประนอมเพื่อรักษาไว้ซึ่งส่วนรวมกระมัง
หลังจากที่กลับไปถึงเรือน นางก็ได้ถามสวีลิ่งอี๋ว่า “ช่วยสืบได้หรือไม่ ว่าก่อนหน้านี้จูอานผิงเคยมีบุตรนอกสมรสหรือเปล่าเจ้าคะ”
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นสู้รับอนุใหม่ไม่ดีกว่าหรือ อย่างน้อยๆ ชีวิตก็จะไร้ซึ่งมลทิน”
“ข้าไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้น!” สืออีเหนียงพูดขึ้น “ชีเหนียงตามหาหมอและตามหายาไปทั่ว แต่กลับไม่เจอเลยแม้แต่น้อย หากว่าเป็นเรื่องของชีเหนียงจริงๆ นางรู้แล้วก็จะได้ตัดสินใจว่าควรจะจัดการอย่างไร!”
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ได้รับปากนางอย่างง่ายดาย