ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 502 ทางเลือก(ปลาย)
ป้าหยางอดไม่ได้ที่จะเอ่ยอย่างเป็นห่วง “บ่าวคิดว่า เชิญหมอมาดูดีกว่าเจ้าค่ะ”
แต่หยางอี๋เหนียงกลับเลิกคิ้วแล้วพูดเสียงดัง “บอกให้ไปขอยานวดของเหวินอี๋เหนียงก็ไปขอมาสิ ทำไมพูดมากเช่นนี้!”
เห็นนางโมโห สีหน้าของป้าหยางก็หม่นหมองลง นางก้มหน้าแล้วขานรับ จากนั้นก็เดินออกไป
หยางอี๋เหนียงเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกเสียใจ ผ่านไปไม่นาน อารมณ์ของตัวเองก็ถูกแทนที่ด้วยความหงุดหงิดในใจ
ต่อไปจะทำเช่นไร
หรือว่าต้องไปบำเพ็ญเพียรที่วัดจริงๆ?
เพียงแค่มีคน ก็ย่อมมีการแข่งขัน มีเพียงคุณหนูที่โตมาในเรือนและไม่เคยเห็นโลกภายนอกเท่านั้นที่คิดว่าวัดคือสถานที่บริสุทธิ์ หลานสาวของนักโทษที่ไม่มีภูมิหลังอย่างนาง หากไปอยู่ที่นั่น ก็คงจะต้องถูกคนบงการเหมือนต้นจอกแหนที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ถึงอย่างนั้นก็มีวัดที่สงบสุข อย่างเช่นอารามต้าเจวี๋ย...
พอความคิดนี้ผุดขึ้นมา นางก็ตัวสั่นเทา
ไม่สู้อยู่ที่จวนสกุลสวีเช่นนี้ อย่างน้อยๆ ก็ยังมีอาหารและเสื้อผ้า มีชีวิตสะดวกสบาย
คิดได้เช่นนี้ นางก็กำหมัดแน่น
ต้องหาทาง…
******
โคมไฟสีแดงห้อยอยู่ตามทางเดิน ลมพัดผ่านมันก็ไม่ขยับ พลอยทำให้บรรยากาศยิ่งดูเงียบสงัด
สวีลิ่งอี๋และสืออีเหนียงเดินเคียงข้างกัน
เนื่องจากหู่พั่วไปอยู่ที่เรือนนอกแล้ว จู๋เซียงจึงกลายเป็นสาวใช้ผู้ดูแลแทน เห็นท่าทีของสวีลิ่งอี๋แล้วดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะนอนที่นี่ พรุ่งนี้เช้าจู๋เซียงยังต้องจัดการสาวใช้มาคอยรับใช้สวีลิ่งอี๋ล้างหน้าแปรงฟัน บอกโรงครัวเล็กทำอาหารเช้า สั่งสาวใช้ไปเก็บต้นอ่อนของเซียงชุน ยามอิ๋นก็ต้องตื่นแล้ว ไม่เหมือนตนที่นอนได้ถึงยามเหมา
คิดได้เช่นนี้ สืออีเหนียงจึงหันไปมองสาวใช้กับป้ารับใช้ที่เดินตามหลังพวกเขามาเงียบๆ แล้วพูดว่า “ข้าไปเดินเล่นกับท่านโหว ให้ชิวอวี่และสาวใช้อีกสองคนไปด้วยก็พอ คนที่เหลือก็กลับไปพักผ่อนเถิด!”
ปกติมักจะคิดว่าสาวใช้และป้ารับใช้ของสืออีเหนียงน้อยเกินไป แต่ตอนนี้กลับคิดว่าสืออีเหนียงพูดถูก
สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วรอให้สืออีเหนียงจัดการบ่าวรับใช้ให้เรียบร้อย จากนั้นก็เดินและพูดคุยกับสืออีเหนียง
“สองสามวันก่อนได้รับจดหมายจากเจิ้นซิ่ง บอกว่าเขาออกเดินทางแล้ว นับวันดู อีกสองสามวันเขาก็คงจะมาถึงกระมัง”
“พ่อบ้านไป๋ส่งคนไปรอรับที่ท่าเรือทงโจวแล้วเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้สี่ก็ทำความสะอาดเรือนหลักแล้ว สาวใช้และบ่าวรับใช้ที่คอยรับใช้ก็จัดการเรียบร้อยแล้ว”
พูดถึงคุณนายสี่สกุลหลัว สวีลิ่งอี๋ก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ทำไมช่วงนี้ไม่เห็นอิงเหนียงเลย”
หลังปีใหม่ คุณนายสี่สกุลหลัวมาหานางอยู่บ่อยๆ มาดูจิ่นเกอบ้าง นำอาหารเสื้อผ้ามาให้บ้าง และทุกครั้งที่มาก็จะพาอิงเหนียงมาด้วย สวีลิ่งอี๋ชอบนางเป็นอย่างมาก
“ช่วงนี้อากาศดี พี่สะใภ้สี่เลยพาอิงเหนียงไปเที่ยว” สืออีเหนียงยิ้ม “บอกว่ารอให้พี่ใหญ่มาถึงเมืองหลวงแล้วพวกเขาก็จะกลับอวี๋หัง ตอนนี้ท่านพ่อไม่ดูแลเรื่องที่จวน พี่สะใภ้ใหญ่ก็กำลังตั้งครรภ์ หงเกอก็ยังเล็ก พวกเขาต้องกลับไปช่วยพี่สะใภ้ใหญ่ดูแลเรื่องที่จวน พี่สะใภ้ใหญ่จะได้พักผ่อนบ้างเจ้าค่ะ ปีหน้าพี่ใหญ่สอบได้ตำแหน่ง ไม่ว่าจะอยู่ในเมืองหลวงหรือว่าออกไปมณฑลอื่น แต่ที่จวนก็ต้องมีคนอยู่ ต่อไปคงไม่ได้มาเยี่ยนจิงบ่อยๆ แล้ว จึงถือโอกาสนี้พาอิงเหนียงออกไปเปิดหูเปิดตา”
สวีลิ่งอี๋พยักหน้า “เช่นนั้นเจ้าต้องเตรียมของขวัญให้นางเยอะหน่อย”
“สองสามวันนี้ข้ากำลังจัดการเรื่องนี้อยู่พอดี!” สืออีเหนียงยิ้ม “ของท่านพ่อ ของอี๋เหนียงสองสามท่าน ของพี่สะใภ้ใหญ่ ของหงเกอและของซิวเกอ…ถึงตอนนั้นเกรงว่าคงต้องใช้รถลากสองคัน”
สวีลิ่งอี๋ยืนนิ่งแล้วหันหน้ามองสืออีเหนียง
แสงไฟสีแดงสะท้อนลงบนใบหน้าของนาง ลมหายใจที่อบอุ่นพวยพุ่งเข้ามา
เขาอดไม่ได้ที่จะจับมือนาง “เจ้าดีขึ้นแล้วหรือยัง”
สืออีเหนียงปล่อยให้เขาจับมือตัวเอง นางยิ้มแล้วพยักหน้า “ทานรังนกสองชามทุกวัน หากยังไม่ดีขึ้น ก็คงจะไม่มีวิธีอื่นแล้วกระมัง!”
แสงไฟสะท้อนดวงตาของนาง ทำให้ดวงตาของนางเป็นประกาย
สวีลิ่งอี๋เดินเข้าไปข้างหน้า อยากโอบตัวนางเข้ามาไว้ในอ้อมแขน แต่หางตากลับเหลือบไปเห็นชิวอวี่และคนอื่นๆ ที่ตามพวกเขามาไกลๆ เขาครุ่นคิดสักพัก แต่สุดท้ายก็ไม่กอด แค่ลูบหลังมือสืออีเหนียงเบาๆ “หากรู้สึกไม่สบายตรงไหนก็ต้องบอก อย่าอดทนเด็ดขาด โสมและรังนกไม่ใช่ของหายาก ตราบใดที่ท่านหมอบอกให้ทาน หากเจ้าไม่ชอบก็ต้องทานทุกวัน”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพยักหน้า หรี่ดวงตาที่กลมโตลงด้วยสีหน้าที่ดูดีใจราวกับเด็กน้อย ทำให้สวีลิ่งอี๋รู้สึกอุ่นใจ เขาจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม
“อีกสองวันหมอหลิวจะมาดูใช่หรือไม่” น้ำเสียงของสวีลิ่งอี๋นุ่มนวลและอ่อนโยนราวกับสายลมฤดูใบไม้ผลิ “ข้าได้ยินมาว่าทานซานซี[1]แล้วจะดีขึ้น เจ้าลองถามเขา หากได้ผล ข้าจะให้คนไปนำซานชีมาจากมณฑลยูนนาน”
“ทานรังนกก็พอแล้วกระมัง” สืออีเหนียงหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง นางเดินเข้าไปกอดแขนสวีลิ่งอี๋ ยิ้มแล้วพูดว่า “น้ำแกงตุ๋นในลูกฟักที่ทำจากน้ำแกงไก่และเห็ดอร่อยมากเจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงในคืนนี้ไม่เหมือนเดิม นางดูมีความสุขและร่าเริงเป็นพิเศษ แล้วยังกล้าหาญแปลกๆ
สวีลิ่งอี๋แปลกใจ แต่เขาชอบแบบนี้มากกว่า
เขาชอบบรรยากาศที่แม้แต่อากาศก็ผ่อนคลายเช่นนี้
สวีลิ่งอี๋ยกมือขึ้นไปจับมือของสืออีเหนียงที่กำลังคล้องแขนเขาอย่างเบามือ
“ข้าลืมไป” เขายิ้ม “เจ้าเกิดที่ฝูเจี้ยน โตที่อวี๋หัง จึงชอบทานอาหารทะเล ตอนนี้หม่าจั่วเหวินอยู่ที่ฝูเจี้ยน ข้าเขียนจดหมายให้เขาส่งหอยเป๋าฮื้อมาให้ ถึงตอนนั้นเจ้าทำพระกระโดดกำแพงให้ท่านแม่ลองชิมดูเถิด”
ไท่ฮูหยินโตที่ภาคเหนือ ไม่ชอบทานอาหารทะเล
สืออีเหนียงไม่ได้พูดอะไร นางเอียงหัวซบลงบนแขนของสวีลิ่งอี๋
******
ป้าหยางเทยานวดลงบนมือแล้วถูให้ร้อน จากนั้นก็ประคบลงบนข้อเท้าที่บวมเป่งของหยางอี๋เหนียง หยางอี๋เหนียงสูดหายใจเข้า ป้าหยางก็เบามือลง
แต่หยางอี๋เหนียงกลับกัดฟัน “ไม่ยอมเสียลูกก็ไม่ได้หมาป่า หากท่านใจเสาะ เกรงว่าแผลนี้คงไม่มีทางหายดี”
ป้าหยางจะไม่รู้ได้เช่นไร นางลังเลครู่หนึ่งแล้วออกแรงนวด
หยางอี๋เหนียงเจ็บจนเม็ดเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก แต่ไม่รู้ทำไม นางกลับรู้สึกสบายใจในใจ ความเดียวดายภายใต้แสงจันทร์ การที่หลบอยู่ในกอหญ้าและความอับอายที่เกิดจากท่าทีดูถูกของสวีลิ่งอี๋…ความเจ็บปวดนี้ กลายเป็นความทรงจำที่ยากจะลืมเลือน
นางจับมุมโต๊ะบนเตียงเตาแน่น เม้มริมฝีปาก ถึงแม้จะเจ็บปวดแค่ไหน แต่นางก็ไม่ร้องออกมา เช่นนี้ นางถึงจะรู้สึกดี
ป้าหยางเห็นหยางอี๋เหนียงทนเจ็บ ก็รู้สึกเสียใจ หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางจึงพูดเรื่องอื่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของหยางอี๋เหนียง
“ตอนที่บ่าวออกไป เหวินอี๋เหนียงยังไม่นอนเจ้าค่ะ ได้ยินว่าอี๋เหนียงเท้าพลิก นางก็ตกใจแล้วถามบ่าวว่าท่านเท้าพลิกได้เช่นไร บ่าวจึงบอกว่าท่านสะดุดบันได เหวินอี๋เหนียงจะมาหาท่าน แต่บ่าวห้ามเอาไว้เจ้าค่ะ”
เหวินอี๋เหนียงเป็นคนฉลาด พานางมาไม่ใช่เรื่องดี
หยางอี๋เหนียงไม่พูดอะไร
ป้าหยางจึงพูดต่อไปว่า “บ่าวบอกว่าดึกมากแล้ว ประเดี๋ยวฮูหยินจะตกใจ เหวินอี๋เหนียงจึงยอมเจ้าค่ะ บอกให้ตงหงหายานวดมาหาบ่าว บอกว่าเป็นยานวดหงฮวาชั้นดีที่นำมาจากกว่างตง”
เหวินอี๋เหนียงมีของดีเสมอ
หยางอี๋เหนียงพยักหน้า
“บ่าวเอ่ยขอบพระคุณนางซ้ำๆ” ป้าหยางพูดแล้วนวดต่อ “เหวินอี๋เหนียงบอกให้แม่นางตงหงออกมาส่งบ่าว แล้วยังบอกว่า พรุ่งนี้เช้าจะมาหาท่าน”
ถึงแม้ว่าจะอยู่ในลานเล็กทางทิศตะวันออกด้วยกัน แต่คนหนึ่งอยู่ทางทิศใต้คนหนึ่งอยู่ทางทิศเหนือ ตรงกลางมีลานสองลานคั่นอยู่ หากเดินมาต้องเดินผ่านห้องโถงที่ทะลุไปเรือนหลังของเรือนหลัก
หยางอี๋เหนียงพูดเสียงเบา “ประตูห้องโถงปิดแล้วหรือยัง”
ป้าหยางครุ่นคิด “ปิดแล้วเจ้าค่ะ!” จากนั้นก็พูดอีกว่า “ตงหงถือโคมไฟเดินมาส่งบ่าวถึงหน้าประตูลานฉินอี๋เหนียงแล้วก็กลับไปเจ้าค่ะ”
ประตูลานของฉินอี๋เหนียงและประตูลานเฉียวอี๋เหนียงอยู่ตรงข้ามกับห้องโถงทางซ้ายและทางขวา ถึงแม้ว่าโคมไฟหน้าลานของฉินอี๋เหนียงจะดับ แต่โคมไฟหน้าลานของเฉียวอี๋เหนียงยังห้อยอยู่ ป้าหยางไม่มีทางมองผิดแน่นอน
หยางอี๋เหนียงขมวดแน่น
ป้าหยางเห็นเช่นนี้ก็พูดเสียงเบา “อี๋เหนียงกำลังคิดอะไรอยู่เจ้าคะ”
หยางอี๋เหนียงทำสีหน้าเรียบนิ่ง นางไม่ตอบคำถามของป้าหยาง
ป้าหยางแอบถอนหายใจในใจ ก้มหน้าลงแล้วตั้งใจนวดข้อเท้าให้นางต่อ
******
ลมยามกลางคืนพัดผ่านมา กอไผ่สีเขียวก็ส่งเสียงดัง
สวีลิ่งอี๋ก้มหน้าลงก็เห็นต่างหูดอกติงเซียงสีทองที่ห้อยอยู่ที่หูของสืออีเหนียง มันห้อยอยู่ข้างแก้มของนางอย่างไม่ไหวติง สะท้อนแสงกับใบหน้าที่ขาวสะอาดและละเอียดอ่อนราวกับกลีบดอกไม้…พลอยทำให้รู้สึกเหมือนได้กลิ่นหอมของดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ปาน
หัวใจของเขาพลันเต้นแรง
เหลือบมองดูชิวอวี่ที่ยืนก้มหน้าและแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นอะไรทั้งนั้นอยู่ตรงมุมทางเดิน สวีลิ่งอี๋ก้มหน้าลงกระซิบข้างหูสืออีเหนียง “กลับเรือนกันเถิด!”
น้ำเสียงทุ้มต่ำฟังดูแหบพร่า
สืออีเหนียงเงยหน้าขึ้นมองสวีลิ่งอี๋ด้วยสายตาที่เป็นประกาย
“เจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋รู้สึกใจสั่น
เขาตกใจอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็จับมือนางเดินไปทางเรือนหลัก
******
ราวกับมีความร้อนที่แผดเผาตั้งแต่ข้อเท้าของหยางอี๋เหนียงไปจนถึงหัวใจของนาง
นางลุกขึ้น “ไป เราไปหาเหวินอี๋เหนียงกันเถิด!”
ป้าหยางไม่ทันตั้งตัว หน้าเกือบล้มคะมำ
“ตอนนี้น่ะหรือเจ้าคะ” นางพูดด้วยความตกใจ “เท้าของท่าน…”
“ไม่ต้องเป็นห่วง รีบประคองข้าไปเรือนเหวินอี๋เหนียงที”
————————————————————–
[1]ซานชี เป็นสมุนไพรมีสรรพคุณหลากหลาย เช่น รักษาอาการเลือดออก ช้ำใน