ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 501 ทางเลือก (กลาง)
กลับมาก่อนก็กลับมาก่อน แล้วเหตุใดต้องอยู่ที่ศาลาชุนเหยี่ยนตั้งนานเล่า
สวีลิ่งอี๋มองดูท่าทีที่นิ่งเฉยของสืออีเหนียง ก็แอบหัวเราะในใจ
นางยังไม่รู้นิสัยของตัวเอง ยิ่งเป็นเรื่องที่สำคัญเท่าไหน นางก็ยิ่งทำท่าทีไม่สนใจเท่านั้น
เขาจึงสนใจเพียงครึ่งประโยคแรกมากกว่า
“ทำไมถึงไปหาข้าเล่า” เขามองไปที่นางด้วยสายตาที่มีรอยยิ้ม “ข้ามีหลินปัวคอยดูแล เมื่อก่อนก็เคยอยู่เรือนปั้นเย่ว์พั่นเป็นเดือนๆ เสื้อผ้าอะไรก็มีหมด เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง! ไปหาข้ากลางค่ำกลางคืนเช่นนี้ ทำให้ข้าเป็นห่วงเจ้าเสียมากกว่า!” พูดจบ เขาก็มองดูรองเท้าที่ปักลายดอกกล้วยไม้หยกสีแดงของสืออีเหนียง
สืออีเหนียงจึงดึงเท้ากลับตามสัญชาตญาณ
ก่อนหน้านี้นางคิดว่าประโยคที่ว่า ‘กลับมาก่อน’ คือจุดสำคัญ เช่นนี้ เรื่องที่หยางอี๋เหนียงอยู่ที่เรือนปั้นเย่ว์พั่นก็กลายเป็นหัวข้อบทสนทนา…ซึ่งนางคิดวิธีรับมือสำหรับเรื่องนี้ไว้แล้ว หากเขาถาม นางจะตอบเขาว่า ‘เรือนปั้นเย่ว์พั่นคือเรือนห้องหนังสือของท่านโหว สกุลหยางถูกกวาดล้าง หยางอี๋เหนียงไปหาท่าน ข้าคิดว่านางคงมีเรื่องสำคัญอยากจะปรึกษาท่าน สตรีอย่างข้า ไม่ควรเข้าไปยุ่งเจ้าค่ะ’
บางทีหากสวีลิ่งอี๋ได้ยินเช่นนี้เขาอาจจะเล่าเรื่องที่หยางอี๋เหนียงอยู่ที่เรือนปั้นเย่ว์พั่นให้นางฟัง!
แต่เขากลับไม่พูดอะไรสักคำ เอาแต่พูดถึงครึ่งประโยคแรก ฟังจากน้ำเสียงนั้น ราวกับว่านางแอบไปหาเขาเป็นการส่วนตัว!
สืออีเหนียงโมโห คิดว่าหากตัวเองไม่ตอบ มันก็จะเหมือนกับที่เขาพูด แต่หากตอบ ตอนนี้นางยังหาเหตุผลที่ฟังขึ้นไม่ได้…นางกังวล หัวหมุนอย่างรวดเร็ว แต่คนถามกลับนั่งอย่างสง่างาม รอยยิ้มก็อ่อนโยนมากขึ้นเรื่อยๆ นางเหลือบมองไปที่ผลอิงเถาแกะสลักในถาดหยกเหอเถียนที่อยู่ข้างหลังสวีลิ่งอี๋ จากนั้นก็พูดว่า “ยามเที่ยงท่านโหวมาหาจิ่นเกอแล้วก็กลับไป ไม่อยู่ทานข้าวที่นี่ สาวใช้เก็บเซียงชุนมาทำขนมเซียงชุน เพราะว่าเป็นต้นอ่อน จึงทั้งหอมทั้งนุ่ม อร่อยมากเจ้าค่ะ จึงอยากนำไปให้ท่านโหวทานพรุ่งนี้เช้า”
จริงหรือ?
ต้นอ่อนของเซียงชุนต้องเก็บตอนเช้าไม่ใช่หรือ? ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ทานข้าวเที่ยง แต่เขาก็เล่นกับจิ่นเกอตั้งนาน หากทำขนมเซียงชุนไว้จริงๆ ด้วยนิสัยของสืออีเหนียง นางคงจะบอกให้บ่าวรับใช้ของเขานำกลับไปด้วย หรือไม่ก็ให้สาวใช้ส่งไปให้พรุ่งนี้เช้า นางไม่ใช่คนที่จะวิ่งไปเรือนปั้นเย่ว์พั่นกลางค่ำกลางคืนเช่นนี้!
สายตาของสวีลิ่งอี๋เฉียบแหลม
“ถึงเวลาทานเซียงชุนแล้วหรือ” เขาหัวเราะ “ช่วงนี้ข้ายุ่งจนลืมเรื่องนี้ไปเลย” จากนั้นก็พูดอีกว่า “เจ้าไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว บอกให้สาวใช้ห่อเซียงชุนให้หลินปัวนำกลับไปเถิด!”
ตอนเช้าเก็บต้นอ่อนของเซียงชุนแล้วจริงๆ แต่ทำบะหมี่เซียงชุน ไม่ได้ทำขนมเซียงชุน
“คิดไม่ถึงว่าท่านโหวจะมา” สืออีเหนียงยิ้ม “พอดีว่าป้าตู้มาดูจิ่นเกอ จึงให้นางนำกลับไปแล้ว” นางพูด “ในเมื่อท่านโหวชอบ พรุ่งนี้เช้าข้าจะให้สาวใช้ไปเก็บต้นอ่อนของเซียงชุนแต่เช้า”
สวีลิ่งอี๋ไม่ปฏิเสธ เขาพูด “ที่เรือนยังมีต้นอ่อนของเซียงชุนอยู่ใช่หรือไม่”
เป็นประโยคบอกเล่า ไม่ใช่ประโยคคำถาม
สืออีเหนียงยิ้มอย่างแผ่วเบา
การโกหกที่เป็นความจริง มักจะมีความจริงอยู่ในนั้นเก้าถึงสิบส่วน!
ต้นอ่อนของเซียงชุนจะอ่อนตอนก่อนและหลังพระอาทิตย์ขึ้น นางบอกให้โรงครัวทำขนมเซียงชุนให้สวีซื่อจุนและสวีซื่อเจี้ยทานพรุ่งนี้ รอให้พระอาทิตย์ขึ้นแล้วค่อยไปเก็บมันจะไม่ทัน โรงครัวน่าจะยังมีต้นอ่อนของเซียงชุนอยู่
นางยิ้มแล้วตอบรับ “ยังมีอยู่เจ้าค่ะ”
มองดูเขาด้วยสายตาที่เป็นประกาย ราวกับเด็กน้อยที่ก่อเรื่องสำเร็จ สวีลิ่งอี๋กลั้นเสียงหัวเราะ
“ข้ายุ่งอยู่ตลอด ยังไม่ได้ทานข้าวเลย เจ้าทำบะหมี่เซียงชุน ให้ข้าสักชามเถิด!”
ท่านอยากทาน ข้าก็จะทำให้ทาน!
“ได้เจ้าค่ะ!” สืออีเหนียงยิ้มแล้วลงมาจากเตียงเตา “แต่ตอนนี้ยามซวีแล้ว เหตุใดท่านโหวถึงยังไม่ได้ทานข้าวเล่า”
เขาไม่ทานอะไรยามดึกไม่ใช่หรือ ประเดี๋ยวจะทำชามใหญ่ให้เขา ดูสิว่าจะทานหมดหรือไม่
นางยิ้ม “ท่านโหวนั่งพักสักครู่ ประเดี๋ยวบะหมี่ก็มาเจ้าค่ะ!”
แต่สวีลิ่งอี๋กลับตามนางไปที่โรงครัวเล็ก
“ซื่อเจิงมาคุยกับข้าตั้งนาน จากนั้นหวังลี่ก็มา” เขานั่งที่โต๊ะสี่เหลี่ยมนอกห้องครัวมองดูสืออีเหนียงนวดแป้ง “พวกข้าจึงพูดคุยกันจนลืมเวลา เดิมทีว่าจะอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกัน แต่บ่าวรับใช้จวนองค์หญิงรีบวิ่งมาบอกว่ามีเรื่องสำคัญให้ซื่อเจิงรีบกลับไป พึ่งจะจัดอาหารเสร็จ ผู้ดูแลสกุลหวังก็มาหาหวังลี่ บอกว่าขันทีมาหาเขาตามคำสั่งของฮ่องเต้…พอกำลังจะทาน หยางอี๋เหนียงก็มาหาข้าอีก สุดท้ายจึงไม่ได้ทานอะไรเลยจนถึงตอนนี้”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วฟังสวีลิ่งอี๋พูด แต่ป้าอู๋ผู้ดูแลโรงครัวเล็กที่คอยยืนรับใช้อยู่ข้างๆ กลับหัวใจเต้นแรง
ไม่รู้ว่าท่านโหวและฮูหยินเล่นอะไรกันอยู่ ถึงแม้ว่าอยากจะให้ฮูหยินต้มบะหมี่ให้ แต่แค่บอกโรงครัวก็พอแล้ว เหตุใดถึงให้ฮูหยินลงมือทำเอง
แล้วก็ท่านโหว อยากทานบะหมี่ แค่นั่งจิบชาประเดี๋ยวเดียวก็ได้ทาน แต่กลับมานั่งรอที่โรงครัวเล็กเช่นนี้!
นางนึกขึ้นมาได้ว่าสืออีเหนียงยังไม่สบาย แล้วก็เห็นข้อมือเล็กๆ ที่ถอดกำไลข้อมือออกแล้วของสืออีเหนียงกำลังนวดแป้งเบาๆ นางก็อดไม่ได้ที่จะกังวล
การนวดแป้งเป็นงานที่ต้องใช้แรง หากนวดไม่ดี ประเดี๋ยวเส้นบะหมี่จะกลายเป็นก้อน
นางจึงมองไปที่สืออีเหนียง
ในที่สุดแขนเสื้อของสืออีเหนียงก็หล่นลงมา นางรีบเดินเข้าไปช่วยสืออีเหนียงพับแขนเสื้อ แล้วถือโอกาสกระซิบข้างหูสืออีเหนียงเบาๆ “บ่าวบอกให้สาวใช้ข้างนอกนวดแป้งเอาไว้แล้วเจ้าค่ะ ประเดี๋ยวบ่าวขยิบตาให้ท่าน ท่านก็ไปต้มบะหมี่ที่ห้องเตาได้เลยเจ้าค่ะ!”
แต่สืออีเหนียงกลับนวดแป้งต่อ นางยิ้มแล้วพูดกับสวีลิ่งอี๋ “อาหารเป็นสิ่งสำคัญที่สุดของมนุษย์ หากท่านโหวเจอเหตุการณ์เช่นนี้อีกก็ควรทานข้าวให้อิ่มก่อนนะเจ้าคะ!”
แต่เขากลับไม่เข้าใจอะไร แค่รู้สึกว่าท่าทีของสืออีเหนียงอ่อนโยนและสง่างาม ทำให้เขารู้สึกสบายใจ เขาจึงเอนตัวลงบนเก้าอี้ไท่ซือแล้วชื่นชมนาง “เดิมทีคิดว่าคงไม่พูดอะไรมาก แต่ใครจะรู้ว่าพูดตั้งนาน”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “พูดอะไรกันเจ้าคะ”
ไม่รู้ว่าหยางอี๋เหนียงโน้มน้าวใจสวีลิ่งอี๋สำเร็จหรือไม่
“หยางอี๋เหนียงบอกว่านางอยากออกบวช” สวีลิ่งอี๋พูดเสียงเรียบ “ข้าตกลงแล้ว พรุ่งนี้จะให้พ่อบ้านไป๋ไปหาวัดที่เหมาะสมให้นาง ถึงตอนนั้นเจ้าให้คนไปช่วยนางเก็บข้าวของ หากคิดว่าไม่ไหว ก็บอกให้เหวินอี๋เหนียงไปจัดการเถิด”
ข่าวนี้กะทันหันเกินไป!
ป้าอู๋ จู๋เซียงและชิวอวี่หันมามองหน้ากันแล้วกลั้นหายใจ
สีหน้าของสืออีเหนียงมีความตกใจปรากฏขึ้นมา
“ทำไมจู่ๆ ถึงคิดอยากจะออกบวช? ไปอยู่ที่วัดชั่วคราว หรือว่า…”
หากไปอยู่ที่วัดชั่วคราว หยางอี๋เหนียงยังมีโอกาสกลับมา แต่หากไม่ใช่เช่นนั้น ก็เท่ากับถูกไล่ออกจากจวนสกุลสวี!
“ตัดสินใจออกบวชแล้ว!” ในบรรยากาศที่เงียบสงัด น้ำเสียงของสวีลิ่งอี๋ไม่เพียงแต่ชัดเจน แล้วยังเสียงดังฟังชัด “ไปอยู่ที่วัดให้คุ้นเคยก่อนสักระยะหนึ่ง แล้วค่อยโกนหัวอย่างเป็นทางการ!”
เกิดอะไรขึ้นกันแน่!
สืออีเหนียงสับสนไปหมด นางอยากถามว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แต่ก็คิดว่าในและนอกโรงครัวมีคนยืนอยู่ไม่ต่ำกว่าสิบคน คิดว่าหากนางถามตอนนี้คงจะไม่เหมาะสมจึงเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจแล้วขานรับ “เจ้าค่ะ” เสียงเบา พูดต่ออีกว่า “พรุ่งนี้ข้าจะจัดการคนไปช่วยหยางอี๋เหนียงเก็บข้าวของ!”
สวีลิ่งอี๋รู้สึกว่าสืออีเหนียงเปลี่ยนไป พลันเสียใจที่พูดเรื่องนี้ทำลายบรรยากาศ เขาจึงยิ้มแล้วพูดเสียงดัง “อ้อใช่ แล้วเมื่อไรจะนวดเสร็จหรือ”
*****
บ่าวรับใช้สองคนหามเสลี่ยงออกมาส่งหยางอี๋เหนียง
“อี๋เหนียงขอรับ บ่าวส่งถึงแค่ตรงนี้นะขอรับ” บ่าวรับใช้ปล่อยมือ หยางอี๋เหนียงเกิดขาอ่อนแรง นางทรุดตัวนั่งลงบนกองหญ้าที่อยู่ข้างๆ “ดึกแล้ว อี๋เหนียงรีบกลับไปที่เรือนเถิดขอรับ ประเดี๋ยวบ่าวรับใช้ออกมาลาดตระเวนยามกลางคืนจะเข้าใจผิดคิดว่าอี๋เหนียงเป็นคนร้ายเอาขอรับ”
ความเจ็บปวดที่เท้าทำให้หยางอี๋เหนียงตกใจ
ตอนนี้ยามใดแล้ว นางไม่เพียงคิดหาทางเอาตัวรวด แต่กลับเหม่อลอยราวกับคนเสียสติเช่นนี้
คิดได้เช่นนี้ นางก็พยายามลุกขึ้นยืน
ข้อเท้าซ้ายรู้สึกเจ็บแปลบขึ้นมา
หรือว่าข้อเท้าพลิก?
แต่กลางค่ำกลางคืนเช่นนี้ ไม่มีใครสักคน…หากตะโกนเสียงดัง ทำให้บ่าวรับใช้ที่ออกมาลาดตระเวนตกใจแล้วถามว่านางทำไมถึงมาอยู่ที่นี่…
นางเม้มปาก อดกลั้นต่อความเจ็บปวดแล้วเดินกะเผลกไปข้างหน้า
*****
คนที่รับใช้อยู่ในห้องล้วนแต่รู้สึกถึงเจตนาของสวีลิ่งอี๋
ป้าอู๋ยิ้มแล้วพูดว่า “ประเดี๋ยวก็เสร็จแล้วเจ้าค่ะ! หากท่านโหวหิวแล้ว ยังมีน้ำแกงไก่ใส่โสมอยู่บนเตา หรือว่าให้บ่าวตักมาให้ท่านโหวทานรองท้องก่อนสักชามดีเจ้าคะ”
“ไม่เป็นไร!” สวีลิ่งอี๋นั่งอยู่ตรงนั้นอย่างสงบ “รอบะหมี่ของฮูหยินดีกว่า!”
ทันทีที่เขาพูดจบ ป้าอู๋ก็เห็นสาวใช้ที่ดูแลเตาโผล่หัวออกมาจากห้องเตา
นางเข้าใจในทันที จากนั้นก็ขยิบตาให้สืออีเหนียง “ฮูหยิน นวดแป้งเสร็จแล้วเจ้าค่ะ!” นางพูดพร้อมกับยื่นไม้นวดเเป้งให้นาง
สืออีเหนียงมองไปที่สวีลิ่งอี๋ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความรอคอยก็รู้สึกขำขัน ความไม่สบายใจเมื่อครู่นี้หายไปราวกับก้อนเมฆ…จากนั้นก็รับไม้นวดเเป้งมาจากมือของป้าอู๋
*****
ป้าหยางที่กำลังรออยู่หน้าประตูสวนดอกไม้ด้วยความเป็นห่วง เห็นเงาคนเดินกะเผลกเข้ามา นางก็ตะโกนถามว่า “ใคร!” ด้วยน้ำเสียงที่ตื่นตระหนก
“ท่านป้า” หยางอี๋เหนียงพูดด้วยน้ำเสียงไร้เรี่ยวแรง “ข้าเอง!”
“อี๋เหนียง!” ป้าหยางตกใจ นางรีบเดินเข้าไปประคองหยางอี๋เหนียง เห็นเสื้อผ้าของนางฉีกขาด นางก็ยิ่งตื่นตระหนกเข้าไปใหญ่ “อี๋เหนียง ท่านเป็นอะไรเจ้าคะ”
“ท่านประคองข้าเข้าไปในป่าข้างทางเร็วเข้า” หยางอี๋เหนียงมองดูโคมไฟสีแดงทางศาลาปี้อีที่ค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ๆ “เกรงว่าจะเป็นคนลาดตระเวนยามกลางคืน มีเรื่องอันใด กลับไปก่อนค่อยว่ากัน”
ป้าหยางตอบรับ จากนั้นก็รีบประคองหยางอี๋เหนียงเข้าไปในป่าข้างทาง
*****
“ไม่เลว!” สวีลิ่งอี๋วางตะเกียบลง รับชาที่จู๋เซียงยื่นให้มาดื่มล้างปาก “เส้นบะหมี่เหนียวแน่น เซียงชุนก็อร่อย พรุ่งนี้ก็ทำบะหมี่เซียงชุนอีกเถิด!”
ป้าอู๋และคนอื่นๆ พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก จากนั้นก็ขยิบตาให้กัน
โชคดีที่สวีลิ่งอี๋ไม่ตามไปที่ห้องเตา ไม่เช่นนั้นคงถูกเขาจับได้แน่นอน
“มีไม่มากแล้ว!” สืออีเหนียงยกชาต้าหงเผาที่ชิวอวี่ถืออยู่ในมือวางไว้ข้างหน้าเขา “เดิมทีเหลือเอาไว้ทำบะหมี่เซียงชุนให้จุนเกอและเจี้ยเกอพรุ่งนี้เช้า!”
คิดไม่ถึงว่าสวีลิ่งอี๋จะทานไปตั้งสามชาม
“เช่นนั้นก็ทำให้ข้าวันมะรืนก็ได้!” สวีลิ่งอี๋ยิ้มแล้วยืนขึ้น “ทานไปตั้งเยอะก็ต้องย่อยหน่อย” จากนั้นก็จับมือสืออีเหนียง “เราไปเดินเล่นในลานกันเถิด!”
*****
ป้าหยางย้ายตะเกียงมาไว้ที่ข้อเท้าของหยางอี๋เหนียง ข้อเท้าของนางบวมเป่ง
“ประเดี๋ยวบ่าวไปนำผ้าชุบน้ำเย็นมาประคบให้เจ้าค่ะ!” ป้าหยางรีบพูด “พรุ่งนี้เช้าค่อยไปรายงานฮูหยิน ให้ฮูหยินเชิญหมอมาดูท่าน”
“ไม่เป็นไร!” หยางอี๋เหนียงดึงแขนเสื้อป้าหยาง “เจ้าไปขอยานวดของเหวินอี๋เหนียงมาทาให้ข้าก็พอ!”
ภายใต้แสงไฟ สีหน้าของนางหม่นหมอง