ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 492 ไม่สบายใจ(กลาง)
นี่คือความต้องการที่แท้จริงของนาง
สืออีเหนียงรู้ถึงเจตนาที่คุณนายสามสกุลหวงมาหานางทันที ด้วยมิตรภาพของสกุลหวงและสกุลสวี ไม่ว่าคุณนายสามสกุลหวงจะขอร้องเรื่องอันใด เกรงว่าสวีลิ่งอี๋คงไม่ปฏิเสธที่จะเจอนาง
“พึ่งจะปีใหม่ ช่วงนี้ท่านโหวกำลังยุ่งเรื่องลานข้างนอกอยู่” นางยิ้มแล้วถาม “พี่หญิงถามหาท่านโหว มีเรื่องอันใดหรือ”
เรื่องนี้อาจจะต้องขอร้องให้สืออีเหนียงช่วยพูดต่อหน้าสวีลิ่งอี๋กระมัง…
ความคิดนี้ผุดขึ้นมา จากนั้นคุณนายสามสกุลหวงก็มองไปที่สาวใช้และบ่าวรับใช้ที่อยู่ในห้อง
สืออีเหนียงเข้าใจ นางไล่สาวใช้ที่อยู่ในห้องออกไปจนหมด
“ก็เพราะว่าซื่อจื่อของข้า!” คุณนายสามสกุลหวงเห็นว่าในห้องไม่มีใครแล้ว นางก็น้ำตาคลอเบ้าแล้วร้องไห้ออกมา “เห็นแก่ผลประโยชน์ที่อยู่ตรงหน้า แล้วยังไม่ปรึกษาใคร ตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่แล้ว…”
หย่งชังโหวไม่ค่อยเชี่ยวชาญการจัดการเรื่องทั่วไป เขามักจะรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความสามารถ แล้วมอบหมายให้ซื่อจื่อ ซื่อจื่อพึ่งจะรับตำแหน่ง อยากมีอำนาจ จึงตั้งพรรคลำน้ำเจียงหนานขึ้นมา เจี้ยนหนิงโหวอาจจะได้ยินมาจากขุนนางของกรมโยธาธิการ จึงส่งผู้ดูแลมาหาผู้ดูแลใหญ่สกุลหย่งชังโหว อยากจะนำเข้าหินจากเหมืองหินของสกุลหย่งชังโหว ซื่อจื่อเห็นเช่นนี้ก็ดีใจ สองสกุลจึงทำกิจการที่ไม่ชัดเจนด้วยกัน เมื่อเวลาผ่านไป ก็ต้องมีงานสังสรรค์ พวกเขาจึงสนิทสนมกันมากขึ้น เดือนสิบสองปีก่อน มีคนอ้างว่าเป็นสหายกับหย่งชังโหวมาหาซื่อจื่อ ใช้ทองสามร้อยตำลึงขอซื้อตำแหน่งซือหลังจงผู้ดูแลกระทรวงครัวเรือนมณฑลฝูเจี้ยน ซื่อจื่อจึงลองเขียนจดหมายให้เจี้ยนหนิงโหว คิดไม่ถึงว่า หลังปีใหม่เขาจะได้รับตำแหน่งซือหลังจงผู้ดูแลกระทรวงครัวเรือนมณฑลฝูเจี้ยนจริงๆ ท่านซื่อจื่อจึงส่งคนนำทองหนึ่งร้อยตำลึงไปให้สกุลหยาง…
“…ไท่ฮูหยินส่งฮูหยินสองไปรายงานตั้งแต่วันแรกของปีใหม่ หลังจากได้ยินคำพูดของฮูหยินสอง ท่านซื่อจื่อถึงได้รู้ว่าเรื่องราวมันรุนแรงแค่ไหน” คุณนายสามสกุลหวงเช็ดน้ำตา “จดหมายฉบับนั้นตอนนี้ยังอยู่ในมือของเจี้ยนหนิงโหว ไม่รู้ว่าเขาเก็บไว้หรือว่านำไปวางไว้ที่ไหน” นางพูดเสียงเบาลง “หากเป็นเหมือนที่ฮูหยินสองพูดจริงๆ สกุลหยางถูกกวาดล้าง…หากหาจดหมายฉบับนั้นของซื่อจื่อเจอ หรือมีบันทึกเอาไว้ในบัญชีส่วนตัวว่าซื่อจื่อเคยส่งทองไปให้เจี้ยนหนิงโหว…ถึงแม้ว่าฮ่องเต้จะเห็นแก่ความดีความชอบของบรรพบุรุษสกุลหวง อยากจะไว้ชีวิตหย่งชังโหว แต่เกรงว่าบรรดาขุนนางเหล่านั้นคงไม่มีทางปล่อยเขาไปแน่นอน ซื่อจื่อเป็นกังวลจนนอนไม่หลับทั้งวันทั้งคืน แต่ก็ไม่กล้าบอกหย่งชังโหว…หลังจากที่ซื่อจื่อไตร่ตรองดูแล้ว มีแค่วิธีเดียวคือมาขอร้องหย่งผิงโหว แต่เมื่อหนึ่งถึงเรื่องที่ตัวเองทำลงไป เขาก็ไม่รู้จะเอาหน้าที่ไหนมาเจอท่านโหว ข้าคิดว่าสกุลของเราก็สนิทสนมกัน ท่านโหวและซื่อจื่อเองก็เติบโตมาด้วยกันราวกับพี่น้องแท้ๆ ถึงแม้ว่าจะเป็นเรื่องที่น่าอับอายมากแค่ไหน แต่อยู่ต่อหน้าน้องชายตัวเอง จะอายอะไรอีก ซื่อจื่อได้ยินข้าพูดเช่นนี้ก็หน้าแดงแต่ไม่พูดอะไร ข้าคิดว่าเรื่องนี้ไม่ควรล่าช้า แล้วไท่ฮูหยินก็ส่งผู้ดูแลหญิงไปเชิญให้ข้ามาเป็นแม่สื่อให้คุณชายน้อยใหญ่พอดี นึกขึ้นได้ว่าไท่ฮูหยินไม่เคยเห็นข้าเป็นคนนอก ข้าจึงไม่สนใจอะไร บุกมาที่เรือนของน้องหญิงเช่นนี้” นางพูดพร้อมกับจับมือสืออีเหนียง “น้องหญิงของข้า เจ้าต้องช่วยท่านลุงของเจ้านะ หากเขาเป็นอะไรไป ข้าก็คงไม่อยากมีชีวิตต่อไปอีกแล้ว!” พูดจบ นางก็ปิดหน้าร้องไห้
เฉินเก๋อเหล่าเป็นคนดูแลกระทรวงขุนนาง เจี้ยนหนิงโหวทำอย่างไร ถึงทำให้แค่จดหมายของหย่งชังโหวซื่อจื่อ ก็สามารถทำให้คนได้รับตำแหน่งซือหลังจงของกระทรวงครัวเรือนมณฑลฝูเจี้ยน?
สืออีเหนียงเก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ แล้วปลอบใจคุณนายสามสกุลหวง “พี่หญิงอย่าร้องไห้ไปเลย ข้าจะส่งคนไปเชิญท่านโหวมาประเดี๋ยวนี้”
คุณนายสามสกุลหวงพยักหน้า
สืออีเหนียงบอกให้ชิวอวี่ตักน้ำเข้ามารับใช้คุณนายสามสกุลหวงล้างหน้าล้างตา แล้วก็บอกให้ซิ่วเหลียนไปเชิญสวีลิ่งอี๋ เมื่อสวีลิ่งอี๋เข้ามา นางก็หลบออกไปอยู่ที่ห้องโถง
พวกเขาสองคนพูดคุยที่ห้องปีกทางทิศตะวันออกประมาณหนึ่งก้านธูป จากนั้นคุณนายสามสกุลหวงก็เดินออกไปด้วยสีหน้าที่หม่นหมอง
สืออีเหนียงรีบเดินเข้าไปหานาง
“พี่หญิงพักผ่อนที่เรือนของข้าสักประเดี๋ยวเถิด!” นางพูดเป็นนัย “ในเมื่อมาแล้ว ก็ต้องไปหาพี่สะใภ้สาม จะได้ไม่มีใครสงสัย”
คุณนายสามสกุลหวงพยักหน้าให้สืออีเหนียงด้วยความซาบซึ้ง จากนั้นก็ไปที่ห้องปีกทางทิศตะวันตกกับสืออีเหนียง ดื่มชาร้อนที่สาวใช้ยกเข้ามา สีหน้าของนางดีขึ้นไม่น้อย
“ท่านโหวบอกว่า ต้องดูว่าฮ่องเต้ส่งใครไป” นางกระซิบกระซาบบอกสืออีเหนียง “หากเป็นคนของกองปัญจทิศรักษานครหรือว่าคนของค่ายใหญ่ซีซานยังพอพูดได้ แต่กลัวว่าจะเป็นคนของศาลต้าหลี่ ท่านโหวไม่มีคนที่สนิทสนมในศาลต้าหลี่”
“ในที่สุดก็มีความหวังเจ้าค่ะ” สืออีเหนียงปลอบใจนาง “พี่หญิงไม่ต้องเป็นห่วง บางทีสววรค์อาจจะปกป้องซื่อจื่อ ทำให้เขาโชคดีก็ได้!”
คุณนายสามสกุลหวงถอนหายใจเบาๆ “หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น!” พูดจบ นางก็ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ฝืนยิ้ม “แต่ไม่ว่าเช่นไร น้องหญิงช่วยข้าพูดกับท่านโหว ความเมตตาของเขา ซื่อจื่อไม่มีทางลืมแน่นอน”
สืออีเหนียงรีบพูด “เราสองสกุลสนิทสนมกันมาตั้งแต่สมัยไท่ฮูหยิน พี่หญิงพูดเช่นนี้ ฟังดูเป็นคนนอกเกินไปกระมัง”
คุณนายสามสกุลหวงไม่พูดอะไรต่อ นางลุกขึ้นแล้วขอตัวลา “เดิมทีวันนี้มาเพื่อเรื่องของคุณชายน้อยใหญ่ ข้าต้องไปที่เรือนของฮูหยินสาม ถึงตอนนั้นจะได้ไปพูดกับหลิวฮูหยิน”
สืออีเหนียงส่งคุณนายสามสกุลหวงไปที่เรือนของฮูหยินสาม “เรื่องของฉินเกอ คงต้องรบกวนพี่หญิงแล้ว!”
“ในเมื่อบอกว่าสองสกุลเราสนิทสนมกันมานาน เจ้าก็อย่าพูดอะไรเช่นนี้เลย!”
พวกนางสองคนเดินไปที่เรือนของฮูหยินสาม
ฮูหยินสามรู้ตั้งนานแล้วว่าคุณนายสามสกุลหวงมา ไปที่เรือนของไท่ฮูหยินก่อนแล้วก็ไปที่เรือนของสืออีเหนียง นางกำลังไม่พอใจ เห็นสืออีเหนียงมาส่งคุณนายสามสกุลหวงด้วยตัวเอง สีหน้าของนางก็เคร่งขรึมขึ้น แต่สืออีเหนียงกลับเป็นห่วงสวีลิ่งอี๋ที่อยู่ที่เรือน นางทักทายฮูหยินสามเพียงสองสามประโยค จากนั้นก็กลับไปที่เรือนของตัวเอง
*****
สีหน้าของสวีลิ่งอี๋มืดมน เขาเอามือไขว้หลังเดินวนไปมารอบห้อง
เห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา เขาก็หยุดเดิน
สีหน้าของตัวเองตอนนี้คงจะดูเคร่งเครียดมากใช่หรือไม่!
สวีลิ่งอี๋ครุ่นคิด เขาอยากทำให้บรรยากาศในห้องผ่อนคลาย จึงทักทายสืออีเหนียงก่อน “ส่งนางไปหาพี่สะใภ้สามแล้วหรือ” แต่ใครจะรู้ว่าน้ำเสียงที่พูดออกมานั้นกลับเย็นชากว่าปกติ
เขาขมวดคิ้วมุ่น
เรื่องนี้คงทำให้เขาลำบากใจมากกระมัง
สืออีเหนียงครุ่นคิดแล้วเดินเข้าไปอย่างแผ่วเบา “ท่านโหวเจ้าคะ การกระทำขึ้นอยู่กับมนุษย์ ความสำเร็จขึ้นอยู่กับฟ้าดินเจ้าค่ะ หากฮ่องเต้ส่งคนของศาลต้าหลี่ไปจัดการจวนเจี้ยนหนิงโหว เช่นนั้นก็หมายความว่าเป็นซื่อจื่อเองที่โชคร้าย!”
พูดเช่นนี้ แต่นางก็ยังกังวลในใจ กลัวว่าสวีลิ่งอี๋จะทำให้ตัวเองลำบากเพราะยื่นมือเข้าไปช่วยหย่งชังโหวซื่อจื่อ
เห็นสีหน้าที่เป็นกังวลของสืออีเหนียง สวีลิ่งอี๋ก็แอบถอนหายใจในใจ
บอกว่าจะไม่ให้นางเป็นห่วงอีกแล้ว แต่สุดท้ายเรื่องราวต่างๆ ก็มักจะมาตกอยู่ที่นางเสมอ
สวีลิ่งอี๋กอดสืออีเหนียง
“ไม่เป็นไร! ข้าก็แค่ขู่เขา” เขาขยับหน้าเข้าไปแนบกับใบหน้าของสืออีเหนียง “ถึงแม้ว่าคนของศาลต้าหลี่ไปจัดการ ขุนนางสองสามคนในศาลต้าหลี่คงจะทำไม่สำเร็จ พวกเขาอาจจะค้นจดหมายหรือสมุดบัญชีออกจากกองสิ่งของก็ได้ แต่ว่าจื่อฉีกล้าทำเช่นนี้ หากไม่ถือโอกาสนี้สั่งสอนเขา เกรงว่าต่อไปเขาคงจะกล้าบ้าบิ่นขึ้นเรื่อยๆ”
จื่อฉี น่าจะเป็นชื่อเล่นของหย่งชังโหวซื่อจื่อกระมัง
“ท่านโหวต้องระวังตัวด้วยนะเจ้าคะ” สืออีเหนียงเชื่อมั่นในความสามารถของเขา แต่นางอดไม่ได้ที่จะเตือนเขา “หากไม่ไหวจริงๆ ท่านก็อย่าฝืน ท่านบอกว่า ครั้งนี้ฮ่องเต้ลงโทษคนผิด ควรจะจัดการใคร ควรจะปล่อยใครไป ข้าคิดว่าฮ่องเต้น่าจะรู้อยู่แก่ใจ ไม่เช่นนั้น ฮ่องเต้คงจะไม่ถือโอกาสวันแรกของปีใหม่สั่งสอนเขา ข้าคิดว่าฮ่องเต้คงจะไม่อยากทำให้มันเป็นเรื่องใหญ่กระมัง”
“เฉินเก๋อเหล่าเป็นคนดูแลกระทรวงขุนนาง อยากรับใครเข้ามารับตำแหน่ง ใช่ว่าเขียนแค่จดหมายฉบับเดียวเหมือนที่คุณนายสามสกุลหวงบอก” สวีลิ่งอี๋จับไหล่สืออีเหนียงไปนั่งบนเตียงเตาข้างหน้าต่าง “เรื่องนี้ เกรงว่าจะมีลับลมคนใน” พูดถึงตรงนี้เขาก็พูดเสียงเบา “ข้ากลัวว่า เรื่องบางเรื่อง เฉินเก๋อเหล่าเองก็ไม่รู้…ครั้งนี้ฮ่องเต้ดึงหัวไชเท้าออกมาพร้อมโคลน ดึงเฉินเก๋อเหล่าเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย!”
“แต่หากเป็นเหมือนที่ท่านพูด เฉินเก๋อเหล่าเป็นคนดูแลกระทรวงขุนนาง หากขุนนางของกระทรวงขุนนางทำเรื่องเช่นนี้จริงๆ เฉินเก๋อเหล่าก็ไม่รอดอยู่ดีนี่เจ้าคะ!” สืออีเหนียงพูดเบาๆ “ถึงแม้ว่าฮ่องเต้อยากให้เขาช่วยดูแลประเทศชาติบ้านเมือง แต่ก็ไม่ควรไม่สนใจหรือว่าปล่อยเขาไป หากทำเช่นนั้น มันจะเป็นการทำร้ายเฉินเก๋อเหล่า แล้วยังจะทำให้ชื่อเสียงของฮ่องเต้เสียหาย ทำลายความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของฮ่องเต้อีกด้วยเจ้าค่ะ!”
“เรื่องบางเรื่อง เจ้าไม่รู้” สวีลิ่งอี๋พูดขัดเสียงเบา “มหาบัณฑิตเจ็ดคนในกระทรวงขุนนาง เฉินเก๋อเหล่าเป็นคนสนับสนุนฮ่องเต้ให้ยกเลิกคำสั่งปิดทะเล แต่เหลียงเก๋อเหล่ายังมีท่าทีคลุมเครือ อีกห้าคนที่เหลือล้วนแต่คัดค้านการยกเลิกคำสั่งปิดทะเล…”
พูดจบ เขาก็ลังเล
มนุษย์ล้วนแต่คิดว่าฮ่องเต้มีอำนาจสูงสุด แต่ในความเป็นจริง อำนาจของฮ่องเต้ใช่ว่าจะทำอะไรบรรลุเป้าหมายได้เสมอไป
เขาไม่รู้ว่าจะอธิบายสถานการณ์นี้ให้สืออีเหนียงฟังเช่นไร
สืออีเหนียงเข้าใจแล้วว่าทำไมขุนนางของกระทรวงขุนนางถึงกล้าขายตำแหน่ง มีคนอยากโค้นล้มเฉินเก๋อเหล่า หากกระทรวงขุนนางเกิดเรื่องขึ้น เฉินเก๋อเหล่าก็จะซวยไปด้วย จนต้องลาออกจากตำแหน่ง คนเดียวที่สนับสนุนฮ่องเต้ถูกโค่นล้มไปแล้ว แน่นอนว่าการยกเลิกคำสั่งปิดทะเลก็คงต้องจบลงแค่นี้ แล้วนางก็เข้าใจแล้วว่าทำไมฮ่องเต้ต้องเตือนสวีลิ่งอี๋ เป้าหมายของเขาคือนักปราชญ์สองสามคนในกระทรวงขุนนางภายใน ตราบใดที่เก๋อเหล่าสองสามคนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ก็จะสามารถไล่ออกแล้วเปลี่ยนเป็นคนที่สนับสนุนตัวเองมาแทนที่ และทำลายสถานการณ์ตอนนี้ได้
ไม่ว่าเฉินเก๋อเหล่าจะถูกโค่นล้มหรือว่าเป้าหมายของฮ่องเต้ประสบความสำเร็จ ถึงอย่างไรต้าโจวก็จะวุ่นวาย เฉินเก๋อเหล่าถูกโค่นล้ม นโยบายใหม่ของฮ่องเต้ถูกยกเลิก ฮ่องเต้จะยินยอมเช่นนั้นหรือ และหากเป้าหมายของฮ่องเต้ประสบความสำเร็จ ตำแหน่งเก๋อเหล่าที่เว้นว่างอยู่ ไม่รู้ว่ามีคนจ้องอยู่ตั้งกี่คน!
“ท่านโหว เช่นนั้นเราควรทำเช่นไรเจ้าคะ” นางถามด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น
ภายใต้สถานการณ์ที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครคิดถึงแต่ตัวเอง รวมไปถึงสกุลสวีของหย่งผิงโหวที่เป็นสกุลญาติเช่นกัน
สวีลิ่งอี๋ตกใจกับปฏิกิริยาของสืออีเหนียง แต่ตอนนี้เขาสับสนไปหมด แล้วยังมีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องทำ เขาจึงเก็บความสับสนเอาไว้ในใจแล้วพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม “ข้ากำลังคิดว่า จะเล่าเรื่องนี้ให้ฮ่องเต้ฟังเช่นไร ถึงจะไม่ดึงสกุลหวงเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย!”
สำหรับเรื่องเช่นนี้ สืออีเหนียงทำอะไรไม่ได้
นางลุกขึ้นชงชาร้อนให้สวีลิ่งอี๋ แล้วนั่งเป็นเพื่อนเขาเงียบๆ
สวีลิ่งอี๋จิบชาช้าๆ จากนั้นก็ลุกขึ้นด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย “เจ้าไม่ต้องรอข้ากลับมาทานข้าว ข้าเข้าไปในพระราชวังก่อน”
คำพูดฟังดูธรรมดา แต่กลับมีความอันตรายแฝงอยู่
“ท่านโหว!” สืออีเหนียงตกใจ “หรือว่าท่านจะไปยื่นฏีกาเจ้าคะ”
บรรยากาศที่ตึงเครียดถูกประโยคนั้นของนางทำลายไปโดยสิ้นเชิง สวีลิ่งอี๋หัวเราะขึ้นมา “ข้าไม่ใช่ตุลาการเสียหน่อย!”
สืออีเหนียงยิ้ม “ท่านโหวรู้ก็ดีเจ้าค่ะ!”
สวีลิ่งอี๋ตกใจ
สืออีเหนียงคงอยากทำให้บรรยากาศผ่อนคลายลงกระมัง!
คนที่เฉลียวฉลาดเช่นนี้ แต่พอดื้อดึงกลับทำตัวราวกับเด็กน้อยก็ไม่ปาน
เขายิ้มแล้วลูบหัวนางอย่างแผ่วเบา “รีบไปเรียกสาวใช้เข้ามาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้าเร็ว!”