ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 49 ติดหู (ปลาย)
ตอนจบของงิ้ว ตามกฎแล้วหัวหน้าคณะจะต้องพานักแสดงมาก้มหัวขอบคุณผู้ชมบนเวที ผู้ชมต้องให้เงินรางวัลกับพวกเขา โดยปกติเจ้าภาพจะให้เงินเยอะที่สุด คนอื่นๆ ให้ตามอำเภอใจก็พอ
ฮูหยินห้าเห็นว่าไช่ปั๋วเจียกำลังจะพาฮูหยินสองคนกลับบ้าน นางก็กระวนกระวายขึ้นมา
จนถึงตอนนี้ไท่ฮูหยินก็ยังไม่กลับมา แล้วยังพาสาวใช้และเหล่าป้าๆ ที่สามารถสั่งงานได้ไปด้วย นางไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนให้เงินพวกเขา
แล้วยังมีสะใภ้กาน สะใภ้สาม
เมื่อก่อนสะใภ้สี่เป็นคนดูแล แต่หลังปีใหม่มานี้ ร่างกายของสะใภ้สี่เริ่มแย่ลงเรื่อยๆ นางจึงมอบเรื่องในจวนให้สะใภ้สามเป็นคนจัดการ ตอนนั้นสะใภ้สามดีใจจนเก็บรอยยิ้มไม่อยู่ นี่คือครั้งแรกที่นางเป็นคนจัดการงานเลี้ยงของสกุล ตามหลักแล้ว นางควรจะพยายามจัดการให้ดีที่สุดสิ ทำไมถึงได้ออกไปส่งคุณหนูสกุลกานและคุณหนูสกุลหลัวออกไปเล่นว่าว คุณหนูสกุลกานและคุณหนูสกุลหลัวก็กลับมาแล้ว แต่นางเองกลับไม่เห็นร่องรอย…
แต่ไม่ว่าเช่นไร นางเองก็เป็นนายหญิงคนหนึ่งของสกุลหลัว จะทำให้เสียบรรยากาศเพียงเพราะนายหญิงสองคนไม่อยู่ไม่ได้
นางรีบพูดกับเหอเยี่ยสาวใช้คนสนิทของตัวเองเบาๆ บอกให้นางรีบกลับที่เรือนของตัวเอง ไปเอาเงินในกล่องออกมาสามร้อยตำลึง จากนั้นก็บอกเหอเซียงสาวใช้คนสนิทอีกคนหนึ่ง บอกให้นางรีบไปรายงานให้กับคนที่อยู่ที่ลานเล็ก บอกว่างิ้วที่โถงเตี่ยนชวนเล่นจบแล้ว
สาวใช้ทั้งสองตอบรับและเดินออกไป หายตัวไปอย่างรวดเร็ว ใจนางถึงได้งสงบลง
เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับสะใภ้สี่กันแน่
หากบอกว่านางป่วย นางก็ป่วยมาตั้งนานแล้ว ไม่จำเป็นต้องหลบหนีตัวเอง
หรือว่า ทะเลาะกับท่านโหว?
ความคิดนี้วาบขึ้นมา นางรู้สึกว่าตัวเองคิดได้สมเหตุสมผล
ทุกคนล้วนแต่เคารพสามีของตัวเอง มีเพียงสะใภ้สี่ ดูเหมือนว่านางจะอ่อนน้อมถ่อมตนกับท่านโหว ปัจจัยทั้งสี่ก็จัดการได้เป็นอย่างดี แต่ไม่รู้ว่าทำไม นางมักจะรู้สึกว่าระหว่างพวกเขามันขาดอะไรบางอย่างไป อย่างน้อยก็ไม่เหมือนนางกับคุณชายห้า หากทะเลาะกัน ถึงแม้ว่าเจ้าจะไม่สนใจข้า ข้าไม่สนใจเจ้า แต่หากดีกันแล้ว ห่างกันแค่วินาทีเดียวก็ไม่ไหว…
คิดเช่นนี้ นางก็หน้าแดงขึ้นมา จากนั้นก็ได้ยินเสียงดังออกมาจากบนเวที “คณะเต๋ออินปานขอขอบพระคุณไท่ฮูหยิน คุณนายและคุณหนูๆ”
ฮูหยินห้าได้ยินเช่นนี้ก็กระวนกระวาย จากนั้นก็เห็นเจิ้งไท่จวินที่นั่งอยู่บนเก้าอี้หันมายิ้มให้นางอย่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก
แต่ว่าเหอเยี่ยยังไม่กลับมาเลย!
นางเดินเข้าไปทักทายพูดคุยกับคณะเต๋ออินปานด้วยความปวดหัว
“…หัวหน้าโจวลำบากแล้ว ข้าได้ยินตอนที่จ้าวอู่เหนียงอยู่ที่วัดที่ทรุดโทรมนั้น นางร้องได้ไพเราะและชัดเจนมาก ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน ไม่รู้ว่าเพราะอะไรหรือ”
โจวฮุ่ยเต๋อคนที่แสดงเป็นจ้าวอู่เหนียงคุกเข่าอยู่กลางเวทีและพูดด้วยความเคารพว่า “นั่นคือความสามารถเล็กๆ น้อยๆ ของข้า ข้าคิดว่าจ้าวอู่เหนียงเป็นคนอ่อนโยนและแข็งแกร่ง นางฝังสามีด้วยผ้ากระสอบ นางเป็นคนที่แข็งแกร่ง ดังนั้นตอนที่อยู่ที่วัดทรุดโทรมนั้น ข้าจึงเปลี่ยนการร้อง ทำให้ทุกคนรู้ว่าจ้าวอู่เหนียงนอกจากอ่อนโยนแล้วก็ยังมีความแข็งแกร่งอีกด้วยขอรับ…”
ผู้คนในห้องก็พากันพยักหน้า
หลินฮูหยินถึงกับถามเขาว่า “เสียงของเจ้าช่างใสและไพเราะ ไม่รู้ว่าเจ้าไปเรียนมาจากท่านอาจารย์คนใด” ดูเหมือนนางจะคุ้นเคยกับคณะงิ้ว
โจวฮุ่ยเต๋อตอบ “ท่านอาจารย์เสี่ยวฮุ่ยหลานขอรับ”
“เสี่ยวฮุ่ยหลานของคณะซานซิ่งปานเมื่อก่อน?” หลินฮูหยินถามด้วยความสงสัย “ตอนข้ายังเด็กข้าก็เคยดูเขาเล่นงิ้ว แต่เจ้าร้องไม่เหมือนเขาสักเท่าไร”
โจวฮุ่ยเต๋อรีบพูด “เมื่อก่อนข้าเคยล่องเหนือลงใต้กับท่านอาจารย์ ครั้งหนึ่งเคยผ่านแผ่นศิลาจารึกหินปูน ได้ยินคนอื่นร้อง…”
ทุกคนต่างกำลังฟังเขาพูดจาฉะฉาน แต่สืออีเหนียงกลับใจลอย
ไท่ฮูหยินยังไม่กลับมา ไม่รู้ว่าที่ลานเล็กเป็นเช่นไรแล้ว
อย่าได้เกินเรื่องอันใดขึ้นอีกเลย
นางยังอยากจะเดินออกไปจากจวนสกุลสวีอย่างสงบ!
นางครุ่นคิด จากนั้นก็เห็นสาวใช้หน้าตาสวยงามคนสนิทของฮูหยินห้ายืนถือถาดสีแดงลายดอกไห่ถังสีทองอยู่ที่ประตู บนถาดนั้นมีเงินแท่งสามสิบแท่งวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ
เมื่อฮูหยินห้ามองเห็นเหอเยี่ย นางก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกทันที ขัดจังหวะโจวฮุ่ยเต๋อในเวลาที่เหมาะสมและพูดดังขึ้น “ให้รางวัล”
โจวฮุ่ยเต๋อรีบพาคนในคณะกล่าวขอบคุณและก้มหัวลง
เหอเยี่ยจึงเดินเข้าไปยื่นถาดให้สาวใช้ตัวน้อยที่อยู่ข้างๆ สาวใช้ตัวน้อยก็รับมาแล้วนำไปยื่นให้เด็กรับใช้ชายที่คอยดูแลอยู่ข้างเวทีที่พึ่งจะอายุแค่สิบกว่าขวบ ทั้งสองคนถือถาดขึ้นบนเวทีพร้อมกัน
โจวฮุ่ยเต๋อเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง จากนั้นก็ลุกขึ้นรับถาดเงินมาด้วยความเคารพ
เจิ้งไท่จวิน หวงฮูหยินและคนอื่นๆ ที่อยู่ในห้องก็พากันตบรางวัลให้พวกเขา โจวฮุ่ยเต๋อเอ่ยขอบคุณอีกครั้ง
กำลังคึกคักกันอยู่ เสียงหัวเราะที่สดใสของฮูหยินสามก็ดังขึ้นมา “ไอ๊หยา ท่านแม่เก่งจังเลย เชิญคณะเต๋ออินปานมาเล่นงิ้ว สุดท้ายเล่นจบแล้วทุกคนยังไม่อยากกลับ ข้าให้คนไปนึ่งปลาฟู่มา เกรงว่าตอนนี้คงจะนึ่งนานเกินไปแล้ว…” ฮูหยินห้าที่ยืนมองอยู่ถึงกับกระอึกกระอัก
“ท่านแม่เล่า” นางยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ
ทำไมถึงเป็นตานหยางที่อยู่ต้อนรับสหายเก่าเหล่านี้ที่นี่ในฐานะนายหญิง…นึกถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในโรงครัว นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มแห้งในใจ
ทุกคนเห็นแค่ท่านป้าคนสนิทของฮูหยินสี่ที่ได้รับคำสั่งจากฮูหยินสี่ให้ยกลูกท้อสองถาดมาให้ทุกคนชิม ไท่ฮูหยินกินไปสองคำก็รู้สึกไม่ค่อยสบาย จึงให้ฮูหยินห้าออกไปข้างนอกเป็นเพื่อน ทุกคนเดาว่านางไปเข้าห้องน้ำ…ต่อมาฮูหยินห้ากลับมา ทุกคนก็ไม่ได้สนใจอะไร คนเฒ่ามักจะรักในศักดิ์ศรี ถึงแม้ว่าฮูหยินห้าจะเป็นลูกสะใภ้ แล้วยังเป็นเสี่ยนจู่…เห็นสืออีเหนียงเดินเข้ามา พวกเขาก็ไม่ได้สนใจอะไร ฮูหยินสี่ร่างกายอ่อนแอ พูดคุยสองสามประโยคก็เกรงว่าจะทำให้นางสูญเสียพลังงาน ตัวเองพักผ่อนก็คงไม่จำเป็นต้องให้น้องสาวคอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ที่นั่นราวกับสาวใช้!
ทั้งสองคนมาจากที่เดียวกัน เดินกลับมาพร้อมกันก็ไม่แปลกอะไร
ตอนนี้เมื่อฮูหยินสามถาม ทุกคนถึงได้นึกขึ้นมาได้ ไท่ฮูหยินออกไปนานเกินไปแล้ว
“ตานหยาง” เจิ้งไท่จวินพูดด้วยความเป็นห่วง “เมื่อครู่เจ้าออกไปกับไท่ฮูหยิน…ท่านยังสบายดีอยู่หรือไม่”
“ไท่ฮูหยินบอกให้ข้ากลับมาก่อนเจ้าค่ะ!” ฮูหยินห้าพูดอย่างคลุมเครือ “เช่นนั้น ข้าออกไปดู สะใภ้สามก็อยู่ที่นี่พอดี”
นางก็เป็นห่วงเหมือนกัน ทำไมเหอเซียงออกไปนานขนาดนี้แล้วยังไม่กลับมา และตอนนี้สะใถ้สามก็กลับมาแล้ว มีคนคอยดูแลสถานการณ์แล้ว ตัวเองไม่อยู่ก็ไม่เป็นอะไร
แต่สะใภ้สามกลับสับสน นางมองไปที่เจิ้งไท่จวินด้วยสีหน้าที่งงงวย จากนั้นก็มองไปที่ฮูหยินห้า
หวงฮูหยินจึงอธิบายว่า “เมื่อครู่ฮูหยินสี่นำลูกท้อมาให้พวกเราชิม…”
ฮูหยินสามอดไม่ได้ที่จะบ่น “ไท่ฮูหยินอายุมากแล้ว กินของพวกนั้นได้เช่นไรกัน” นางมองไปที่ฮูหยินห้าด้วยสายตาที่ตำหนิติเตือน
ใครจะรู้ว่าฮูหยินห้าได้ยินเช่นนี้ก็ไม่สะทกสะท้านอะไร มันทำให้นายหญิงใหญ่ยิ่งไม่สบายใจ นางขมวดคิ้ว อยากจะแก้ตัวแทนลูกสาว แต่เมื่อเงยหน้าขึ้นก็เห็นไท่ฮูหยินจับไหล่ของสาวใช้เดินเข้ามา “แก่แล้ว แก่แล้ว กินลูกท้อไปแค่ลูกเดียว ท้องใส้ก็ปั่นป่วน” แต่กลับไม่เห็นเหอเซียงที่ฮูหยินห้าบอกให้ไปตามหาไท่ฮูหยิน
“ท่านแม่!” ฮูหยินสามและฮูหยินห้าวิ่งเข้าหาไท่ฮูหยินพร้อมกัน
ฮูหยินสามอยู่ใกล้ นางเดินเข้าไปพยุงแขนข้างซ้ายของไท่ฮูหยิน ฮูหยินห้าอยู่ไกลหน่อย เดินเข้าไปพยุงแขนข้างขวาของไท่ฮูหยิน พวกนางพยุงไท่ฮูหยินเดินเข้ามาข้างใน
ทุกคนต่างพากันเดินเข้ามาทักทายไท่ฮูหยิน ไท่ฮูหยินยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร” จากนั้นก็ร้อง “หา!” แล้วพูดว่า “งิ้วเล่นจบแล้วหรือ ยังไม่ได้ให้รางวัลใช่หรือไม่”
ฮูหยินห้ารีบพูดว่า “ให้แล้ว ให้แล้วเจ้าค่ะ”
ไท่ฮูหยินตบหลังมือฮูหยินห้าเบาๆ ยิ้มแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ เราไปที่โถงบุปผากันเถิด ข้าบอกให้คนจุดพลุที่นั่น”
จากนั้นคนในห้องก็ยิ้มและตอบรับ “เจ้าค่ะ” พากันล้อมรอบไท่ฮูหยินเดินไปที่โถงบุปผา
จู่ๆ เฉียวฮูหยินก็พูดขึ้นมาว่า “ต้องส่งคนไปบอกฮูหยินสี่หรือไม่เจ้าคะ นางไม่ได้ออกมาง่ายๆ”
“ไม่ต้อง ไม่ต้อง” ไท่ฮูหยินยิ้ม “เมื่อครู่ข้าไปหานางมา นางไม่ค่อยสบาย กินยาแล้วก็พักผ่อนไปแล้ว”
นายหญิงใหญ่ได้ยินเช่นนี้ก็ตกใจแล้วพูดว่า “นางเป็นอะไรเจ้าคะ”
ไท่ฮูหยินยิ้ม “นางไม่ค่อยสบาย ที่นี่ก็เสียงดังเอะอะ แน่นอนว่านางคงจะรู้สึกไม่สบาย กินยาเข้าไปก็ไม่เป็นอะไรแล้ว ข้าก็กลัวว่านางจะทนไม่ไหว จึงให้คนพาจุนเกอไปเล่นเป็นเพื่อนเจินเจี่ยเอ๋อร์ที่เรือนข้า คืนนี้ให้นางพักผ่อนอยู่ที่เรือนเล็กไปก่อน”
หัวใจของคนเป็นแม่ ไม่ว่าไท่ฮูหยินจะพูดดีแค่ไหน แต่นายหญิงใหญ่ก็ยังคงเป็นห่วง
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดว่า “ข้าไปหานางดีกว่าเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงสังเกตเห็นไท่ฮูหยินกวาดสายตามองดูทุกคนอย่างรวดเร็ว นางยิ้มและพูดว่า “เจ้ายกบุตรสาวให้ข้า ข้ารักและเอ็นดูนางราวกับลูกแท้ๆ หรือว่ายังมีอะไรที่เจ้าต้องเป็นห่วงอีกเช่นนั้นหรือ แล้วอีกอย่างคุณชายสี่ก็คอยดูแลอยู่ เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงแล้วไปกินข้าวกับข้าดีกว่า รินชารินน้ำก็ให้สามีภรรยาจัดการกันเอง” นางพูดแล้วยิ้มอย่างเป็นมิตร
“ท่านโหวก็อยู่ที่นั่นหรือเจ้าคะ!” นายหญิงตกใจ
“ใช่แล้ว!” ไท่ฮูหยินยิ้มอย่างสดใส “ไม่เช่นนั้น แม่สามีอย่างข้าจะเดินออกมาราวกับไม่เป็นอะไรได้เช่นไรกัน”
สืออีเหนียงอดไม่ได้ที่จะตกใจ
ไท่ฮูหยิน…เก่งจริงๆ เลย!
และนางก็อดไม่ได้ที่จะมองหาเฉียวเหลียนฝังท่ามกลางฝูงชน
แสงไฟสว่างไสว คุณหนูหลินสวมชุดสีขาวราวกับหิมะ อู่เหนียงสงบเสงี่ยมเคร่งขรึม สือเหนียงเย่อหยิ่งสง่างาม คุณหนูถังอ่อนโยนนุ่มนวล คุณหนูสามสกุลกานซื่อสัตย์มีเกียรติ คุณหนูเจ็ดสกุลกานร่าเริงแจ่มใส มีเพียงเฉียวเหลียนฝังที่มองไม่เห็นความอ่อนโยนและงดงาม
ไท่ฮูหยินจับมือนายหญิงใหญ่เดินออกไปข้างนอก “ไปเถิด ไปกินข้าวกัน เรื่องของลูกๆ ก็ปล่อยให้ลูกๆ จัดการกันเอง ยุ่งนั่นยุ่งนี่ก็ไม่จบไม่สิ้นสักที…” น้ำเสียงของนางดูมีความสุข ราวกับไม่มีความกังวลอะไรเลยแม้แต่น้อย
นายหญิงใหญ่พยักหน้า พวกนางพากันเดินพูดคุยหัวเราะไปที่โถงบุปผา
สืออีเหนียงเงียบ
ต้องผ่านเรื่องราวมามากมายแค่ไหน ถึงจะสามารถเก็บสีหน้าเก่งเหมือนไท่ฮูหยินเช่นนี้!
ไฟในโถงบุปผาสว่างไสว มีโต๊ะสี่เหลี่ยมที่เงาวับจนสามารถส่องเห็นเงาของตัวเอง
นางเข้าไปนั่งโต๊ะเดียวกันกับสือเหนียงและคุณหนูทั้งสองคนของสกุลกาน อู่เหนียง คุณหนูหลินและคุณหนูทั้งสองคนสกุลถังนั่งอีกโต๊ะหนึ่ง ชาเอย อาหารเอย ยกขึ้นมาราวกับสายน้ำ
คุณหนูหลินถามด้วยความสงสัย “แล้วเหลียนฝังเล่า”
คุณหนูถังก็พูดว่า “เมื่อครู่ยังเดินตามข้ามาอยู่เลย”
ไท่ฮูหยินได้ยินเช่นนี้ก็หรี่ตาลง ยิ้มแล้วพูดว่า “รีบไปตามหานางเร็วเข้า มืดๆ เช่นนี้ ระวังจะไปล้มอยู่ที่ไหน!”
ฮูหยินสามลุกขึ้นทันที “ข้าไปตามหาเองเจ้าค่ะ!”