ร้อยรักปักดวงใจ - ตอนที่ 486 รวมตัวกัน(กลาง)
เมื่อกลับมาจากตรอกกงเสียน สืออีเหนียงก็พักผ่อนอยู่ที่เรือนเป็นเวลาหนึ่งวัน ตั้งแต่วันที่สี่จะต้องเริ่มไปอวยพรปีใหม่กับสวีลิ่งอี๋ อันดับแรกคือไปที่จวนซุนโหวผู้เฒ่าที่ตรอกหงเติง จากนั้นก็ไปจวนซุ่นอ๋อง แล้วก็ไปจวนองค์หญิงฝูเฉิง จวนหย่งชังโหว จวนเวยเป่ยโหว จวนติ้งกั๋วกง จวนหวังลี่…นอกจากจวนหย่งชังโหวที่ให้สวีลิ่งอี๋อยู่พูดคุยต่อที่ห้องหนังสือทั้งช่วงเช้าแล้ว จวนอื่นก็เพียงแค่ไปทักทายและทานอาหารด้วยกันสักมื้อแล้วก็กลับจวน
ต่อมาก็เป็นพิธีครบรอบหนึ่งร้อยวันของจิ่นเกอ หลังจากนั้นโจวฮูหยิน คุณนายสามสกุลหวง คุณนายใหญ่สกุลหลินและคนอื่นๆ ก็มาอวยพรปีใหม่ สืออีเหนียงจัดงานเลี้ยงต้อนรับที่เรือนใน ส่วนสวีลิ่งอี๋ต้อนรับสหายร่วมงานและสหายเก่าที่มาอวยพรปีใหม่อยู่ที่เรือนนอก บางคนก็พาสตรีมาด้วยจึงต้อนรับเข้าไปรอที่เรือนใน ยุ่งอยู่เช่นนี้จนผ่านเทศกาลโคมไฟจึงได้หยุดพัก ในจวนก็เริ่มทำเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง
สืออีเหนียงกับเจินเจี่ยเอ๋อร์กำลังปรึกษากันเรื่องแบบเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิ บางครั้งก็เชิญอาจารย์เจี่ยนเข้าจวนมาร่วมหารือด้วย บางครั้งซิ่วเหลียนกับอวี้เหมยก็วิ่งไปส่งข่าวที่ห้องเย็บปักวันละสี่ห้ารอบ เพราะสองคนนี้ทำให้เรือนหลักมีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที บรรดาสาวใช้และป้ารับใช้ที่มีฝีมือก็เริ่มลงมือทำเสื้อผ้า ปักลวดลายบนเสื้อผ้าหรือร้อยเชือกสีแดง…เมื่อลมที่พัดมาโดนร่างกายไม่ได้มีความหนาวเหน็บแล้ว เสื้อผ้าของทุกคนก็เริ่มบางลงเรื่อยๆ เรือนหลักเริ่มเต็มไปด้วยบรรยากาศการพักผ่อนและความสงบสุข และในเวลานี้หู่พั่วก็ตั้งครรภ์แล้ว
“ข้าก็กำลังกังวลอยู่เลย” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “ถ้าหากยังไม่มีการเคลื่อนไหวอีกข้าก็อดที่จะถามไม่ได้แล้ว!”
ปินจวี๋ที่พาบุตรชายฉังอานมาคำนับสืออีเหนียงได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะ “คิดว่าท่านคงยุ่งในช่วงตรุษจีน บ่าวจึงไม่ได้มา คิดไม่ถึงว่าพอเข้าจวนมาก็ได้ยินข่าวดีเช่นนี้เจ้าค่ะ”
สืออีเหนียงยิ้มพลางลูบศีรษะฉังอานที่นั่งทานขนมเปี๊ยะอยู่บนตักมารดาอย่างเชื่อฟัง กำชับชิวอวี่ว่า “ให้แม่นมกู้อุ้มคุณชายน้อยหกมาให้ปินจวี๋ดู”
ปินจวี๋รีบพูดขึ้นมาว่า “อย่าเลยเจ้าค่ะ” ชิวอวี่รู้ว่าปินจวี๋สำคัญต่อสืออีเหนียง จึงยิ้มแล้วนำความไปบอกแม่นมกู้
“คุณชายน้อยหกหน้าตางดงามยิ่งนัก” ปินจวี๋อุ้มจิ่นเกอไว้ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง เอ่ยปากชมอย่างไม่หยุด
“ตอนพึ่งเกิดใหม่ๆ ตัวแดงทั้งตัว ทุกคนต่างก็บอกว่าเหมือนท่านโหว แต่ข้าดูไม่ออกเลย” สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “ช่วงนี้ค่อยๆ โตขึ้นเรื่อยๆ รูปร่างหน้าตาสะอาดสะอ้าน ข้าว่าก็นับว่าดูดีเลยทีเดียว”
ปินจวี๋อดหัวเราะไม่ได้
ทำเอาจิ่นเกอตกใจตื่น
จ้องมองด้วยดวงตากลมโต
ปินจวี๋รีบถอดผ้าอ้อมให้จิ่นเกอปัสสาวะอย่างคล่องแคล่ว
“เมื่อก่อนกินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน ข้ายังกังวลว่าเขาจะมองเห็นหรือไม่ จะได้ยินหรือไม่” แม่นมกู้อุ้มจิ่นเกอไปป้อนนม สืออีเหนียงพูดขึ้นมาว่า “แต่ตอนนี้พอตื่นแล้วก็ไม่อยากนอน พอนอนไปสักพักก็ตื่น ข้าได้ยินป้าเถียนบอกว่าเด็กที่โตพอๆ กับเขาหนึ่งวันอย่างน้อยก็หลับไปแล้วหกชั่วยาม ก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงได้มีชีวิตชีวาเช่นนี้”
“เด็กน้อยไม่ว่าจะอ้วนหรือผอม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องมีชีวิตชีวา” พูดถึงเรื่องเด็กปินจวี๋มีประสบการณ์มากกว่านาง “เมื่อมีชีวิตชีวา ทำอะไรก็มีไหวพริบ เป็นคนฉลาด…ต่อไปคุณชายน้อยหกจะต้องฉลาดมากอย่างแน่นอนเจ้าค่ะ”
ขณะที่ทั้งสองกำลังพูดคุยกัน ก็มีสาวใช้น้อยวิ่งไปที่เรือนเหวินอี๋เหนียง
“อี๋เหนียง อี๋เหนียง ปินจวี๋มาแล้วเจ้าค่ะ!”
เหวินอี๋เหนียงได้ฟังดังนั้นก็รู้สึกกระตือรือร้นขึ้นมา ให้ตงหงนำทองแดงมามอบให้สาวใช้น้อย จากนั้นก็พูดพึมพำว่า “อย่างแรกเลยคือหู่พั่วตั้งครรภ์แล้ว ตอนนี้ปินจวี๋ก็มาคารวะฮูหยิน…คาดว่าฮูหยินจะต้องอารมณ์ดีไม่น้อย!” ขณะที่พูดสีหน้าก็เผยให้เห็นถึงความมุ่งมั่น “ไม่มีโอกาสใดจะดีไปกว่านี้แล้ว! วันนี้แหละ!” จากนั้นก็ลุกขึ้น “ตงหงเจ้าไปหาปิ่นปักผมสีทองในลิ้นชักหน้ากระจกข้า พวกเราจะไปเรือนฮูหยินกัน” ตงหงรับคำแล้วเดินไปหยิบปิ่นปักผมทันที
ตอนที่เหวินอี๋เหนียงมาถึงเรือนหลัก สืออีเหนียงกับปินจวี๋ คนหนึ่งนั่งอยู่บนเตียงเตา อีกคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างเตียงเตากำลังหยอกล้อกับจิ่นเกอ
“ไอ๊หยา!” เหวินอี๋เหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “วันนี้ช่างบังเอิญเสียจริง! คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกับสะใภ้ว่านต้าเสี่ยน พวกเราไม่ได้เจอกันมานานแล้ว เจ้าสบายดีหรือไม่” แล้วมองฉังอานที่นั่งถัดจากสืออีเหนียง “นี่คือฉังอานกระมัง คิดไม่ถึงว่าจะโตขนาดนี้แล้ว!” พูดพลางเดินเข้าไปจับมือเด็กน้อย “ไหนข้าดูหน่อยสิว่าหน้าตาเหมือนใคร” มองสำรวจอย่างจริงจังก่อนจะยิ้มแล้วพูดกับปินจวี๋ว่า “ทำไมเหมือนเจ้าได้ขนาดนี้!”
“เหวินอี๋เหนียง!” ปินจวี๋รีบเข้าไปคำนับ ยิ้มแล้วพูดว่า “ใครๆ ก็บอกว่าเหมือนบ่าวเจ้าค่ะ!”
“บุตรชายเหมือนแม่ถึงจะไม่อาภัพ” ทันทีที่เหวินอี๋เหนียงพูดออกไปนางก็รู้ว่าตัวเองพูดผิดแล้ว เพราะจิ่นเกอหน้าตาเหมือนกับสวีลิ่งอี๋
นางรีบเปลี่ยนเรื่อง “วันนี้รีบมา คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะอยู่ด้วย” พูดพลางดึงปิ่นปักผมที่อยู่บนหัวออกมา “ตอนนี้ยังเป็นเดือนหนึ่งอยู่ สิ่งนี้ข้ามอบให้เจ้าเป็นของขวัญ”
ปินจวี๋ประหลาดใจอย่างมาก มองไปที่สืออีเหนียง
ตั้งแต่สวีลิ่งอี๋คุยกับเหวินอี๋เหนียงเป็นการส่วนตัวในวันแรกของปี แม้ว่าสวีลิ่งอี๋จะไม่ได้ไปพบเหวินอี๋เหนียงตามลำพังอีก แต่ความไม่สบายใจของเหวินอี๋เหนียงกลับเพิ่มมากขึ้นทุกวัน สืออีเหนียงสังเกตความเป็นไปของเรื่องราวมาตลอด ทั้งยังให้คนไปสืบเรื่องวันนั้นโดยเฉพาะ ฮูหยินสองไปทำอะไรที่สกุลหวง คนที่กลับมารายงานบอกว่าฮูหยินสองได้รับคำสั่งจากไท่ฮูหยินให้นำของกินไปส่งให้หวงไท่ฮูหยิน
ตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลามาคารวะ แต่เหวินอี๋เหนียงกลับมาเยี่ยมอย่างกะทันหัน ในใจของนางแอบรู้สึกว่าการมาของเหวินอี๋เหนียงมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องในวันแรกของปี
สืออีเหนียงพยักหน้าเล็กน้อย
ปินจวี๋ยิ้มพลางรับมา ย่อเข่าพลางเอ่ยขอบคุณเหวินอี๋เหนียง
สืออีเหนียงกำชับสาวใช้น้อยให้ไปยกเก้าอี้จิ่นอู้เข้ามา “นั่งลงคุยกันเถิด!”
เหวินอี๋เหนียงยิ้มพลางนั่งลง ยกถ้วยชาที่สาวใช้น้อยนำมาให้ ยิ้มแล้วพูดว่า “จิ่นเกอของพวกเรายิ่งโตก็ยิ่งมีชีวิตชีวา!”
ตอนที่นางพูด จิ่นเกอก็เอาแต่จ้องมองนาง
สืออีเหนียงยิ้มพลางหอมแก้มจิ่นเกอ จากนั้นก็ส่งจิ่นเกอให้แม่นมกู้ “วันนี้ไม่มีลม เจ้าพาจิ่นเกอไปเดินเล่นที่ลานเถิด นอนนานเกินไปประเดี๋ยวเขาจะงอแงอีก”
แม่นมกู้ยิ้มตอบ อุ้มจิ่นเกอแล้วถอยออกไป ชิวอวี่ก็เข้ามาพาฉังอานออกไป ในห้องจึงมีเพียงสืออีเหนียง เหวินอี๋เหนียงและปินจวี๋ ทันใดนั้นบรรยากาศพลันเย็นยะเยือกขึ้นมา
สืออีเหนียงพูดขึ้นมาว่า “เหวินอี๋เหนียงมีเรื่องอันใดหรือ”
เหวินอี๋เหนียงเหลือบมองปินจวี๋ ลุกขึ้นแล้วคุกเข่าลงตรงหน้าสืออีเหนียง “ฮูหยินโปรดช่วยข้าด้วยเจ้าค่ะ!”
สืออีเหนียงแอบตกใจ รีบพยุงเหวินอี๋เหนียงลุกขึ้น “เกิดอะไรขึ้นกันแน่ มีอะไรที่พูดไม่ได้จนถึงขั้นต้องทำเช่นนี้!”
ปินจวี๋เห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นถอยออกไปอย่างเงียบๆ พลางช่วยพวกนางปิดประตูเก๋อซ่าน
เหวินอี๋เหนียงรู้ว่าสืออีเหนียงไม่ค่อยชอบให้ใครมาคุกเข่าให้นาง จึงลุกขึ้นตามแรงพยุงของสืออีเหนียง แต่น้ำตากลับค่อยๆ ไหลออกมา
“ท่านโหวให้ข้าขายกิจการทั้งหมดก่อนวันที่ยี่สิบสี่เดือนหนึ่ง มิเช่นนั้นเขาจะเป็นคนลงมือช่วยข้าขายกิจการเอง” นางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับหางตา “ข้ายังมีผู้ร่วมกิจการอีกสามสิบกว่าคน ทั้งหมดล้วนเป็นคนที่ติดตามข้าออกมาจากสกุลเหวิน หากขายกิจการนี้ไปแล้วใครจะเลี้ยงคนเหล่านี้ ต่อไปพวกเขาจะเลี้ยงชีพอย่างไร ข้าจะชดเชยให้ผู้คนที่ติดตามข้าเหล่านี้ได้อย่างไร” ยิ่งพูดนางก็ยิ่งเสียใจ “ตอนแรกข้าถือหุ้นในกิจการของสกุลเหวิน ท่านโหวก็ไม่ได้พูดอะไรสักคำ ต่อมาพอฮ่องเต้ขึ้นครองราชย์ ท่านโหวบอกว่าจวนสวีได้กลายเป็นพระญาติของเชื้อพระวงศ์ หากยังมาแย่งผลประโยชน์กับประชาชนเช่นนี้จะไม่ดีต่อชื่อเสียง จึงให้ข้าเลิกทำกิจการกับสกุลเหวิน ข้ายังไม่ทันพูดอะไรเขาก็มัดมือชกทันที แต่อย่างไรเสียข้าก็เป็นบุตรสาวสกุลเหวิน ใช่ว่าบอกจะตัดก็สามารถตัดได้ หากจะตัดก็ต้องตัดให้ขาดอย่างหมดจด ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อก่อนตอนที่ทำกิจการกับสกุลเหวินก็ล้วนอาศัยบรรดาผู้ร่วมกิจการเหล่านี้กับผู้ดูแลสกุลเหวินทั้งหมด เงินปันผลประจำปีจึงสามารถคำนวณได้อย่างชัดเจน หากเลิกทำกิจการแล้วสกุลเหวินจะใช้คนเหล่านี้ต่อไปเพื่ออะไร ข้าทำได้เพียงต้องคิดหาวิธีเปิดร้านให้พวกเขาหาเลี้ยงชีพ แต่ตอนนี้ท่านโหวต้องการให้ข้าขายร้าน…ฮูหยิน ท่านช่วยพูดกับท่านโหวให้ข้าทีเถิดเจ้าค่ะ! ข้าจะไม่เปิดร้านแล้วก็ได้ จะขายทอดให้บิดาของชิวหง เช่นนี้คนเหล่านั้นก็ยังสามารถทำมาหากินในร้านได้เหมือนเดิม!”
หากเป็นเช่นนี้ ย่อมเป็นความผิดของสวีลิ่งอี๋อย่างแท้จริง
แต่ว่าสวีลิ่งอี๋จะทำการอย่างสะเพร่าเช่นนี้หรือ
อีกอย่างนี่ก็ผ่านไปหลายปีแล้ว เหตุใดจู่ๆ สวีลิ่งอี๋ถึงเพิ่งจะไม่ยอมให้เหวินอี๋เหนียงทำกิจการแล้ว ซ้ำยังรีบร้อนที่จะพูดเรื่องนี้ในวันแรกของวันตรุษจีนอีก!
สืออีเหนียงรู้สึกว่าเรื่องราวนั้นแปลกๆ
นางครุ่นคิดก่อนจะนั่งลงข้างๆ เหวินอี๋เหนียง “คำพูดเหล่านี้เจ้าได้พูดกับท่านโหวหรือไม่”
ท่าทางของเหวินอี๋เหนียงนั้นผิดธรรมชาติเล็กน้อย พูดเสียงเบาว่า “ท่านโหวทำหน้านิ่ง ตอนนั้นข้าก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก หลังจากนั้นยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่ถูกต้อง แต่ก็กลัวท่านโหวจะโกรธจึงตั้งใจมาขอร้องฮูหยินโดยเฉพาะ…” น้ำเสียงดูลังเลเล็กน้อย
สืออีเหนียงยิ้มบาง พูดเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านโหวก็ไม่ใช่คนไร้เหตุผล ความกังวลเหล่านี้ เหวินอี๋เหนียงสามารถไปคุยกับท่านโหวได้ แต่ว่าในเมื่อเหวินอี๋เหนียงมาขอร้องข้าถึงที่นี่ ข้ามีบางคำอยากจะถาม ขอเหวินอี๋เหนียงช่วยคลายข้อข้องใจให้ข้าด้วย!” พูดจบก็ไม่รอให้เหวินอี๋เหนียงพยักหน้า พูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “เจ้าบอกว่าตอนแรกเจ้าลงทุนกับกิจการของสกุลเหวิน เจ้าที่เป็นสตรีเหตุใดจึงได้คิดทำกิจการกับสกุลเหวิน”
เหวินอี๋เหนียงได้ฟังดังนั้นก็ตะลึง พูดขึ้นมาว่า “หลังจากที่ข้าให้กำเนิดเจินเจี่ยเอ๋อร์แล้ว ท่านพ่อบอกว่าข้าเป็นอนุ ไม่มีสินสอดทองหมั้น ไม่สู้มาร่วมลงทุนทำกิจการกับสกุลเหวินดีกว่า บิดาข้าเป็นคนดูแลเงินปันผลของกิจการ ต่อไปหากเกิดเรื่องอันใดพอมีเงินติดตัวก็จะไม่เดือดร้อน”
สืออีเหนียงได้ฟังดังนั้นก็ถามต่ออีกว่า “ไม่ทราบว่าเหวินอี๋เหนียงลงทุนไปเท่าไร”
เหวินอี๋เหนียงพูดด้วยความลำบากใจว่า “ตอนนั้นข้าก็มีเงินไม่มาก จึงไปกู้เงินมาลงทุน ต่อมากิจการของสกุลเหวินดีขึ้นเรื่อยๆ พอเงินปันผลถูกแจกจ่ายในปีนั้นข้าก็นำเงินที่กู้มาไปคืน”
“ตอนนั้นเหวินอี๋เหนียงทำเงินได้เท่าไร” เหวินอี๋เหนียงเงียบไป
สืออีเหนียงก็ไม่ได้เร่งเร้านาง เพียงแค่นั่งดื่มชาอย่างเงียบๆ
ผ่านไปสักพักใหญ่เหวินอี๋เหนียงก็พูดเสียงเบาว่า “ทำเงินได้หนึ่งล้านตำลึงเจ้าค่ะ!”
“ทำเงินได้มากขนาดนั้นเชียว!?” สืออีเหนียงพูดต่ออีกว่า “ท่านโหวรู้หรือไม่ ต่อมาอี๋เหนียงจัดการกับเงินเหล่านี้อย่างไร นำไปฝากที่คลังเงิน หรือนำไปลงทุนทำกิจการกับสกุลเหวินต่อ”
ท่าทางของเหวินอี๋เหนียงค่อนข้างกระอักกระอ่วน
สืออีเหนียงพูดเสียงเบาว่า “อี๋เหนียง หากไม่พูดเรื่องนี้ให้ชัดเจน เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะช่วยเจ้าพูดกับท่านโหวได้อย่างไร”
เหวินอี๋เหนียงได้ฟังดังนั้นก็มีท่าทีเหมือนทุบหม้อจมเรือ[1] กล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ท่านโหวรู้อยู่แล้ว อีกอย่างหนึ่งล้านตำลึงในตอนนั้น นอกจากหนึ่งหมื่นตำลึงที่ข้านำไปคืนเงินที่กู้มา ที่เหลืออีกเก้าแสนเก้าหมื่นตำลึงก็ถูกท่านโหวเอาไปหมด”
เงินต้นหนึ่งหมื่นตำลึง ทำเงินได้หนึ่งล้านตำลึง
หรือว่าเหวินอี๋เหนียงจะถูกเงินทำให้หน้ามืดตามัว
“กิจการเช่นนี้ไม่ทราบว่าทำมากี่ปีแล้ว” ท่าทางของสืออีเหนียงเคร่งขรึมเล็กน้อย “ท่านโหวเอาเงินไปทั้งหมดเท่าไร”
ตอนแรกนางกังวลเรื่องศักดิ์ศรีของท่านโหว แต่ตอนนี้ท่านโหวกลับไม่สนใจศักดิ์ศรีของนางเลย อีกอย่างก็ได้พูดออกไปแล้ว ให้ฮูหยินรู้ว่าในปีนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้างก็ดีเช่นกัน!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เหวินอี๋เหนียงก็พูดขึ้นมาว่า “ทำกิจการมาแล้วหกปี ท่านโหวเอาเงินไปทั้งหมดเกือบเจ็ดล้านตำลึงเจ้าค่ะ”
—————————————–
[1]ทุบหม้อจมเรือ เป็นสำนวนแปลว่า ยอมสละทุกอย่างเพื่อกระทำสิ่งหนึ่ง หรือยอมสู้ตายไม่ยอมถอย